Wednesday, July 18, 2012

บุกสำนักหน้าหยก ฉกเคล็ดวิชาตราสารอนุพันธ์

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 18 กรกฎาคม 2555


เผลอแปปเดียวพบกันเป็นครั้งที่ 5 แล้วนะ (ยิ้ม)... ถ้าจำกันได้ ผมได้พาทุกท่านไปท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ มาแล้วหลายแห่ง อาทิ พาไปรู้จักตลาดอนุพันธ์ระดับโลก พาไปล่องทะเลสีคราม หรือแม้แต่พาย้อนอดีตไปยังทศวรรษที่ 1980 ในเหตุการณ์ The Plaza Accord... เหนื่อยมั้ยครับ? (ฮา)... วันนี้ก็จะเป็นอีกครั้งสำคัญ เพราะผมจะพาทุกท่านบุกไปยัง สำนักหน้าหยก” (ศิษย์สำนักบู๊ติ๊ง อิอิ) เพื่อไปฉกเคล็ดวิชาลงทุนในตลาดอนุพันธ์... พร้อมรึยังครับ? Let’s go!
 
ก่อนอื่น... ผมต้องขอแนะนำพระเอกของเรื่อง ซึ่งมีนามว่า ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives)... หมายความถึง สัญญาหรือข้อตกลงที่อยู่ในรูปของพันธะผูกผัน หรือสิทธิในการซื้อ หรือขายสินทรัพย์อ้างอิงตามราคา ปริมาณ และเวลาที่ได้ตกลงไว้ โดยมีลักษณะสำคัญอยู่  3 ประการ คือ 1. ต้องมีสินทรัพย์อ้างอิงกำกับ (Underlying Asset) 2. ใช้เงินลงทุนต่ำกว่าลงทุนในสินค้าอ้างอิงโดยตรง (Leverage) และ 3. มีอายุจำกัด (Maturity)... ถึงตรงนี้ถ้ายังงง รบกวนอ่านอีกรอบนะครับ!
พระเอกของเรา มีศิษย์รุ่นแรก อยู่  4 หน่อ... มีชื่อเสียงเรียงนามว่า 1. Forward 2. Futures 3. Options และ 4. Swap ถามว่าเอ... แล้วพวกเค้าเหล่านี้มีหน้าที่อะไร? เป็นเสาหลักของยุทธภพรึป่าว!? อย่ากระนั้นเลย... แม่นาง... ตราสารอนุพันธ์นั้น มีหน้าที่หลักๆ อยู่ 3 ประการขอรับ... 1. ใช้บริหารความเสี่ยง (Risk Management) 2. เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไร (Speculative Instruments) และ 3. ใช้สะท้อนหรือทำนายราคาสินค้าในอนาคต (Price Discovery) อย่างไรก็ตาม... การที่จะเรียนรู้เคล็ดวิชาจากศิษย์ทั้งสี่ในเวลาอันสั้นนั้น... ไม่ง่าย... วันนี้ข้าน้อยเลยขอแนะนำเจ้าศิษย์พี่รองที่มีนามว่า Futures ก่อนละกัน
Futures: เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทหนึ่ง ที่คู่สัญญาตกลงราคาซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงกันในปัจจุบัน โดยมีภาระผูกพันต่อกันที่จะต้องทำการส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิงและชำระราคากันในอนาคต... ผู้ซื้อมีหน้าที่ชำระราคา ผู้ขายมีหน้าที่ส่งมอบสินค้า และมีสำนักหักบัญชี (Clearing house) เป็นตัวกลางในการจัดการ... ในที่นี้ ถ้าผมสมมติให้สินทรัพย์อ้างอิงเป็น SET50 Index เราก็จะได้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าชนิดหนึ่งที่เราคุ้นหูคุ้นตากันสุดๆ นั่นก็คือ “SET50 Index Futures” นั่นเองครับ

เสริมนิดนึงครับว่า สินทรัพย์หรือสินค้าอ้างอิงนั่น แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ 1. Commodity เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ทองคำ น้ำมันดิบ โลหะเงิน 2. Financial Products เช่น หุ้นสามัญ พันธบัตร อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ดัชนีหลักทรัพย์...

