เขียนเมื่อ 4 กรกฎาคม 2555
ใจจริงผมตั้งใจว่าบทความ “นักค้าหน้าหยก” วันนี้ จะเป็นการสรุปผลการประชุมของผู้นำในยุโรป ผลกระทบต่อตลาดหุ้น และสิ่งที่ผมคาดหวังต่อไป... แต่ เนื่องจากผมได้มีโอกาสไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่หัวหินเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (อิจฉาละสิ อิอิ)... ระหว่างอยู่ในห้องพัก ก็นั่งคิดอะไรเพลินๆ... มองท้องฟ้า ท้องทะเล... สวยงามจริงๆ ครับ… และนั่น ก็นำไปสู่เรื่องราวที่ผมอยากเล่าถึงในวันนี้
ลงทุนบนน่านน้ำสีคราม... คำว่า “น่านน้ำสีคราม”
หลายท่านๆที่ทำธุรกิจหรือศึกษาการตลาด คงคุ้นหูคุ้นตากันดี...
กลยุทธ์น่านน้ำสีคราม หรือ Blue Ocean Strategy คืออะไร...
ผมอยากใช้คำง่ายๆ ว่า คือ “การคิดต่าง”
หรือหมายถึง การสร้างตลาดใหม่โดยไม่ต้องใส่ใจการแข่งขัน ต่อสู้ โช้งเช้ง
บนสมรภูมิเลือดที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง หรือที่เรียกว่า Red Ocean... เช่น ในอดีต เมื่อครั้งที่ Nokia ยังครองความยิ่งใหญ่ในตลาดมือถือ...
หาก Steve Jobs ไม่สร้างความแตกต่างให้ iPhone ด้วยการตัดปุ่มกดทิ้ง เพิ่มระบบสัมผัส Touch Screen
เต็มรูปแบบ ทำให้หน้าจอกว้างขึ้น สามารถเล่นเกม ถ่ายรูป บลา บลา บลา... หรือ
ฉีกหนีตลาดเดิมๆ มาสร้างตลาดใหม่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างตลาดสมาร์ตโฟน กับโน๊ตบุ๊ค
นั่นคือ ตลาดแท็บเล็ต ด้วยการออก iPad... หุ้น Apple คงไม่ได้เป็นหุ้นที่มี Market cap ใหญ่ที่สุดในโลก ในตอนนี้ (17.5 ล้านล้านบาท)... ซึ่งใหญ่กว่า GDP ประเทศไทยทั้งประเทศเสียอีก (10.9 ล้านล้านบาท)... โอ้วว แม่เจ้า
แล้วมันเกี่ยวกับการลงทุนยังไง... คืองี้ครับ
ผมอยากให้ลองนำหลัก “คิดต่าง”
ของ Blue Ocean Strategy มาประยุกต์ใช้กับการลงทุน...
ในภาพใหญ่ คนไทยส่วนใหญ่มักมองว่าการฝากเงินเป็นวิธีการออมเงินที่ดีที่สุด...
แต่หากมองให้ลึก (ให้ซึ้ง) แล้วจะพบว่า การลงทุนในหุ้น หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ
ก็เป็นวิธีที่ไม่เลว หากเราศึกษาข้อมูลให้ดี... ผลตอบแทนที่ได้คุ้มค่ากว่ามาก...
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นอยู่แล้ว แต่บางครั้ง...
ชอบตัดใจขายเมื่อราคาหุ้นตกฮวบฮาบ หรือเมื่อมีข่าวร้ายสะท้านทรวงมากระแทกจิตใจ...
ลองดูวิธีคิดต่างในแบบฉบับนักการลงทุนระดับโลกที่ชื่อ “วอร์เรน
บัฟเฟต” ครับ à เฮียบัฟเคยพูดไว้ว่า
ความสนใจของเค้าต่อตลาดหุ้นจะแปรผันโดยตรงกับความตกต่ำของตลาด นั่นหมายถึงบัฟเฟต
ชอบตลาดหุ้น เมื่อราคาหุ้นลดลง... เฮียพูดว่า “เหมือนผมเป็นเจ้าของที่ดินในเนบราสกาและผมเฝ้ามองที่ดินข้างๆบ้านของผม
คอยดูว่าเมื่อไหร่ผมจะซื้อมันได้... คุณคงอยากให้ที่ดินข้างๆมีราคาลดลงใช่ไหม...
หรือถ้าผมเดินเข้าไปร้านแมคโดนัลด์และเห็นแฮมเบอร์เกอร์ลดราคาอยู่
ผมคงดีใจที่ได้ซื้อของที่ถูกลง” ชัดเจนมั้ยละครับ
สำหรับบางท่านที่ชอบความเสี่ยงขึ้นมาหน่อย
ตลาดอนุพันธ์ หรือ TFEX
ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกนึง... การลงทุนสามารถทำได้ด้วยการเปิดสถานะ Long (ซื้อ) หรือ Short (ขาย) เพียงข้างใดข้างหนึ่ง
แล้วรอลุ้นผลให้รู้แล้ว รู้แรดไป... หรือจะทำเพื่อ hedging (ลดหรือควบคุมความเสี่ยง)
ก็ได้ เช่น เมื่อท่านซื้อหุ้นไว้จำนวนนึง แล้วเกิดความไม่แน่ใจสภาวะตลาด
และเกรงว่าจะนอนไม่หลับถ้าเห็นหุ้นตกฮวบๆ ท่านอาจจะเปิดสถานะ Short SET50 Index futures ไว้
เพื่อควบคุมความเสี่ยง... เพราะแม้ยามหุ้นตก อย่างน้อยท่านก็ยังมีกำไรจาก futures
มาให้ชุ่มฉ่ำหัวใจ... และเมื่อสถานการณ์กลับมาสู่สภาวะปกติ
ท่านก็ค่อยปิดสถานะฟิวเจอร์ไป แล้วถือแต่หุ้นก็ได้ครับ
สรุป ในการลงทุนเราไม่จำเป็นต้องทำตามคนหมู่มาก หรือตามแบบใครทั้งหมด...
คิดต่างในแบบของเรา... ศึกษา ค้นคว้า และหาสไตส์การลงทุนของตัวเอง
ให้เหมาะสมกับกับตัวเอง... ท่านอาจารย์นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ก็ค้นพบสไตส์การลงทุนแบบ VI
หรือ Value Investor (ไม่ใช่ Volatility Investor นะ!)
และนำมาใช้เป็นรุ่นแรกๆของเมืองไทยเมื่อ 10 กว่าปีก่อน...
โดยท่านเริ่มจากเงินเพียงสิบล้าน ซึ่งในสมัยนั้นในเมืองไทยยังแทบไม่มีคนรู้จักว่า VI
คืออะไร... นิแหละครับ คิดต่าง
ซึ่งเป็นส่วนนึงที่ทำให้ท่านประสบความสำเร็จรวยเป็นหลักพันล้านมาจนถึงทุกวันนี้...
เริ่ม “วันนี้” กันเถอะ
No comments:
Post a Comment