Hello, lots of salient items
today…
Written on Feb 28, 2013
Government to boost infrastructure
spending to THB4 tn:
The government will double its budget
for infrastructure plans over the next seven years to THB4 trillion, with
the aim of achieving three main national strategies –
a shift of a multi-modal transport system; connectivity; and mobility.
The addition THB2 trillion would come from the regular fiscal budget and
will not have to be borrowed, whereas the first THB2 trillion financed
by borrowing won’t make public debt over 50% of GDP, FM Kittiratt insisted.
The infrastructure projects would magnify GDP by 1%, create 500,000
jobs, and increase inflation by 0.16% annually, Transport Minister
Chadchat concluded.
Exports jumped on industrial recovery:
Thai exports have returned to normal
as factories stepped up their output after recovering from the floods of
2011. The 16.1% surge in Jan was due partly to Japan’s weak yen policy,
particularly for Japanese automotive products that are manufactured here.
Meanwhile, imports skyrocketed 40.9% yoy, resulting in a trade deficit
of USD5.48 billion, the biggest gap since 1991, as robust economic growth
at home stimulated demand for foreign capital goods, fuel – mainly processed
oil and natural gas – and gold.
Imbalances feared as credit rises:
Thailand’s sharp loan growth since 2011
has worried S&P as the country’s private-sector leverage is already
high compared with normally low income levels. “We did not view such rapid
credit growth as a risk until now owing to several years of muted growth
prior to 2010,” S&P said in a report. “The risk [of economic imbalances]
exists especially for Thailand for the next 12 months, if banking-system
growth continues to significantly outpace the rise in the country’s nominal
GDP”.
Market view: The SET is expected
to spring back today in sync with regional peers, with investors keying
into comments from the captain of the Fed that emphasized an ongoing commitment
to monetary stimulus. Moreover, last night’s successful bond auction in
Italy also helped soothe investor confidence, which was dealt a blow earlier
this week by fears of political deadlock following elections. Note that
if you’re a student of Dow Theory, it’s telling you to buy now.
Wednesday, February 27, 2013
สถานีต่อไป.. อิตาลี
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556
สัปดาห์ที่ผ่านมาหยุดยาว.. ไอผมก็นึกว่าไม่มีประเด็นอะไรให้เขียนมากมายเลยกะของยากดูซักหน่อยจัดเรื่องอิตาลีไป แต่ที่ไหนได้แม่เจ้าเปิดมามีประเด็นโผล่โพล่งตรึมเฉยเลยครับ (- -) ไหนจะเรื่องที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐนั่งยันนอนยันว่าจะคงมาตรการ QE ต่อไป (+), เรื่องที่ JPMorgan Chase ยักษ์ใหญ่การเงินระดับโลกกำลังเตรียมระดมทุนราว 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อตั้งกองทุนลงทุนในสินทรัพย์สาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วเอเชียรวมถึงไทย (JPMorgan Asian Infrastructure & Related Resources Opportunity Fund) ข่าวนี้ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกับที่นายกยิ่งลักษณ์ประกาศกร้าวที่ฮ่องกงว่าไทยแลนด์ดีจริงมั่นใจพร้อมลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาท (ราว 17% ของ GDP) ซึ่งจะเป็นการลงทุนในโครงการน้ำซัก 3.5 แสนล้านบาท.. นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ก.ล.ต.ขอร้องกระทรวงการคลังให้ยกเว้นภาษีเงินปันผลตลาดหุ้นไทยที่ 10% เนื่องจากมองว่าเป็นการเก็บซ้ำซ้อนกับภาษีเงินได้นิติบุคคล.. และล่าสุดที่ธปท.บอกข่าวดีว่าอาจปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ขึ้นไปอีก (ท่านที่ตามบทความผมสัปดาห์ที่แล้วน่าจะพอเดาได้)
ปี 2012 เศรษฐกิจอิตาลีตกต่ำติดลบถึง 2.2% แย่สุดในกลุ่ม G7 ซึ่งปีนี้ก็คงไม่แคล้วที่จะติดลบต่อไป.. ซ้ำร้ายยังมีปัญหาการเมืองอีก.. มองตรงนี้แล้วก็ยิ่งตอกย้ำถึงภาพความถดถอยของยุโรป -/\- และทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจเค้าคงยากที่จะกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกอย่างน้อยในชั่วทศวรรษนี้.. ก็ขอเอาใจช่วยให้เค้าผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายไปได้ในเร็ววันครับ
เขียนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556
สัปดาห์ที่ผ่านมาหยุดยาว.. ไอผมก็นึกว่าไม่มีประเด็นอะไรให้เขียนมากมายเลยกะของยากดูซักหน่อยจัดเรื่องอิตาลีไป แต่ที่ไหนได้แม่เจ้าเปิดมามีประเด็นโผล่โพล่งตรึมเฉยเลยครับ (- -) ไหนจะเรื่องที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐนั่งยันนอนยันว่าจะคงมาตรการ QE ต่อไป (+), เรื่องที่ JPMorgan Chase ยักษ์ใหญ่การเงินระดับโลกกำลังเตรียมระดมทุนราว 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อตั้งกองทุนลงทุนในสินทรัพย์สาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วเอเชียรวมถึงไทย (JPMorgan Asian Infrastructure & Related Resources Opportunity Fund) ข่าวนี้ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกับที่นายกยิ่งลักษณ์ประกาศกร้าวที่ฮ่องกงว่าไทยแลนด์ดีจริงมั่นใจพร้อมลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาท (ราว 17% ของ GDP) ซึ่งจะเป็นการลงทุนในโครงการน้ำซัก 3.5 แสนล้านบาท.. นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ก.ล.ต.ขอร้องกระทรวงการคลังให้ยกเว้นภาษีเงินปันผลตลาดหุ้นไทยที่ 10% เนื่องจากมองว่าเป็นการเก็บซ้ำซ้อนกับภาษีเงินได้นิติบุคคล.. และล่าสุดที่ธปท.บอกข่าวดีว่าอาจปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ขึ้นไปอีก (ท่านที่ตามบทความผมสัปดาห์ที่แล้วน่าจะพอเดาได้)
แต่อย่างไรก็ดี ภาพหนึ่งสัปดาห์จากนี้ตลาดคงจะขึ้นได้ยากหน่อยนะครับนะ..
อาจจะเห็นการเล่นรถไฟหมุนตีลังกาแปดสิบตลบเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับหุ้นอเมริกา (ไปกลับ 300 จุด) เมื่อคืนวันจันทร์ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดกำลังหาเหตุผลในการขายทำกำไรระยะสั้น
(Morgan Stanley เพิ่งปรับลดอันดับหุ้นไทยลงเป็น underweight)
โดยครั้งนี้จี้จุดไปที่ปัญหาการเลือกตั้งในอิตาลี..
กูรูบางท่านถึงขนาดพูดว่าตรงนี้อาจทำให้ปัญหายุโรปกลับมาระทุระทวยอีกครั้งได้
มารู้จักอิตาลีกันหน่อย
อิตาลีมีพื้นที่ประมาณ 60% ของไทยครับ.. รูปร่างประเทศเหมือนรองเท้าบู้ท
โดยมีประชากรราว 61 ล้านคน และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในกลุ่มยูโร
รองจากเยอรมันและฝรั่งเศส.. โดยเศรษฐกิจขึ้นกับภาคบริการถึง 3 ใน 4
ปัญหาของอิตาลีสะสมมานานครับ..
เกิดตั้งแต่สมัยที่ยังไม่รวมกลุ่มเป็นยูโรโซน เพราะรัฐบาลใช้ดอกเบี้ยนโยบายสูงเกินควร
ทำให้ต้นทุนการเงินของประเทศสูงเกินจำเป็น (เช่น ในปี 1992 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 5%
แต่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 15%) แม้ว่าปัจจุบันจะมี ECB แล้ว แต่อัตราว่างงานที่สูงถึง 11.2% ของอิตาลีทำให้เศรษฐกิจเติบโตน้อย
อีกทั้งประเทศยังต้องแบกภาระหนี้ที่สูงขึ้นเรื่อยๆจากโครงการต่างๆของภาครัฐ.. โดยล่าสุดหนี้สาธารณะอยู่ที่ราว 121% ของ GDP (สูงเป็นอันดับ 2 ในยูโรโซนรองจากกรีซ)..