กลับมาที่การลงทุนใน SET50 Index Futures... เคล็ดวิธีมันมีอยู่ว่า ถ้าท่านคาดว่า SET50 Index จะขึ้น ให้ซื้อ” (ศัพท์ในวงการเรียกว่า Long) แต่ถ้าเราคาดว่า SET50 Index จะลง ให้ขาย” (ในวงการเรียก short) ง่ายมั้ยละครับ... (ยากตรงคาดนิแหละ อิอิ)... ข้อดีอย่างนึงของ SET50 Index Futures ก็คือ ท่านไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์บริษัท หรือติดตามผลประกอบการให้เมื่อยตุ้ม... ท่านมองภาพใหญ่ไปเลย ฟันโช้ะ okay เช้ะ... ตลาดขึ้นหรือลง จัดไป... เพราะ SET50 Index ก็เป็นเหมือนตัวแทนของตลาดหุ้นอยู่แล้ว (Correlation กับ SET Index > 0.98 หมายความว่า SET50 Index กับ SET Index เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันแทบจะเป๊ะๆ)... แต่อย่าลืมครับว่าเนื่องจาก SET50 Index เป็นดัชนีราคาหุ้น... เมื่อถึงวันหมดอายุสัญญา จึงไม่สามารถที่จะส่งมอบสินค้าได้จริงเหมือนกับสินทรัพย์อ้างอิงอื่นๆ เช่น ข้าว หรือยางแผ่นรมควันในตลาด AFET... ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงกำหนดให้ใช้วิธีการชำระส่วนต่างของกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นเป็นเงินสด หรือที่เรียกกันว่า cash settlement แทนครับ! 
สุดท้ายนี้... ผมก็หวังว่าทุกท่านจะได้รู้จักตราสารอนุพันธ์ดีขึ้น... ไม่มากก็น้อย... สำหรับท่านที่ทราบอยู่แล้วก็ถือว่าเป็นการทบทวนกันไป อย่าเพิ่งเบื่อกันซะก่อนนะครับ (ยิ้ม)... แล้วพุธหน้า ห้ามพลาด! เพราะผมจะมาเผยถึงกลเม็ดเด็ดเคล็ดวิชาวิเคราะห์การลงทุนใน SET50 Index Futures อย่าลืมติดตามกันละ!


