Wednesday, January 15, 2014

ฝรั่งมังค่า

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 15 มกราคม 2557

ความวุ่นวายทางการเมืองยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติกระปริบกระปรอยไม่กล้าซื้อหุ้นไทยเต็มกระบอกทั้งๆที่ขายไปปีที่แล้วทั้งปีเกือบ 2 แสนล้านบาท “โอกาส”มีอยู่ในทุกวิกฤต เพียงแต่วิกฤตที่ลากยาวกว่าปกติ ก็อาจทำให้เราเจอโอกาสที่ “ดีกว่า”ได้อยู่เรื่อยๆก็เป็นได้.. ผมได้นำข้อมูล (จาก SETSMART) มาให้ดูครับ จะเห็นว่าหากนับจากต้นปีนักลงทุนที่มียอดซื้อสะสมอยู่ก็คือ ฝรั่งกับพอร์ตโบรกในขณะที่นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ขายหนัก รวมถึงนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อขายเกือบจะเท่ากัน 

แต่หากมาดูตัวเลขในตลาดอนุพันธ์ และเจาะจงไปเฉพาะ SET50 IndexFutures เป็นที่น่าแปลกว่านักลงทุนต่างชาติกลับเป็น ยอดซื้อ (long) สะสมมาตลอด “ทุกวัน” นับตั้งแต่ต้นปี..ตรงนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนเล็กๆว่า หากใครจะ ขาย (Short) SET50Index Futures เพื่อเก็งกำไรในช่วงนี้ อาจต้องเพื่อความระมัดระวังมากขึ้นและกำหนดจุดstop loss ให้ดีครับ

ขอจบบทความสั้นๆเพียงเท่านี้ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ^^

Wednesday, January 8, 2014

ตั้งสติก่อนสตางค์

สวัสดีปีใหม่ครับ,
เขียนเมื่อ 8 มกราคม 2557

การลงทุนในหุ้นไทยช่วงนี้ รวมถึง การเก็งกำไรในตราสารอนุพันธ์ อาจต้องใช้สติ (มากกว่าสตางค์) มากพอสมควรครับ สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันที่ไม่มีใครอาจรู้ได้ว่าจะจบเช่นไร เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทย underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา บางท่านถึงกับเปรียบสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้กับตัวอย่างหนึ่งของทฤษฎีเกมในทางเศรษฐศาสตร์ (Game Theory) ที่ชื่อว่า Prisoner's dilemma โดยบทสรุป ก็คือ ทั้ง 2 ฝ่ายไม่อาจยอม หรือ เลิกรากันได้ ไม่งั้นจะเกิดผลเสียต่อฝ่ายตนเองอย่างมหาศาล.. อย่างไรก็ดีทฤษฎีนี้มีทางออกอยู่ครับ ซึ่งผมขออุบไว้ก่อนละกัน

ในแง่มูลค่าพื้นฐาน ณ level ปัจจุบันถือว่า SET Index ไม่ได้แพงแล้วครับ คุณปรเมศร์ ทองบัว นักกลยุทธ์แห่งค่ายสถาบันของบัวหลวงได้ทำ chart ด้านล่างนี้ไว้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บ่งบอกว่า PE ตลาดหุ้นไทยถูกกว่าค่า PE เฉลี่ยของตลาดอินโด-ฟิลิปปินส์-มาเลเซีย และ ดัชนี S&P500 ของอเมริกา ถึงเกือบ 30% (เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราว 20%)

แต่ประเด็นก็คือ หากเรายังไม่สามารถหาทางออกของบ้านเมืองได้ ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะ trade ที่มูลค่า discount ใกล้ๆ 30% แบบนี้ไปอีกซักพักก็เป็นได้ครับ

ในแง่ของนักลงทุนต่างชาติ จากแผนภูมิด้านล่าง แสดงให้เห็นว่า ฝรั่งได้ขายหุ้นไทยในปีที่แล้วปีเดียวเป็นมูลค่าถึงเกือบ 2 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่ามูลค่าที่เค้าซื้อสะสมมาตลอด 4 ปี (2009-2012) เสียอีก สาเหตุนอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นผลจากการลดการอัดฉีดเงิน (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งเหตุผลอย่างหลังนี้ น่าจะยังคงหลอกหลอนนักลงทุนในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยไปอีกตลอดปีนี้ครับ

Wednesday, December 25, 2013

ส่งท้ายปี

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 25 ธันวาคม 2556

ตลาดหุ้นในสัปดาห์สุดท้ายของปีคงไม่น่ามีอะไรมาก วันนี้มีแค่จีนและญี่ปุ่นที่เปิดตลาดเป็นเพื่อน SET Index ของเราครับ ลูกค้าผม หลังจากทำการ Roll over ตัว SET50 Index Futures ไปเป็นสัญญาที่หมดอายุเดือนมีนาแล้ว ก็ชะแว้ปไปเที่ยวกันหลายคนละ.. ส่วนท่านใดที่ยังไม่ได้ปิดสถานะตัว Z ก็อย่าลืมว่าวันที่ 26 ธันวานี้ เป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายแล้วนะครับ 
  
บทความฉบับนี้เป็นบทความสุดท้ายของปี 2013 ซึ่งน่าจะเป็นปีที่เหนื่อยสำหรับนักลงทุนหลายคน..ณ เวลาที่ผมเขียนอยู่นี้ ดัชนี SET ให้ผลตอบแทนติดลบ 4.5% หากนับจากต้นปีในขณะที่ดัชนี NIKKEI ของญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนถึง 37% และดัชนี Shenzhen ของจีนให้ผลตอบแทน 30%  .. แต่ อย่าเพิ่งเศร้าใจไปครับ! หากเราดูประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนิเซีย ดัชนี Jakarta ของเค้าติดลบถึง 18% ซึ่งก็แย่กว่าเราเยอะ ดังนั้น หากปีนี้ทั้งปีใครลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว“รักษาเงินต้นไว้ได้” หรือ พูดอีกอย่างว่า “ไม่ขาดทุน” ก็ถือว่าชนะคนส่วนใหญ่แล้วครับ!  ช่วงหยุดยาวนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะได้ทบทวนข้อผิดพลาดที่เราได้ลงทุนไปตลอดทั้งปี รวมถึงคิดแผนการวางกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนในปีหน้าด้วย
  
สุดท้าย เนื่องในโอกาสปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกดลบันดาลให้แฟนคอลัมภ์นักค้าหน้าหยกทุกท่าน พบแต่สิ่งดีๆ มีสุขภาพแข็งแรง และลงทุนอย่างมีความสุขมากๆครับ!
  
สุดท้ายจริงๆ .. นำรูปงาน TFEX New Year Party เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมาฝากครับ ทุกคนจัดเต็มมาก 555



Wednesday, December 18, 2013

คุ้มครอง ค้ำจุน เยียวยา

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 18 ธันวาคม 2556

ก่อนที่จะไปรู้ผล QE ในคืนนี้ว่าจะถอน ถอนบางส่วน หรือ ไม่ถอนเลยลองมาทบทวนกันครับว่า ตั้งแต่เกิดวิกฤตซับไพรม์ซึ่งมีสาเหตุมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ธนาคารกลางของเค้า ได้ใช้นโยบายการเงินเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง


หากเจาะจงไปเฉพาะ QE3 อาจกล่าวได้ว่า มันถูกออกมาเพื่อคุ้มครอง ค้ำจุน และ เยียวยา (Insurance policy) ต่อปัญหาทางการคลังของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหา Fiscal cliff เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ปัญหาขยายเพดานหนี้ และล่าสุดคือปัญหา government shutdown เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็ดูเหมือนว่าอเมริกาจะผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้แม้จะมีช่วงเวลาให้เสียวตื่นเต้นอยู่บ้าง อีกทั้งการที่สภาสูงสหรัฐฯเพิ่งผ่านร่างงบประมาณสำหรับ 2 ปีหน้า นั่นหมายถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิด government shutdown อีกครั้งในปี2014 มีน้อยลงไปเยอะ กล่าวโดยสรุปคือ เนื่องด้วยตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และปัญหาต่างๆก็คลี่คลายลงไปมาก มีโอกาสสูงที่ Fed จะลดขนาด QE ลงเร็วๆนี้ครับ
  
อย่างไรก็ดี ปีนี้ ฝรั่งขายหุ้นไทยแล้วเป็นมูลค่ากว่า US$ 5 พันล้าน ซึ่งนับว่าเป็นปีที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี1998 (ข้อมูลจาก Morgan Stanley) โดยหากนับเฉพาะช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง (ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2013) ฝรั่งเป็นยอดขายสุทธิถึง US$2.4 พันล้าน..ซึ่งผมเชื่อว่าตรงนี้หมายถึงข่าวเรื่อง QE Tapering ได้สะท้อนไปในราคาหุ้นพอสมควรแล้วและแรงขายฝรั่งน่าจะค่อยๆน้อยลงเมื่อใกล้สิ้นปี หุ้นไทยก็น่าจะกลับมาสวีวี่วีได้อีกครั้ง โชคดีครับ : )

Wednesday, December 11, 2013

สะบั้นเป้า ไม่เศร้าใจ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 11 ธันวาคม 2556

แม้ความวุ่นวายทางการเมืองยังไม่จบแต่ตลาดยังสามารถยืนเหนือจุดต่ำสุดที่ 1345 ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาได้อย่างไม่แคร์สื่อ (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบทความ Déjà vu ของผมเมื่อ 27 พ.ย. รึเปล่า คริคริ) แม้กระนั้น พี่ปรเมศน์ ทองบัวนักกลยุทธ์ดีกรี CFA จากสายงานวิจัยลูกค้าสถาบัน หลักทรัพย์บัวหลวง ได้ออกมาสะบั้นเป้า SET Index ในปีหน้าจาก1670 เหลือเพียง 1510 ซึ่งเทียบเท่า PE ที่ 13.9 เท่า โดยยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 12 เท่าอยู่ 0.5SD


สาเหตุหลักชัดเจนครับว่าเป็นเพราะผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบของบ้านเมือง ซึ่งลองเทียบกับช่วงที่พรรคประชาธิปปัตย์คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อปี 2006 เดือนเมษายนจนสุดท้ายเกิดการรัฐประหารในเดือนกันยายน ช่วงนั้น เศรษฐกิจไทยโดยรวมอ่อนแอมาก และ SET Index ก็ underperform ตลาดในภูมิภาคเกือบตลอดทั้งปี



ถึงบรรทัดนี้ก็ต้องบอกว่า ท่านนักลงพุงและนักเกร็งลำไยทุกท่านอย่างเพิ่งสิ้นหวังครับ ข่าวดียังมี ซึ่งก็คือ Forward PE ของตลาดไทยในปีหน้ายังถูกกว่าค่าเฉลี่ยของ 3 ประเทศเพื่อนบ้าน (อินโด-มาเล-ฟิลิปปินส์) อยู่ถึง 15% แถมยังถูกกว่าดัชนี S&P500 ของอเมริกาอยู่ถึง 16% นั่นหมายถึง เมื่อใดก็ตามที่เรื่องราวความวุ่นวายจบลง ผมว่าฝรั่งพร้อม ไทยพร้อม ที่จะลุยอีกระลอก หรือพูดเป็นภาษาสวยๆว่าช่วงครึ่งหลังของปี 2014 มีโอกาสสูงที่ fund flows จะไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยเต็มๆอีกครั้ง!

Wednesday, December 4, 2013

แค่ลอง หันมองหน่อย

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 4 ธันวาคม 2556

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ต้องบอกว่า ยืนได้ด้วยความหวังจริงๆครับ ความหวังที่ว่าความวุ่นวายในบ้านเมืองจะจบลงซึ่งหากจบลงจริง ตลาดจะหยิบประเด็นอะไรขึ้นมาเล่นต่อ นั่นเป็นคำถามที่ต้องตอบ
  
ผมไม่ใช่แฟนเพลงอ๊อฟ ปองศักดิ์ แต่เพลง คำถามที่ต้องตอบ ก็เป็นเพลงที่ผมได้ยินอยู่บ่อยๆ ซึ่งหลังจากนี้ตลาดหุ้นน่าจะเริ่มหันไปโฟกัสในเรื่องของตัวเลขเศรษฐกิจมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นของประเทศไทย หรือ ของโลก
  
ของไทยเองนับว่าเป็นข่าวดี ที่ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current account) ในเดือนพฤศจิกายนกลับมาเป็นบวกได้อีกครั้ง สอดคล้องกับ 2 ประเทศหลักในเอเซียที่มีปัญหาอย่างอินเดีย และ อินโดนิเซียที่รายงานตัวเลขดังกล่าวเซอร์ไพรส์ตลาด ดีขึ้นมวักๆ.. อย่างไรก็ดี ตัวเลขส่งออกบ้านเรายังแผ่ว นำเข้ายังอ่อน (แม้ตัวเลขนำเข้าที่อ่อนจะส่งผลให้ตัวเลขดุลเป็นบวกมากขึ้นแต่นั่นบอกเป็นนัยว่า domestic demand อ่อนแอ หมายถึง ภาคธุรกิจยังไม่กล้าใช้จ่าย หรือ สั่งสินค้าเข้ามามากเพื่อลงทุน หรือ ขยายธุรกิจ)
  
ส่วนเงินเฟ้อบ้านเราก็ทรงๆครับ บวกขึ้นมา 1.92% ในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับปีก่อน และถ้าดูตัวเลข 11 เดือนแรกของทั้งปีก็ +2.24% ซึ่งถือว่ายังอยู่ในกรอบที่แบงค์ชาติให้ไว้ที่ 0.5-3.0% นั่นหมายถึง แบงค์ชาติยังสามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายแบบนี้ต่อไปได้อีกซักพัก
  
ก่อนจะปิดท้าย ขอวกไปที่ระดับโลกนิดนึงอเมริกาจะมีการประกาศตัวเลขจ้างงานในวันศุกร์นี้ครับ โดยเฉพาะตัวเลขอัตราว่างงาน (Unemployment rate) เป็นที่ต้องจับตา ของเดิมคือ 7.3% แต่ตลาดคาดว่าจะดีขึ้นเป็น 7.2% ตรงนี้ถ้าประกาศออกมาแล้วดีขึ้นมากๆๆ (เช่น น้อยกว่า 6.5%) อาจจะเป็นการส่งสัญญาณว่า QE อาจถูกลดเร็วกว่าที่คิดไว้ โดย 17-18 ธันวาคมจะเป็นการประชุม FOMC ครั้งสุดท้ายของปีครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้.. หรือบางทีอาจถึงเวลาที่ต้องหันมามองน้องตราสารอนุพันธ์เพื่อใช้ป้องกันความเสี่ยงบ้างซะกะละมัง



Wednesday, November 27, 2013

Déjà vu

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2556

ผมเพิ่งกลับจากฮ่องกง แวะไปเยี่ยมลูกค้าที่น่ารักมาครับกลับมาก็ตกใจ  เพราะทราบว่ามีบริษัทฝรั่งรายใหญ่เจ้าหนึ่งปรับลดอันดับหุ้นไทยโดยให้น้ำหนักเพียงต่ำกว่าตลาด (Underweight) โดยพ่วงอินโดนิเชียฮ่องกง และออสเตรเลีย ไปด้วย
  
ที่เค้าสะบั้นตลาดหุ้นไทยลงมา ส่วนหนึ่งเพราะเค้าเชื่อว่าตลาดหุ้นในอาเซียนน่าจะ underperform ตลาดหุ้นในเอเซียต่อไปจนถึงปีหน้า เหตุผลก็ง่ายๆครับเพราะเรา outperform คนอื่นมาตลอดตั้งแต่ปี 2006 – 2012 อีกทั้ง 2 ประเทศหลักอย่างไทยกับอินโดนิเซียก็ยังมีประเด็นเรื่องขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (Current account deficit) กับ การขยายตัวของสินเชื่อที่ดูจะมากไปนิส (Excess credit growth) เค้าเลยสรุปว่าเจอกันอีกทีนู้นเลย ครึ่งหลังปีหน้า ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่การเมืองในไทยนิ่งและทุกอย่างถูกปรับเข้าสู่สมดุลแล้ว



มาถึงตอนนี้ก็ต้องยอมรับครับว่า หากมองในเชิงพื้นฐานโอกาสที่ตลาดจะกลับขึ้นไปสูงๆ.. ยาก ในขณะที่ downside ดูจะเปิดซะมากกว่าประเด็นความวุ่นวายทางการเมืองน่าจะส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยไปอีกซักพักอย่างไรก็ดี ผมกลับมีความรู้สึกเดจาวู มันเหมือนว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมนที่เหล่าสำนักเศรษฐกิจทยอยปรับลดคาดการณ์ต่างๆลงมาคล้ายกับช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2011 ซึ่งน่าแปลกที่ช่วงนั้นหุ้นไทยกลับไม่ค่อยลงเท่าไหร่
  
หลายๆอย่างอาจไม่เหมือนกัน แต่ลองดูตลาดหุ้นอียิปต์เป็นตัวอย่างครับช่วงเกิดเหตุการณ์รุนแรงมากๆในเดือนมิถุนา ดัชนี EGX30 ถูกถล่มลงไปราว20% แต่หากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) ตลาดกลับเป็นบวกได้ราว17% และถ้านับ 1 ปีย้อนหลัง เป็นบวกถึง 27%



หากมองไปในอนาคต ผมก็มีความหวังลึกๆครับว่าครึ่งปีหลังของปี 2014 ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น และถ้าท่านเชื่อว่าหุ้นซื้อขายบนความคาดหวังเหล่านั้น ก็อาจสรุปได้ว่าณ ช่วงเวลาที่สิ้นหวัง หาทางออกไม่ได้ จนทำให้หุ้นตกหนัก นั่นอาจเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อก็เป็นได้

Wednesday, November 20, 2013

ณ จุดนั้น ชั้นทำอะไร

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2556

วันก่อนได้อ่านเปเปอร์สั้นๆฉบับหนึ่ง เจอรูปน่าสนใจดี เลยนำมาฝากแฟนๆคอลัมภ์ซะหน่อยครับ
ก่อนจะอธิบายรูป ผมอยากจะพูดถึงศาสตร์หนึ่งที่ชื่อว่า จิตวิทยามวลชน (Behavioral Finance) ก่อน ศาสตร์นี้เกี่ยวข้องกับพวกเรานักลงทุนแน่นอนครับ เพราะบางครั้งมันช่วยอธิบายถึงความไม่มีเหตุผลของราคาสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือ ตราสารอนุพันธ์ ว่าทำไมบางครั้งราคามันถึงไม่เป็นไปตามพื้นฐาน ทำไมหุ้นตัวนั้นแพงแล้วถึงแพงได้อีกแต่ทำไมบางตัวถูกอยู่อย่างนั้นสม่ำเสมอ หรือ ทำไมเมื่อมีความกังวลต่างๆเยอะแยะตาแป๊ะเป็นลม แต่หุ้น หรือ ตราสารอนุพันธ์ของหุ้นกลับไม่ลง.. บางทีมันก็อาจเป็นเรื่องของอารมณ์ และ ความคาดหวัง

คำอธิบายของ Behavioral Finance โดยตรงก็คือ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ครับ ไม่ว่าจะเป็นทางสังคม อารมณ์ หรือความรู้สึก เพื่อนำไปอธิบายถึงการตัดสินใจของนักลงทุนในสถานการณ์ต่างๆ ที่จะมีผลต่อราคาสินทรัพย์ เช่น พฤติกรรมตอบสนองมากเกินไปหรือน้อยเกินไป (Over-react and Under-react) พฤติกรรมแห่ตามคนส่วนใหญ่ เค้าว่าไงเราว่างั้น (Herd instinct) หรือ พฤติกรรมการซื้อขายตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง หุ้นผีบอก เค้าบอก (Noise trading) ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้นักวิชาการเค้ามักนำมาใช้โต้แย้งกับทฤษฎีความมีประสิทธิภาพของตลาดครับ (Efficient market theory)