ซึ่งตรงนี้ทำให้รัฐบาลต้องเสียเงินงบประมาณไปกับค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเรื่อยๆ เรื่อยๆ
และเรื่อยๆ
ปี 2012 เศรษฐกิจอิตาลีตกต่ำติดลบถึง 2.2% แย่สุดในกลุ่ม G7 ซึ่งปีนี้ก็คงไม่แคล้วที่จะติดลบต่อไป.. ซ้ำร้ายยังมีปัญหาการเมืองอีก.. มองตรงนี้แล้วก็ยิ่งตอกย้ำถึงภาพความถดถอยของยุโรป -/\- และทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจเค้าคงยากที่จะกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกอย่างน้อยในชั่วทศวรรษนี้.. ก็ขอเอาใจช่วยให้เค้าผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายไปได้ในเร็ววันครับ
Wednesday, February 20, 2013
ยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึง
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2556
พอรวมเป็นตัวเลขทั้งปี 2555 ทำให้ GDP ไทยเลขที่ออกเป็น +6.4% สูงกว่าที่คาดที่ +5.5% พอสมควร.. (ใครใคร่นำไปซื้อเลขท้ายก็ได้แต่อาจไม่ถูก เพราะเค้าเก็งเลขอื่นกันอยู่ อิอิ) ซึ่งถ้าจะพูดให้สวยหน่อยก็ต้องบอกว่า “เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวในอัตราเร่งอีกครั้ง”.. เนื่องจากหลังจากที่เราโตกระฉูดในไตรมาสแรกปี 2555 (เทียบ QoQ).. เศรษฐกิจเราก็แผ่วเบามาตลอดในไตรมาส 2 และต่อเนื่องถึงไตรมาส 3 ปีเดียวกัน.. เลยทำให้นักวิเคราะห์ทั้งหลายมองว่าไตรมาส 4 ปี 55 ก็น่าจะแผ่วเบาต่อไป แต่! หารู้ไม่ว่าท่านประเมินสยามเมืองยิ้มต่ำไปเสียแล้ว.. ฮ่า ฮ่า ฮ่า.. ไตรมาส 4 จัดไป +18.9% yoy ซะเลย.. นำโดยพี่ใหญ่การลงทุน (+23.5% yoy) น้องรองการบริโภค (+12.2% yoy) และเจ้ส่งออก (+13.5% yoy).. ส่วนปีนี้ 2556 ที่คาดกันว่าจะโต 4.5-5.6% ไม่แน่นะอาจจะแรงกว่านี้ก็ได้.. ปรับประมาณการกันให้ทันละครับ คิคิ
เขียนเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2556
จนถึงเพลานี้พี่น้องคงทราบแล้วครับว่าเศรษฐกิจประเทศไทยโตกระชากใจหนุ่มๆสาวๆเพียงใด..
แม้ว่าตัวเลข +18.9% yoy ในไตรมาส 4 ปี 2555 จะเกิดจากฐานต่ำเมื่อปลายปี 2554 (ที่น้ำท่วมกระชากจิตใจทำให้กระผมต้องเปลี่ยนฐานที่มั่นไปอยู่โรงแรมย่านสีลมชั่วคราว)..
แต่นั่นก็เป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวไม่ได้กระทบต่อเศรษฐกิจไทยเท่าใดเลย
ซึ่งตรงนี้ต้องขอยกผลประโยชน์บางส่วนให้กับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาด้วยครับ
พอรวมเป็นตัวเลขทั้งปี 2555 ทำให้ GDP ไทยเลขที่ออกเป็น +6.4% สูงกว่าที่คาดที่ +5.5% พอสมควร.. (ใครใคร่นำไปซื้อเลขท้ายก็ได้แต่อาจไม่ถูก เพราะเค้าเก็งเลขอื่นกันอยู่ อิอิ) ซึ่งถ้าจะพูดให้สวยหน่อยก็ต้องบอกว่า “เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวในอัตราเร่งอีกครั้ง”.. เนื่องจากหลังจากที่เราโตกระฉูดในไตรมาสแรกปี 2555 (เทียบ QoQ).. เศรษฐกิจเราก็แผ่วเบามาตลอดในไตรมาส 2 และต่อเนื่องถึงไตรมาส 3 ปีเดียวกัน.. เลยทำให้นักวิเคราะห์ทั้งหลายมองว่าไตรมาส 4 ปี 55 ก็น่าจะแผ่วเบาต่อไป แต่! หารู้ไม่ว่าท่านประเมินสยามเมืองยิ้มต่ำไปเสียแล้ว.. ฮ่า ฮ่า ฮ่า.. ไตรมาส 4 จัดไป +18.9% yoy ซะเลย.. นำโดยพี่ใหญ่การลงทุน (+23.5% yoy) น้องรองการบริโภค (+12.2% yoy) และเจ้ส่งออก (+13.5% yoy).. ส่วนปีนี้ 2556 ที่คาดกันว่าจะโต 4.5-5.6% ไม่แน่นะอาจจะแรงกว่านี้ก็ได้.. ปรับประมาณการกันให้ทันละครับ คิคิ
และนี่อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุว่าทำไมต่างชาติเค้าถึงมั่นใจในตลาดหุ้นไทยนักหนา
(ขนเงินมาลงทุนอยู่ได้ แง้วๆ) โดยเวปไซด์ CNNMoney ถึงกับพาดหัวใหญ่สุดๆลงหน้าแรกเลยครับว่า “THAILAND’S RAPID RECOVERY” เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา.. กระต๊าก!
บ่งบอกว่าเค้าให้ความสำคัญกับเรามากส์!! ด้านมูลค่าตลาดหุ้นไทยก็ต้องบอกว่าโอ้แม่เจ้า
เพราะขึ้นไปถึง 13 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้นกว่า 9 ล้านล้านบาทในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา)
สูงกว่า GDP ของประเทศ
ณ บัดนาวถึง 1.13 เท่า.. ร้อนแรงมาก.. คืองี้ครับ โดยปกติแล้วมูลค่าตลาดหุ้นไทย (Market Cap) จะอยู่ต่ำกว่า
GDP มาโดยตลอด
มีแค่ช่วงปี 2537-38 เท่านั้นที่ขึ้นมาเกิน แล้วหลังจากนั้น
คงไม่ต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้น… อ๊ะๆ แต่อย่างเพิ่งเข้าใจว่าผมยกตัวเลขนี้มาเพื่อบอกว่าตลาดจะ
crash เหมือนในอดีตนะครับ..
หากแต่เพื่อให้ทราบไว้จะได้ไม่ประมาท เพราะเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันมักเกินขึ้นในช่วงที่คาดฝันอยู่เสมอ..
อย่างไรก็ดี ผมคงต้องบอกว่าจากนี้ไปเรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่แจ่มว้าวกว่าเดิม ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างที่แตกต่างจากในอดีตอยู่มาก (ตอนที่เราพยายามเป็นเสือตัวที่ 5 แต่กลับเป็นแมลงสาบตัวที่ 1) AEC
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า..
ก็ขอเอาใจช่วยทุกท่านในยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึงครับ
Wednesday, February 13, 2013
ลดดอกเบี้ยดีอย่างไร vs ไม่ลดดีกว่าไหม
สวัสดาคริบ สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2556
สัปดาห์ที่แล้วพร่ำพรรณาไปว่าคีย์ order
SET50 futures 4 หลัก (หลักพัน) ช่างปวดสายตาเสียนิกระไร.. ไม่ทันไร! เหมือนมีเจ้าไม้เจ้ามือท่านได้ยินครับ ช่วยบันดาลให้ลงมาเหลือ 3 หลัก (หลักร้อย) ในบัดดล อิอิ.. สถานการณ์จากนี้ไปจนถึงกลางสัปดาห์หน้า
ความผันผวนจะยิ่งทวีคูณครับ.. เพราะยิ่งเข้าใกล้วันเชงเม้ง เอ้ย
วันประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Committee) ในวันที่ 20
ก.พ. ศกนี้.. พี่น้องครับ! ลด/ไม่ลดดอกเบี้ยดีครับ?