Wednesday, July 11, 2012

ค่าเงินดอลลาร์ & the Plaza Accord

สายัณห์สวัสดิ์... “นักค้าหน้าหยก” รายงานตัวครับผม! 
เขียนเมื่อ 11 กรกฎาคม 2555
ในปี 2012 นี้ ตลาดอนุพันธ์บ้านเรา หรือ TFEX ก็ได้ก้าวสู่ปีที่ 7 แล้ว... นักลงทุนบางท่านอาจจะคุ้นเคยกับการลงทุนใน TFEX เป็นอย่างดี หรือบางท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อ แต่ยังไม่กล้าสัมผัส... ไม่เป็นไรครับ ชีวิตคือการเรียนรู้ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้น... สำหรับวันนี้... เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 1 เดือนที่ TFEX ได้เปิดตัวสินค้าน้องใหม่อย่างดอลลาร์ล่วงหน้า หรือ USD Futures (เกินนิดๆหยวนๆนะครับ) ผมเลยขอถือโอกาสนี้เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญครั้งนึงในอดีตที่เกี่ยวข้องกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ... ซึ่งเรื่องวันนี้ถือว่าค่อนข้างซับซ้อนกว่า 3 ครั้งที่ผ่านมา... เพราะอะไรนะหรอ? เพราะเหตุการณ์มันอยู่ในช่วงที่ผมยังไม่เกิดนะซิ อิอิ
Plaza (ไม่ใช่ Honda) Accord:  ย้อนไปเมื่อครั้งกระโน้น ในช่วงทศวรรษที่ 1980... ช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังบูมสุดๆ (ยุคที่บริษัทญี่ปุ่นเป็นผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ และบริษัทใหญ่ของอเมริกาเป็นจำนวนมาก)... ค่าเงินเยนในตอนนั้นถือว่าอ่อนปวกเปียกเลยละครับ โดยเงิน 250 เยนแลกได้เพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น... แต่นั่น ทำให้สินค้าญี่ปุ่นสามารถส่งออกไปตีตลาดทั่วโลกได้โดยง่าย เพราะราคาถูก แต่คุณภาพระดับ made in Japan! ส่งผลให้ดินแดนอาทิตย์อุทัยได้เปรียบดุลการค้ากับเหล่าขาใหญ่ของโลกในตอนนั้น (อเมริกา อังกฤษ เยอรมนี และฝรั่งเศส) อย่างมหาศาล... แต่... นั่นก็เป็นดาบสองคม... ดีเกินไป ก็มีคนริษยา... ญี่ปุ่นในที่สุดก็โดนกดดันให้ปรับค่าเงินเย็นให้แข็งขึ้น ในประชุมของกลุ่ม G5 (4 ขาใหญ่ และญี่ปุ่น) ที่โรงแรมพลาซ่า กรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 22 กันยายน 1985 ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นถือว่าเป็นการแทรกแซงตลาดการเงินเป็นครั้งแรกของโลก (Currency Intervention) และถูกขนานนามว่า The Plaza Accord มาจนถึงทุกวันนี้...
จริงๆ แล้วไม่ใช่อะไรหรอกครับ... เบื้องหลังมันอยู่ที่พี่ใหญ่อเมริกา ในยุคของท่านประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน... ท่านต้องการให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อน เพื่อจะให้สินค้าส่งออกของตัวเองสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้... เพราะแม้อเมริกาจะเป็นผู้ชนะสงครามโลกในช่วงนั้น แต่ตัวเองก็บอบช้ำพอสมควร...  เศรษฐกิจต้องพบกับปัญหาขาดดุลแฝด (Twin deficits) คือ ขาดดุลการคลังภาครัฐบาล และขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (ดุลการค้า + ดุลบริการ) ไปพร้อมๆกัน... โดยเฉพาะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด นั่นหมายถึง อเมริกาจะต้องสูญเสียเงินดอลลาร์ออกไปเรื่อยๆ... ตรงข้ามกับประเทศที่เกินดุล (กลุ่มยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น) ที่มีเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ... จนในที่สุดอเมริกาก็ทนไม่ไหว... ต้องประกาศยกเลิกระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่อ้างอิงกับทองคำในปี 1971  เนื่องจากอเมริกาไม่มีทองคำมากพอสำหรับการหนุนพิมพ์ธนบัตรได้ (สมัยก่อน ทองคำ 1 ออนซ์ หรือ 2 บาท มีค่าเท่ากับ 35 ดอลลาร์สหรัฐ... เริ่มจากข้อตกลง Bretton Woods ในปี 1944) และนั่นก็นำไปสู่ข้อตกลงพลาซ่า หรือ The Plaza Accord ในปี 1985 นั่นเองครับ 
ผลจากพลาซ่า แอคคอร์ด ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนฮวบ ในขณะที่ค่าเงินเยนแข็งโป๊ก... จาก 250 เยนต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็น 150 เยนต่อ 1 ดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นเกือบ 70% ภายในเวลาเพียง 10 เดือน... ซึ่งนั่นทำให้ญี่ปุ่นต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ด้วยการลดต้นทุนทุกอย่าง เพิ่มประสิทธิภาพ รวมทั้งย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ ซึ่งไทยและหลายๆประเทศในอาเซียนก็พลอยได้รับอานิสงส์จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นไปด้วย...   
เอาละ... ก่อนจะจากกันไป ก็อยากจะขอฝากใจไว้กับทุกๆ ท่าน~ เย้ยย... ไม่ใช่... อยากจะฝากให้ไปดูกันครับว่า ค่าเงินเยนตอนนี้แข็งไปถึงไหนแล้ว ถ้าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ... นอกจากนี้~ ผมก็มีประวัติคร่าวๆ ของค่าเงินบาทมาฝาก ใครสนใจก็ไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้นะ! จะได้ลงทุนใน USD Futures ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น... แล้วพบกันใหม่พุธหน้าครับ


Wednesday, July 4, 2012

ลงทุนบนน่านน้ำสีคราม

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 4 กรกฎาคม 2555


ใจจริงผมตั้งใจว่าบทความ นักค้าหน้าหยกวันนี้ จะเป็นการสรุปผลการประชุมของผู้นำในยุโรป ผลกระทบต่อตลาดหุ้น และสิ่งที่ผมคาดหวังต่อไป... แต่ เนื่องจากผมได้มีโอกาสไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่หัวหินเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (อิจฉาละสิ อิอิ)... ระหว่างอยู่ในห้องพัก ก็นั่งคิดอะไรเพลินๆ... มองท้องฟ้า ท้องทะเล... สวยงามจริงๆ ครับและนั่น ก็นำไปสู่เรื่องราวที่ผมอยากเล่าถึงในวันนี้

ลงทุนบนน่านน้ำสีคราม... คำว่า น่านน้ำสีคราม หลายท่านๆที่ทำธุรกิจหรือศึกษาการตลาด คงคุ้นหูคุ้นตากันดี... กลยุทธ์น่านน้ำสีคราม หรือ Blue Ocean Strategy คืออะไร... ผมอยากใช้คำง่ายๆ ว่า คือ การคิดต่าง หรือหมายถึง การสร้างตลาดใหม่โดยไม่ต้องใส่ใจการแข่งขัน ต่อสู้ โช้งเช้ง บนสมรภูมิเลือดที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง หรือที่เรียกว่า Red Ocean... เช่น ในอดีต เมื่อครั้งที่ Nokia ยังครองความยิ่งใหญ่ในตลาดมือถือ... หาก Steve Jobs ไม่สร้างความแตกต่างให้ iPhone ด้วยการตัดปุ่มกดทิ้ง เพิ่มระบบสัมผัส Touch Screen เต็มรูปแบบ ทำให้หน้าจอกว้างขึ้น สามารถเล่นเกม ถ่ายรูป บลา บลา บลา... หรือ ฉีกหนีตลาดเดิมๆ มาสร้างตลาดใหม่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างตลาดสมาร์ตโฟน กับโน๊ตบุ๊ค นั่นคือ ตลาดแท็บเล็ต ด้วยการออก iPad... หุ้น Apple คงไม่ได้เป็นหุ้นที่มี Market cap ใหญ่ที่สุดในโลก ในตอนนี้ (17.5 ล้านล้านบาท)... ซึ่งใหญ่กว่า GDP ประเทศไทยทั้งประเทศเสียอีก (10.9 ล้านล้านบาท)... โอ้วว แม่เจ้า 
แล้วมันเกี่ยวกับการลงทุนยังไง... คืองี้ครับ ผมอยากให้ลองนำหลัก คิดต่างของ Blue Ocean Strategy มาประยุกต์ใช้กับการลงทุน... ในภาพใหญ่ คนไทยส่วนใหญ่มักมองว่าการฝากเงินเป็นวิธีการออมเงินที่ดีที่สุด... แต่หากมองให้ลึก (ให้ซึ้ง) แล้วจะพบว่า การลงทุนในหุ้น หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ก็เป็นวิธีที่ไม่เลว