ผมคงไม่ลงในรายละเอียดมากไปกว่านี้ เพราะเขียนไปก็รู้สึกว่าเริ่มจะงงเอง.. กลับมาที่รูปดีกว่า คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิตการลงทุนรึเปล่า เช่น รู้สึกว่า “โอ้วว ช่วงเวลานี้ฉันอยากลงทุนจริงๆเลย รู้สึกดีมากๆเลย ซื้อเต็มแมกส์!” นั่นละครับ ณ จุดความรู้สึกนั้น คุณอาจกำลังใกล้ถึงยอดดอย ซึ่งในรูปแทนด้วยคำว่า “Euphoria” (หมายถึง ความรู้สึกสนุกสนานตื่นเต้นเป็นที่สุด) ซึ่งจากนั้นไม่นาน หุ้นก็ลง หรือ คุณเคยรู้สึกหดหู่แบบนี้บ้างไหม “เอ้อ เล่นทีไร โดนทุกที เซงเป็ดพะโล้จริงๆ ตลาดหุ้นคงไม่เหมาะกับเรากระมัง ขายโล๊ะพอร์ต!” ซึ่งหารู้ไม่ว่า ณ จุดนั้นราคามันอาจกำลังจะถึงก้น และหลังจากนั้นไม่นาน มันก็เด้ง

ที่เขียนทั้งหมด เพียงเพื่อจะให้ตระหนักว่า บางทีอะไรๆที่เราคิด มันก็อาจไม่เป็นอย่างที่คิดครับ ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน (Uncertainty is the only certainty) การวิเคราะห์การลงทุน บางทีมองในแง่มุมเดียวคงไม่ได้ การบริหารความรู้สึก อารมณ์ เป็นเรื่องจำเป็น และที่สำคัญคือ รู้ให้เยอะเข้าไว้ครับ เพราะไม่ว่าสถานการณ์ใดมาถึง เราก็แค่เปิดลิ้นชัก หยิบความรู้ที่เรามีมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์  เท่านั้นเอง

Wednesday, November 13, 2013

คิดถึงคิทแคท

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2556

ช่วงปลายสัปดาห์ก่อนผมได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาซึ่งจัดโดยนิตยสาร Asia Asset Management ผู้พูดหลายท่านเป็นกูรูผู้บริหารเงินมูลค่านับล้านล้านบาท โดยมีประเด็นที่น่าสนใจนำมาฝากเล็กน้อยครับ

กูรู เชื่อว่า ปัจจัยที่สนับสนุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอาจกำลังจะเปลี่ยนเป็นปัจจัยคุกคามนับแต่นี้ไป อันได้แก่ US QE tapering การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ระดับหนี้ที่เพิ่มขึ้นของบางประเทศในเอเซีย และตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของอเมริกาและยุโรป (ทำให้อาจมีการโยกย้ายเงินทุนจาก Emerging markets ไป Developed markets มากขึ้น) อย่างไรก็ดี  แม้จะมีปัจจัยคุกคาม แต่ก็อย่าเพิ่งทุกข์ใจครับ เพราะในระยะยาวแล้ว เอเซีย (โดยเฉพาะพวกเรา ASEAN) เศรษฐกิจยังโตได้หล่อกว่าประเทศอื่นๆอยู่หลายอึดใจ ตัวเลขต่างๆบ่งบอกว่าปัจจัยพื้นฐานของเรายังดูดีอยู่มากเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตปี 1997 สถานการณ์ในตอนนี้ถือว่ายังห่างไกลกับคำว่า crisis อยู่พอสมควร.. ว่าที่จริง วิกฤตมักจะมาในเวลาที่คนส่วนใหญ่มักคาดไม่ถึง เพราะฉะนั้นเลิกกังวล แล้วลงทุนอย่างระมัดระวังและรอบคอบดีกว่าครับ


ถัดมา ตารางด้านบนผมนำมาฝาก (ข้อมูลโดยมิสเตอร์ ปรเมศร์ ทองบัว นักกลยุทธ์ชื่อก้องแห่งค่ายบัวหลวง) ประเด็นก็คือ หากดูปริมาณการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมของทุกปี นักลงทุนสถาบันมียอดเป็น Net buy เกือบทั้งหมด ซึ่งนั่นบ่งบอกพลัง LTF/RMF จากพวกเรานักลงทุนรายย่อยที่ส่งผ่านไปยังนักลงทุนสถาบัน ช่วยให้ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้ในทุกเดือนธันวาคม (ยกเว้นปี 2006 เพราะมีเรื่องรัฐประหารและมาตรการ capital control) ส่วนตารางด้านขวาสุดเป็นการเปรียบเทียบ performance กับดัชนี MXFEJ (คำนวณจาก จีน ฮ่องกง อินโด เกาหลี มาเล ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และ ไทย) ก็จะเห็นว่า SET เรา outperform ดัชนีดังกล่าวเป็นส่วนใหญ่ด้วยครับ

กล่าวโดยสรุปคือ หากใครคิดจะ Short ตลาดหุ้นไทยหนักๆ เพื่อเก็งลำไย เอ้ย เก็งกำไร ในช่วงที่เหลือของปี อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังซักเล็กน้อยครับ แต่หากใครคิดจะพัก ให้คิดถึง คิดแคท... นะ

(ฮา) กริบ

Wednesday, November 6, 2013

ดาวม้าปีกทอง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2556

เหลืออีกเพียงไม่ถึง 1300 ชั่วโมง เราก็จะได้ก้าวสู่ปีใหม่ ปี 2557 ปีมะเมีย ด้วยกัน ว่ากันว่าปีนี้จะเป็นปีที่คึกคักมากครับ เพราะจะได้รับแรงส่งจากทั้งดาวม้าปีกทอง พลังงานหลักจากธาตุไม้ และพลังงานแฝงจากธาตุไฟ ซึ่งตามหลักโหราศาสตร์จีนบอกว่า พลังเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดพลังงานแรงส์ถึง 2 เท่า  บอกเป็นนัยว่าในปีหน้า หากเราทำเรื่องดีๆ ผลดีก็จะส่งผลคูณสอง แต่หากทำเรื่องไม่ดี ผลร้ายก็จะส่งผลทวีคูณเช่นกัน
  
ผมเกริ่นนำแบบนี้เพื่อที่จะให้เพื่อนๆนักลงทุนไม่เครียดกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันมาก อย่าลืมครับว่า เราผ่านเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516,  พฤษภาทมิฬ ปี 2535, ปิดสนามปิดสุวรรณภูมิ ปี 2551, ชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ปี 2553 ซึ่งทุกครั้ง เราก็ฟันฝ่ามาได้ (แม้ต้องใช้เวลา) และประเทศไทยก็เดินหน้ามาจนถึงทุกวันนี้.. ทำสิ่งที่ดี คิดดี และเตรียมพร้อมก้าวสู่ปีใหม่ 2557 ไปด้วยกันดีกว่าครับ  


ในส่วนของตลาด จากกราฟและตารางด้านบนก็จะเห็นครับว่า (ข้อมูลจนถึง 5/11/56) นักลงทุนต่างชาติเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน ด้วยการขายหุ้นไทย แต่การขายครั้งนี้ หากเทียบกับช่วงเดือนมิถุนา หรือ สิงหา ก็ยังถือว่ายังห่างไกล ส่วนตัวผมเชื่อว่าถัดจากนี้ฝรั่งจะเข้าๆออกหุ้นไทยไปเรื่อยๆ ไม่มีแนวโน้มชัดเจนจนกว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะประกาศลดปริมาณ QE อย่างมีนัยสำคัญ.. ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็น่าจะทรงๆ หรือเริ่มน้อยลงเมื่อเข้าใกล้สิ้นปี ในขณะที่แรงซื้อ LTF/RMF จากนักลงทุนรายย่อยที่ส่งผ่านไปยังนักลงทุนสถาบันอาจจะเป็นพระเอกช่วยผลักดันราคาหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะนักลงทุนอาจซื้อ “ทิ้งทวน” เนื่องจากมีข่าวว่าปีหน้าอาจมีการยกเลิกผลประโยชน์ทางภาษี LTF/RMF ละ (ยังไม่ได้สรุปเป็นทางการ)

ว่าแล้ว ก็ขอไปซื้อเพิ่มอีกนิดๆหน่อยๆครับ