ลดดอกเบี้ยดีอย่างไร (มุมมองฝั่งรัฐบาล)
เนื่องจากดอกเบี้ยนโยบายของไทยในขณะนี้ที่ 2.75% อยู่สูงกว่าหลายประเทศในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (เช่น ยุโรป + อเมริกา + ญี่ปุ่น) โดยเฉพาะอเมริกาที่ผมขอขนานนามว่า “เจ้าแห่งนักอัดฉีดสภาพคล่อง” ที่พิมพ์เงินจำนวนมหาศาลทุกเดือนแถมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเค้า (Fed Fund Rate) ยังอยู่ต่ำเตี้ยติดพสุธาที่ 0.25%.. ทำให้ฝรั่งขนเงินหรือกู้เงินจากประเทศที่ดอกเบี้ยต่ำๆ เช่นนี้ (Carry Trade) มาลงทุนในประเทศที่ดอกเบี้ยสูงกว่าเช่นไทย (+ +) จึงทำให้ค่าเงินบาทแข็งกระโป๊กขึ้นมาทันตา.. ไงละ ผู้ส่งออกเดือดร้อนสิคร้าบ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME).. ดังนั้นหากมีการลดดอกเบี้ยจะช่วยชะลอการไหลเข้าของเงินทุน ซึ่งค่าเงินบาทอาจจะกลับมาอ่อนค่าในระยะสั้นได้อีกครั้ง แฮ่ๆ
เนื่องจากดอกเบี้ยนโยบายของไทยในขณะนี้ที่ 2.75% อยู่สูงกว่าหลายประเทศในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (เช่น ยุโรป + อเมริกา + ญี่ปุ่น) โดยเฉพาะอเมริกาที่ผมขอขนานนามว่า “เจ้าแห่งนักอัดฉีดสภาพคล่อง” ที่พิมพ์เงินจำนวนมหาศาลทุกเดือนแถมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเค้า (Fed Fund Rate) ยังอยู่ต่ำเตี้ยติดพสุธาที่ 0.25%.. ทำให้ฝรั่งขนเงินหรือกู้เงินจากประเทศที่ดอกเบี้ยต่ำๆ เช่นนี้ (Carry Trade) มาลงทุนในประเทศที่ดอกเบี้ยสูงกว่าเช่นไทย (+ +) จึงทำให้ค่าเงินบาทแข็งกระโป๊กขึ้นมาทันตา.. ไงละ ผู้ส่งออกเดือดร้อนสิคร้าบ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME).. ดังนั้นหากมีการลดดอกเบี้ยจะช่วยชะลอการไหลเข้าของเงินทุน ซึ่งค่าเงินบาทอาจจะกลับมาอ่อนค่าในระยะสั้นได้อีกครั้ง แฮ่ๆ
ไม่ลดดอกเบี้ยดีกว่าไหม (มุมมองฝั่งแบงค์ชาติ)
ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้า.. ท่านให้เหตุผลว่าในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น (เพราะผลจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของรัฐบาล เช่น ค่าแรง 300 บาท ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น) แต่ไปลดดอกเบี้ยลง (ทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบมากขึ้น) อาจทำให้เกิดปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาวได้.. เพราะเมื่อดอกเบี้ยต่ำ จะทำให้คนรู้สึกไม่อยากฝากเงินกับธนาคารแต่อยากขนเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น.. อีกทั้งเป็นการกระตุ้นการกู้ยืม ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาฟองสบู่ตามมาได้
ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้า.. ท่านให้เหตุผลว่าในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น (เพราะผลจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของรัฐบาล เช่น ค่าแรง 300 บาท ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น) แต่ไปลดดอกเบี้ยลง (ทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบมากขึ้น) อาจทำให้เกิดปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาวได้.. เพราะเมื่อดอกเบี้ยต่ำ จะทำให้คนรู้สึกไม่อยากฝากเงินกับธนาคารแต่อยากขนเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น.. อีกทั้งเป็นการกระตุ้นการกู้ยืม ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาฟองสบู่ตามมาได้
ข้อสรุปผมขอไม่สรุปละกันว่าวิธีไหนดีกว่าเพราะเป็นการคิดทางเศรษฐศาสตร์และอยู่เหนือความสามารถผมขึ้นไปยิ่งนัก..
แต่หากมีการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้น ตรงนี้อย่างที่บอก.. ตลาดหุ้นจะกลับมากระชุ่มกระชวยยิ่งขึ้นไปอีก..
หุ้นใหญ่ๆที่แผ่วเบา อาจจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
รวมถึงกลุ่มอสังหาที่น่าจะมีโมเมนตัมให้เล่นไปได้ต่อ
อีกทั้งค่าเงินบาทก็จะกลับมาอ่อนค่าในระยะสั้น.. แต่หากไม่ลด ก็ไม่มีอะไร
ชิลๆต่อไป
Tuesday, February 5, 2013
ความผันผวนขั้นเทพ
สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2556
สัปดาห์ที่ผ่านมาต้องบอกว่าตลาดบ้านเราสวีวี่วีมากครับ
ขึ้นพรวดลงพราด.. แต่สุดท้ายก็ยังรักษาเทรนขาขึ้นไว้ได้เหมือนเดิม (เย้)
พี่ใหญ่ที่หลับใหลมานานอย่าง PTT ก็ฟื้นตื่นขึ้นมาด้วยแรงปลุกจากเหล่าฝรั่งมังค่า (ทั้งหัวดำหัวขาว).. เหล่าธนาคารขาโจ๋อย่าง BBL, KBANK,
และ
KK ก็เดินหน้าต่อไม่บันยะบันยัง.. โจ้ย!
แต่สิ่งที่ต้องระวังจากนี้ก็คือสถานการณ์ทางการเมืองในยุโรปไม่ว่าจากอิตาลีหรือสเปน
ซึ่งแม้ผมจะมองว่าแท้จริงแล้วก็เป็นเรื่องปกติในการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง
แต่นักลงทุนอาจหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นเหตุผลในการขายทำกำไรได้ (ใครๆก็รอลง)
อีกทั้งถ้าการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 7
ก.พ. นี้มีประเด็นอะไรที่น่าตกใจออกมา..
ตลาดอาจจะมีเหวี่ยงแรงๆให้เห็นอีกหลายรอบครับ
ด้านสถานการณ์ในตลาดอนุพันธ์ นักเก็งกำไรท่านใด Short ไว้ก็อาจเหนื่อยหน่อย
ต้องรีบปิด position ให้ทันกันจ้าละหวั่น.. เพราะถึงแม้ตลาดจะลงแรงแต่ก็เด้งแซงทางโค้งซะงั้น..
กระต๊าก! ในขณะที่ความรู้สึกผมตอนนี้คือไม่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก..
เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยคีย์ order SET50 Futures ที่ราคา 4 +1
หลักมาก่อน (หลักพัน+ทศนิยมหนึ่งตำแหน่ง) มันรู้สึกตะหงิดๆอยากกลับไปคีย์ที่ราคาต่ำกว่า 4 หลักยังไงก็ไม่รู้ อิอิ.. อย่ากระนั้นเลย แม่นาง.. วันนี้ข้าน้อยมีอาวุธลับใหม่มาแนะนำขอรับ
บางท่านอาจจะคุ้นเคย บางท่านอาจจะยังไม่ทราบ แต่นิแหละคือศาตราที่เหล่าจอมยุทธ์แห่งสำนักบัวหลวงใช้ในการประเมินความผันผวนของตลาดกันอย่างมันส์มือ..
สิ่งนั้นมีนามว่า Bull-To-Bear ratio
วิธีดูก็ง่ายแสนง่ายครับ กราฟด้านบนคือสัญญาณสำหรับระยะสั้น
ด้านล่างคือสำหรับระยะกลาง (โดยเราจะให้น้ำหนักระยะกลางมากกว่า) โดยปัจจุบัน Bull-To-Bear
ratio (เส้นสีน้ำเงิน) ขึ้นไปแตะ High Risk Zone (เส้นสีแดง)
ครบทั้ง 2 กราฟแล้ว.. นั่นหมายถึงตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้จนถึงสัปดาห์หน้า
ตลาดน่าจะเข้าสู่ช่วงพักผ่อน (Mild correction) อาจจะมีคลื่นลมกรรโชกแรงเป็นระยะๆ
เรือเล็กไม่ควรออกจากฝั่ง คิคิ.. โดยจอมยุทธ์พี่นิดและพี่ตุ๊แห่งสำนักบัวหลวงประเมินความแรงไว้ที่ระดับไม่เกิน 5% **หมายเหตุ: จุดเสี่ยงที่จะทำให้ประเมินผิดคือ เรื่อง Liquidity เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวไม่สามารถ factor
in เข้ามาใน
models ได้
เอาละก็พอหอมปากหอมคอหอมหวนกันเท่านี้ครับ.. ใครสงสัยอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือ
Bull-To-Bear ratio ก็ปรึกษาพี่นิดพี่ตุ๊โดยตรงได้เลยนะ.. 2 ท่านนี้ฝีมือสุดยอดจริงๆ
อาวุธตรึม! แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
Subscribe to:
Posts (Atom)