Wednesday, August 1, 2012

เหล่ากูรู SET50 Index Futures เค้ารู้อะไรกัน?

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 1 สิงหาคม 2555


เข้าสู่สัปดาห์ที่ 7 กันแล้ว กับผม นักค้าหน้าหยก!”... ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ :) เอาละ เข้าเรื่องเลยดีกว่า... เพื่อนๆพี่ๆ ที่ลงทุนในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) เคยสงสัยกันมั้ยครับว่า ทำไมราคาของ SET50 Index Futures บางทีมันก็มากกว่า SET50 Index... บางทีก็น้อยกว่า SET50 Index... ตัวอย่างเช่นช่วงต้นสัปดาห์นี้ ที่ราคา SET50 Index Futures น้อยกว่า SET50 Index ร่วมๆ 8-10 จุดด้วยกัน... แต่เช้าวันนี้ลดลงมาเหลือเพียง 4-5 จุด... เอ น้อยกว่าแปลว่าถูกรึป่าว? หรือถ้ามากกว่าแปลว่าแพงใช่มั้ย?... กูรูเค้าดูที่อะไรกัน ลองมารู้กันครับ
การวิเคราะห์หาราคายุติธรรม (Fair Value Pricing Analysis):  ในโลกแห่งการลงทุน... เมื่อท่านได้ตัดสินใจซื้อสัญญาซื้อขายสินค้าล่วงหน้าแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่ต่างกับการที่ท่านกู้เงินเพื่อมาซื้อสินค้าอ้างอิงโดยตรง และเก็บรักษาไว้จนถึงวันส่งมอบของสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้น... ซึ่ง! การที่ท่านถือครองสินค้าโดยตรง แน่นอนครับว่ามันต้องมีต้นทุนการถือครอง (Holding cost) ที่ท่านต้องรับภาระเพิ่มขึ้น อาทิ ค่าจัดเก็บสินค้า, ค่าขนส่ง ในขณะที่การถือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไม่มี แต่! มีเสีย ก็ต้องมีได้... การที่ท่านถือครองสินค้าโดยตรง ท่านอาจจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น (Holding return) เช่น ถ้าท่านถือครองหุ้น ท่านก็ได้เงินปันผล ถ้าถือครองอสังหาริมทรัพย์ ท่านก็ได้ค่าเช่า หรือถ้าถือครองตราสารหนี้ ท่านก็ได้ดอกเบี้ย... ในขณะที่ถ้าถือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ท่านไม่ได้นะ... และด้วยหลักการนี้เองทำให้นำไปสู่แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเรียกน่ารักๆ ว่า Cost of Carry Model ครับผม
สมการด้านบน มีที่มาที่ไปมาจากหลักการของการทำ Arbitrage และ Law of One Price ครับ (ถ้าไม่คุ้นศัพท์ ก็กูเกิลนะ!) สรุปง่ายๆ คือ สินค้าชนิดเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ราคาของสินค้าชนิดนั้นย่อมมีมูลค่าเท่ากัน (เอ๊ะ! แล้วทำไมน้ำมันดิบ Brent กับ West Texas Intermediate (WTI) ราคามันไม่เท่ากันละ? ตรงนี้มันมีปัจจัยอื่นมากระแทกครับ เช่น เรื่องของสภาพ Over Supply, ค่า Logistic ที่สูงกว่า... ตรงนี้ ถ้ามีโอกาสผมจะมาขยายความให้ฟังนะครับ) นอกจากนี้ ยังมีศัพท์หรู ที่เหล่ากูรูเค้าใช้กัน ได้แก่ ผลต่างของราคา SET50 Index Futures กับราคา SET50 Index (Futures price – Spot price) ที่เค้าเรียกกันว่า Basis... ซึ่งค่านี้แหละ ที่ทำให้เราสามารถวิเคราะห์หรือประเมินสถานการณ์ของตลาดล่วงหน้าได้ ว่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด โดยหากว่าราคา SET50 index Futures มีค่าน้อยกว่าราคา SET50 Index (Basis ติดลบ) เรียกว่า Futures ตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว~ หรือ Backwardation (ดังเช่นในปัจจุบัน)แต่ถ้า ราคา SET50 index Futures มากกว่า ราคา SET50 Index (Basis เป็นบวก) จะเรียกว่าสภาวะ Contango ครับ 
สรุป:การที่ราคา SET50 Index Futures มากกว่าราคา SET50 Index (Basis เป็นบวก) ไม่ได้หมายความว่าราคา Futures นั้นแพงเสมอไป หรือถ้าราคา SET50 Index Futures น้อยกว่าราคา SET50 Index (Basis เป็นลบ) ก็ไม่ได้แปลว่าว่าถูกเสมอไป... สิ่งที่จะบอกว่า Futures แพงหรือถูก คือ ราคายุติธรรม (Fair Value) ครับ... ซึ่งค่านี้จะช่วยให้เราสามารถประเมินได้ว่า ณ ราคา SET50 Index Futures ปัจจุบัน ฝั่งซื้อ (Long) หรือฝั่งขาย (Short) จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ... ก็อย่างที่ผมได้เกริ่นไว้ในสัปดาห์ที่แล้วครับว่า Futures ก็ไม่ต่างจากหุ้น มีราคาพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ตั้งเป้าไว้ ฝันให้ไกลไปให้ถึง... แม้ในความจริงจะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ราคามักไม่ค่อยจะเท่ากับมูลค่าที่แท้จริง... แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหลายครับ เพราะเหล่ากูรู เค้ารู้กันทั้งนั้นแหละ!