หากเราศึกษาข้อมูลให้ดี... ผลตอบแทนที่ได้คุ้มค่ากว่ามาก... สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นอยู่แล้ว แต่บางครั้ง... ชอบตัดใจขายเมื่อราคาหุ้นตกฮวบฮาบ หรือเมื่อมีข่าวร้ายสะท้านทรวงมากระแทกจิตใจ... ลองดูวิธีคิดต่างในแบบฉบับนักการลงทุนระดับโลกที่ชื่อ วอร์เรน บัฟเฟตครับ à เฮียบัฟเคยพูดไว้ว่า ความสนใจของเค้าต่อตลาดหุ้นจะแปรผันโดยตรงกับความตกต่ำของตลาด นั่นหมายถึงบัฟเฟต ชอบตลาดหุ้น เมื่อราคาหุ้นลดลง... เฮียพูดว่า เหมือนผมเป็นเจ้าของที่ดินในเนบราสกาและผมเฝ้ามองที่ดินข้างๆบ้านของผม คอยดูว่าเมื่อไหร่ผมจะซื้อมันได้... คุณคงอยากให้ที่ดินข้างๆมีราคาลดลงใช่ไหม... หรือถ้าผมเดินเข้าไปร้านแมคโดนัลด์และเห็นแฮมเบอร์เกอร์ลดราคาอยู่ ผมคงดีใจที่ได้ซื้อของที่ถูกลงชัดเจนมั้ยละครับ 
สำหรับบางท่านที่ชอบความเสี่ยงขึ้นมาหน่อย ตลาดอนุพันธ์ หรือ TFEX ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกนึง... การลงทุนสามารถทำได้ด้วยการเปิดสถานะ Long (ซื้อ) หรือ Short (ขาย) เพียงข้างใดข้างหนึ่ง แล้วรอลุ้นผลให้รู้แล้ว รู้แรดไป... หรือจะทำเพื่อ hedging (ลดหรือควบคุมความเสี่ยง) ก็ได้ เช่น เมื่อท่านซื้อหุ้นไว้จำนวนนึง แล้วเกิดความไม่แน่ใจสภาวะตลาด และเกรงว่าจะนอนไม่หลับถ้าเห็นหุ้นตกฮวบๆ ท่านอาจจะเปิดสถานะ Short SET50 Index futures ไว้ เพื่อควบคุมความเสี่ยง... เพราะแม้ยามหุ้นตก อย่างน้อยท่านก็ยังมีกำไรจาก futures มาให้ชุ่มฉ่ำหัวใจ... และเมื่อสถานการณ์กลับมาสู่สภาวะปกติ ท่านก็ค่อยปิดสถานะฟิวเจอร์ไป แล้วถือแต่หุ้นก็ได้ครับ 
สรุป ในการลงทุนเราไม่จำเป็นต้องทำตามคนหมู่มาก หรือตามแบบใครทั้งหมด... คิดต่างในแบบของเรา... ศึกษา ค้นคว้า และหาสไตส์การลงทุนของตัวเอง ให้เหมาะสมกับกับตัวเอง... ท่านอาจารย์นิเวศน์  เหมวชิรวรากร ก็ค้นพบสไตส์การลงทุนแบบ VI หรือ Value Investor (ไม่ใช่ Volatility Investor นะ!) และนำมาใช้เป็นรุ่นแรกๆของเมืองไทยเมื่อ 10 กว่าปีก่อน... โดยท่านเริ่มจากเงินเพียงสิบล้าน ซึ่งในสมัยนั้นในเมืองไทยยังแทบไม่มีคนรู้จักว่า VI คืออะไร... นิแหละครับ คิดต่าง ซึ่งเป็นส่วนนึงที่ทำให้ท่านประสบความสำเร็จรวยเป็นหลักพันล้านมาจนถึงทุกวันนี้... เริ่ม วันนี้กันเถอะ