Wednesday, July 25, 2012

หนึ่งหัตถ์เหนี่ยวสวรรค์ สี่ศาสตราพิชิตอนุพันธ์


สวัสดีครั,,,
เขียน
เมื่อ 25 กรกฎาคม 2555

ชื่อเรื่องวันนี้อาจจะดูแปลกตาคุณผู้อ่านซักเล็กน้อย... แต่รับรองว่าเนื้อหาอัดแน่น สนุก คร่อกฟี้ๆ (เจ้ยย..) เช่นเคยครับ อิอิ
ถ้าจำกันได้ ผมได้เกริ่นไว้ในสัปดาห์ที่แล้วว่าครั้งนี้จะมาเล่าถึง กลเม็ดเด็ดเคล็ดวิธีวิเคราะห์การลงทุนใน SET50 Index Futures” สัญญาต้องเป็นสัญญา~ สัญญาว่ามาต้องมา~
1. Fundamental Analysis หรือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หมายถึง การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของราคาโดยศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทาน (demand and supply) เพื่อวิเคราะห์ถึงราคาสินค้าและคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต... วิธีนึงที่ใช้กันแพร่หลายสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นเรียกกันว่า Top-Down Analysis ครับ... กล่าวคือ เป็นการวิเคราะห์จากภาพใหญ่ – สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก ระดับทวีป และต่อมาจนระดับถึงประเทศ ลงมาถึงภาพย่อย สภาพอุตสาหกรรม และต่อไปจนถึงระดับบริษัทหรือหุ้นรายตัวในที่สุด แต่สำหรับ SET50 Index Futures บอกได้เลยว่าง่ายกว่ามากครับ เพราะเรากำลังวิเคราะห์ถึงดัชนี SET50 Index ที่สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้น ดังนั้นเราสามารถตัดการวิเคราะห์ภาพย่อยออกไปได้ เหลือแต่วิเคราะห์ภาพใหญ่เท่านั้น...
เสริม:  ปีเตอร์ ลินซ์ ผู้จัดการกองทุนแมคแจลแลน (Fidelity Magellan) (ผู้ที่สร้างอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 29% ทบต้นต่อปีเป็นเวลา 13 ปีติดต่อกัน ซึ่งถือว่าสูงสุดในวงการกองทุนรวมของสหรัฐ) เคยกล่าวไว้ว่า... สำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้น... กำไรขาดทุนที่จะได้รับไม่ได้ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโดยรวม แต่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะของธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่ ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาดหุ้น ให้มองที่เหตุผลในการซื้อขายเท่านั้น...

2.  Technical Analysis หรือ การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค ผมเองชอบที่จะวิเคราะห์ SET50 Index Futures จากกราฟ Spot ซึ่งก็คือตัว SET50 Index มากกว่ากราฟ Futures ครับ... เนื่องจากความผันผวนของราคา หรือ Price pattern ที่ได้จะมีน้อยกว่า ทำให้สัญญาณที่ได้ไม่ขรุขระจนเกินไป (Futures มันวิ่งเร็ว แกว่งแรง กระชากโหด)... กราฟที่ใช้หลักๆ ก็รายวันนิแหละ ชัดเจนดี... อย่างไรก็ตามสำหรับวัยรุ่นที่ชอบความไว จะใช้กราฟ SET50 Index Futures เลยก็ได้... โดยอาจจะปรับค่าเส้น Moving Average หรือ Indicators ต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อความเหมาะสม... ตรงนี้แล้วแต่ความถนัดครับ
3. Market Sentiment Analysis – เป็นการวิเคราะห์ถึงจิตวิทยาของคนในตลาด ว่าตอนนี้เค้ากำลังโลภ (Greed) หรือกลัว (Fear) กัน... ตรงนี้ จะมีนักลงทุนอยู่ 2 ประเภทครับ ได้แก่ ชาวสวน (Contrarian) และ ชาวไล่ (ไร่) (Follower) ผมขออนุญาตยกตัวอย่างแบบนี้ละกัน... เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นบ้านเราเปิดลงเฉือนดวงใจถึง 21 จุด ถ้าเป็นชาวสวน ก็คง Long (ซื้อ) SET50 Index Futures แต่สำหรับชาวไล่ (ไร่) คงไม่แคล้วที่จะ Short (ขาย) ตาม... อย่างไรก็ดีผมคงไม่สามารถตอบท่านได้ว่าวิธีไหนถูกหรือผิด มันขึ้นกับจังหวะ โอกาส และระยะเวลาในการลงทุน ที่สำคัญ อยู่ที่ใจ!... เสริมนิดนึงสำหรับขาจรที่สงสัยว่า Sentiment คืออะไร... มันหมายถึง บรรยากาศในการลงทุนครับ ผมยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ เช่น เวลามีข่าวการเมืองเสื้อสีแสดชุมนุม แล้วตลาดหุ้นลงพรวดๆ... ถามว่าในความเป็นจริง ทุกอุตสาหกรรมทุกธุรกิจได้รับผลกระทบหมดไหม ตอบได้เลยว่าไม่ เช่น ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ยังไง ยังไง เราก็ต้องซื้อของรับประทานกัน อาจจะลำบากหน่อย แต่เราก็ไปซื้อสาขาอื่นก็ได้นิ ถูกมั้ยครับ... นิแหละเค้าเรียกว่า Sentiment มันแย่... แต่ไม่ได้แปลว่า หุ้นเค้าไม่ดี (นะจ๊ะ อิอิ) 
4. Fair Value Pricing Analysis หรือการวิเคราะห์หาราคายุติธรรมในทางทฤษฎี Futures ก็เหมือนกับหุ้นนั่นละครับ มีราคาพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ตั้งเป้าไว้ (แต่ไปถึงรึป่าวไม่ฮู้...) ซึ่งสูตรที่นิยมในการหามูลค่าที่เหมาะสมของ Futures มีชื่อหล่อ (โฮกๆ) ว่า Cost of Carry Model... รู้ไว้ใส่บ่าครับ แล้วก็อย่าไปยึดติดมาก เพราะในทางปฏิบัติ ราคามันมักจะไม่ค่อยเท่ากับราคาทางทฤษฎี (Theoretical value) อยู่แล้ว... เนื่องจากมันมีปัจจัยอื่นๆหลายอย่างมาประกอบ เช่น สภาพคล่องการซื้อขาย จิตวิทยา หรือ demand/supply… ไว้ว่างๆผมจะมาขยายความให้ฟังครับ
ถึงตอนนี้ผมบอกได้เลยครับว่า มือข้างหนึ่งของท่านได้คว้าศาสตรา (อาวุธ) ทั้งสี่ไว้เรียบร้อยแล้ว... เหลือแต่มืออีกข้างหนึ่งของท่านที่ต้องนำหลักการเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสไตส์การลงทุนของตัวเอง รวมทั้งศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม (สำคัญเลย!)... ผมเชื่อเหลือเกินครับว่า ด้วยหลักการเหล่านี้ จะทำให้ชาวแฟนเพจบัวหลวงทุกท่านไปถึงสรวงสวรรค์ได้ไม่ยาก... พิชิตอนุพันธ์ให้ได้... แล้วพบกันใหม่พุธหน้าครับ (: