Wednesday, January 7, 2015

2014 สะท้านถึง 2015

สวัสดีปีใหม่ครับ,

เราเริ่มปีนี้กันด้วยข่าวเดิมๆ ก็คือเรื่องราคาน้ำมันที่ลงทะลุอเวจีไม่มีหยุดยั้ง แต่เป็นที่น่าสนใจครับว่า ในขณะที่ราคาน้ำมันทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่หุ้นพลังงานตัวหลักในบ้านเราอย่าง PTT และ PTTEP กลับไม่ได้ทำจุดต่ำสุดตาม (ราคา ณ เช้าวันที่ 7 ม.ค.) ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มคุ้นชินกับราคาน้ำมันที่มันลงแบบ non-stop ซะแล้ว บางทีถ้าน้ำมันลงไปมากกว่านี้นักลงทุนอาจจะเฉยๆ ชิลๆ ร้องแล้วไงละ แต่ถ้ามันเด้งเมื่อไหร่ตลาดหุ้นไทยอาจมีเฮก็เป็นได้ครับ



ถัดมา ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ เพราะผมได้เขียนสรุปภาพรวมสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องค่าเงินสกุลหลักๆ นำมาฝากทุกท่านครับ
  
เริ่มที่ค่าเงินดอลลาร์ จากรูปจะเห็นว่า Dollar index (ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ถ่วงด้วยตะกร้าเงิน 6 สกุลหลัก ได้แก่ ยูโร เยน ปอนด์ ดอลล์แคนาดา โครนาสวีเดน และฟรังก์สวิส) แข็งเป๊กครับ สะท้อนถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกาที่ดีขึ้นเป็นลำดับ (แทบจะ decouple จากประเทศอื่นๆ เลยก็ว่าได้) แต่คงต้องมาดูกันอีกทีว่าที่ดี มันดีเพราะยาแรงในช่วงที่ผ่านมารึเปล่า แล้วพอหมดยาแรง มันจะเหี่ยวหรือไม่? แต่นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันอ่อนทะลุทรวงในช่วงที่ผ่านมาครับ



ต่อที่ค่าเงินยูโรที่อ่อนยวบ เป็นผลจากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในยูโรโซนจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงต่อเนื่อง แถมประเด็นเรื่องกรีซจะออกไม่ออกจากยูโรโซนยังโดนเอากลับมาเล่นใหม่อีกครั้ง (ซึ่งหุ้นกรีซก็โดนจัดหนักจริงในช่วงที่ผ่านมา) และ ECB ที่อาจต้องประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินอย่าง QE (ทั้งที่จริงๆ ไม่ค่อยอยากใช้) ในการประชุมช่วงปลายเดือนนี้

ส่วนค่าเงินเยนก็อ่อนเทียบดอลลาร์แบบนี้มาซักพักละครับ เป็นผลจาก Abenomics ลูกศรดอกที่ 2 ที่เพิ่มปริมาณเงินมหาศาลในระบบควบคู่ไปกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำต้องการให้เงินเฟ้อทะลุ 2% ให้จงได้  (ศรดอกแรกคือเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ศรดอกที่สามคือ ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ)
  
ส่วนค่าเงินบาทเรา (ไม่มีรูปให้ดู) ที่ดูเหมือนจะทรงๆ อ่อนนิดๆ มาตลอด แต่จริงๆ เราแข็งมากนะครับ เพราะถ้าเทียบกับดอลลาร์ตลอดทั้งปี 2014 ค่าเงินบาทเราอ่อนเพียง 0.5% เท่านั้น (เจ๋งสุดในอาเซียนแล้ว) แปลว่าช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมาที่เงินดอลลาร์แข็งโป๊กนั้น ค่าเงินบาทเราก็แข็งไปกับเค้าด้วยนั่นละ ตัวเลขส่งออกไทยก็เลยเป๋อย่างที่เห็น
  
ในขณะที่ทอง (บางช่วงก็ถูกมองว่าเป็น Safe haven บางช่วงก็เป็น Risky asset) แท้จริงก็เปรียบได้เหมือนเงินสกุลหนึ่งของโลกนั่นละครับ จากรูปจะเห็นว่ามันอ่อนยั่วเยี้ยมาพักใหญ่ละ และยิ่งในช่วงนี้ที่เป็นยุคดอลลาร์แข็งโฮก ยิ่งน่าจะยากที่ทองจะกลับมาเป็นขาขึ้นยาวๆ แบบเก่า และผมต้องบอกว่า QE จากอเมริกานี่แข็งแกร่งที่สุดละครับ Impact QE จากที่อื่นอย่างไรก็ไม่น่าจะมีผลเท่า (เป็นเพราะจุดประสงค์ในการออกมันต่างกันตั้งแต่ต้น) เพราะงั้นพอหมด QE เมกา ทองมันก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนั่นแล
  
เรื่องสุดท้ายที่เป็นประเด็นเสียวในช่วงที่ผ่านคงหนีไม่พ้นเรื่องค่าเงินรูเบิลของรัสเซียครับ จริงๆ จะเรียกว่าพังเละเทะเลยก็ว่าได้ (ผมถึงกับต้องแยกกราฟมาให้ดูเลยทีเดียว) สาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะประเทศเค้ามีรายได้จากน้ำมันเยอะ (ส่งออกน้ำมันเป็นอันดับ 2 ของโลก) พอน้ำมันลงแรง รายได้ก็หด แล้วมันก็สะท้านทรวงแบบนี้แหละ แถมปีนี้รัสเซียมีครบกำหนดชำระหนี้กับหลายประเทศในยุโรปเยอะอีก ทุนสำรองมีเท่าไหร่คงต้องโกยมากองให้พร้อมละครับ เพราะค่าเงินเค้าอ่อนไปกว่าเท่าตัวจากต้นปี 2014 เทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ แปลว่าก็ต้องใช้เงินเยอะขึ้นในการชำระหนี้ด้วย



สรุป จะเห็นว่าในปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ท้าทายพอสมควรครับ และผมเชื่อว่าปีนี้ก็จะท้าทายยิ่งขึ้นไปอีก เพราะงั้นผมขอปิดท้ายด้วยการแนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบเข้าใจง่ายเป็นภาษาอังกฤษที่ว่า Investing only in stuffs that you truly understand and trying not to get rich quick would be the key to me for this year. Cheers.

Wednesday, December 17, 2014

แรงกระเพื่อม

สวัสดีครับ,

DECEMBER 17, 2014


ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคมที่ตลาดหุ้นไทยได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปีที่ 1603.89 นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้พบกับสีเขียวอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม ที่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้นั่งรถไฟเหาะตีลังกาแปดสิบตลบ เพราะตลาดลงไปทำจุดต่ำสุดของวันถึง 1375.99 แล้วก็แล่นทะยานขึ้นมาปิด 1478.49 ได้อย่างไรก็ไม่รู้ (คือลงไปมากกว่า 130 จุด แล้วก็เด้งกลับมากว่า 100 จุดโอ้แม่เจ้า) ผมเลยอยากจะแนะนำเพื่อนนักลงทุนให้ซื้อแว่นดังรูปด้านล่างนี้มาเตรียมใส่ไว้ก่อนครับ เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกอย่างไร เวลามอง พอร์ตท่านยังไงก็ยังคงเป็นสีเขียว  


แล้วยิ่งเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม หากท่านใดติดตามตลาด TFEX หรือ ตลาดอนุพันธ์สะบั้นหัวใจ เจ้า S50Z14 เปิดวันอังคารฟ้าใหม่ที่ราคา 971.3 เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ทันใดนั้นอุ้ยว้ายตาเถรแตกครับ ใครก็ไม่รู้มาทุ่มขายเจ้า S50Z14 ทำให้ราคาลงไปทำจุดต่ำสุดของวันที่ 921.6 ภายในไม่ถึง 5 นาทีนับจากตลาด TFEX เปิด ย้ำอีกครั้ง ภายในไม่ถึง 5 นาทีนับจากตลาด TFEX เปิด คือลงไปเกือย 50 จุด! จากนั้นก็ค่อยๆ ค่อยๆ ขึ้นมายืน แต่ผันผวนมากระหว่างวัน แล้วก็กลับไปปิดใกล้ราคาเปิดที่ 969.9 ตอนสิ้นวันจนได้

ประเด็นคือความผันผวนในตลาดไทยมีมากเหลือเกินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัปดาห์นี้ แต่ข่าวดีคือ ผมคิดว่ามันจะค่อยๆ ลดลงครับ เหมือนกับคุณโยนลูกปิงปองลงพื้นครั้งแรกจะเด้งขึ้นมาแรงหน่อย ครั้งที่สองเด้งแต่จะไม่เกินครั้งแรก แล้วก็ค่อยเด้งลดลงไปเรื่อยๆ หรือ เปรียบได้กับการกระเพื่อมของน้ำนั่นละครับ ในเชิง Quantitative model เองทางนักวิเคราะห์บัวหลวงเราก็ได้ประเมินไว้แบบนั้นเช่นกัน โดยดูจากเจ้าเครื่องมือที่เรียกว่า E-GARCH Vol ที่มันขึ้นมาทำหัวชี้ ประกอบกับเจ้าตัว E-GARCH Vol Forecast ที่ความชันมันลดลง แปลว่า ความผันผวนได้เจอจุดสูงสุดไปแล้วและจากนี้น่าจะค่อยๆ ลดลงครับ



ล่าสุด ตลาดหุ้นไทย ณ เวลาที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ (14.41) ก็บวกไปกว่า 20 จุด ขอแสดงความยินดีกับผู้กล้าทุกท่านด้วยนะครับ

Wednesday, December 3, 2014

เรื่องของน้ำมัน

สวัสดีครับ,

December 3, 2014


นับจากต้นปี ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ลงมาแล้วกว่า 30% และทำจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปีเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สาเหตุหลักๆ เกิดจากภาวะอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม Non-OPEC และการคงระดับการผลิตของกลุ่ม OPEC ไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน อีกทั้งยังมีข่าวการผลิตน้ำมันจากหินดินดาน (Shale) ในอเมริกาและแคนาดามากดดันเพิ่มเติม อย่างไรก็ดีสถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าแตกต่างจากช่วงปี 2008-09 (ที่น้ำมันลงจาก 140 เหรียญต่อบาร์เรล เป็น 30 เหรียญต่อบาร์เรล) อย่างสิ้นเชิงครับ ช่วงนั้นสภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงถดถอยจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เป็นเรื่องของ Demand Shock ผลประกอบการของบริษัทลดลงพรวด แต่ครั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทไม่ได้ลดลง แต่แค่ปริมาณการผลิตน้ำมันเกินกว่าความต้องการใช้ เป็นเรื่องของ Supply Shock ซึ่งผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วพอราคาน้ำมันลงไปถึงจุดหนึ่ง ความต้องการซื้อก็จะกลับมาและทำให้ราคาเข้าสู่จุดดุลยภาพในที่สุด (Equilibrium Price) ผู้บริโภคทั่วโลกจะเป็นผู้ได้ประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ เพราะต้นทุนการผลิตลดลงไปเยอะและประเทศที่เป็น Net oil importer อย่างไทยจะได้รับประโยชน์แบบจัดเต็ม



อย่างไรก็ดี ส่วนตัวแล้วผมไม่คิดว่าน้ำมันจะอยู่ที่ระดับต่ำแบบนี้ได้นานครับ เพราะต้นทุนการผลิตน้ำมันของหลายๆ เหมืองอยู่ที่ราว 60-70 เหรียญต่อบาร์เรล แปลว่าถ้าราคาน้ำมันลงต่ำกว่านี้ไปมากๆ เหมืองบางแห่งอาจต้องปิดตัวลงเพราะขาดทุนบักโกรก ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ Supply ลดลงและราคาน้ำมันก็จะกลับมาในที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำนายราคาน้ำมันซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ชนิดหนึ่ง มันเป็นอะไรที่พูดยากและยากมากครับ (มันก็คือการเดาดีๆ นิแหละ) แต่หากนำข้อมูลเชิงสถิติมาประกอบจะพบว่า ราคาน้ำมันตอนนี้ได้ลงมาต่ำกว่าระดับ 2SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นระดับเดียวกับช่วงปี 2008-09 (เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนหน้านั้น) แปลว่าโอกาสที่น้ำมันจะลงต่ำกว่านี้มากๆ เริ่มมีน้อยแล้วละครับ
   
ผมเขียนถึงราคาน้ำมัน เพราะเห็นว่ามันสนุกดี นานๆ จะได้เห็นสินทรัพย์ที่ลงแรงๆ พรวดๆ แบบนี้ซักที (ยกเว้นหุ้นปั่นบ้านเรา) แต่หากไปดูสัดส่วน GDP ไทยจะพบว่า 2 อุตสาหกรรมแรกที่มีสัดส่วนสูงสุดคือ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (14.6%) ตามมาด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (10.7%) ไม่ใช่พลังงานหรือธนาคารพาณิชย์เหมือนในตลาดหุ้น แปลว่าราคาน้ำมันที่ลงอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นบ้าง แต่ในเชิงพื้นฐานหรือเศรษฐกิจประเทศภาพใหญ่แล้ว เราได้ประโยชน์นะ และยิ่งมีเรื่อง Energy reform ที่จะช่วยปลดแอกภาระขาดทุนบักโกรกในบางธุรกิจของเจ้าหุ้นพลังงานตัวใหญ่อย่าง PTT รวมถึงหุ้นโรงกลั่นบางตัวอยู่ ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะทรงๆ และอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นได้ไปจนถึงสิ้นปีครับ

Wednesday, November 26, 2014

พร้อมทะยานสู่ฟ้า

สวัสดีครับ,

NOVEMBER 26, 2014


หากจำกันได้ผมได้เขียนสรุปไว้ในบทความ “ทำธุรกิจด้วยกฎ 9 ข้อสไตส์ Buffett” เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนครับว่า หุ้นใน SET50 จะกลับเป็นคีย์สำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดจากนี้ไป และก็เป็นอย่างที่คาด เพราะเมื่อหุ้นเล็ก-หุ้นจิ๋วโดนมาตรการสกัดความร้อนแรงจากตลาดหลักทรัพย์ (แม้จะมีผลจริงในปีหน้า) ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้นดังส้มหล่นทับ ซึ่งหากดูจากกราฟจะเห็นชัดเจนครับว่า ดัชนี SET50 ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ของปีไปก่อนแล้วเรียบร้อยในขณะที่ดัชนี SET ยัง (ณ เวลา 10.50 วันที่ 26 พ.ย.)



ความจริงอีกข้อก็คือ นักลงทุนไทยยังต้องซื้อ LTF อีกเยอะครับโดยเม็ดเงิน LTF ที่คาดว่าจะเข้ามาในตลาดหุ้นปีนี้ทั้งปีอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาท (ปีที่แล้ว 4.3 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจนถึงตอนนี้ผ่านไปเกือบ 11 เดือน คาดว่ามียอดซื้อ LTF รวมเพียงประมาณกึ่งหนึ่งเท่านั้น เพราะคนส่วนใหญ่รอ เพื่อซื้อในช่วงสุดท้ายของปีโดยหวังว่าหุ้นจะลงแต่จริงๆ ดันไม่ลง (หุ้นขึ้นด่ะตั้งแต่ต้นปี) ดังนั้นเดือนธ.ค.ปีนี้น่าจะมีเฮโลนะครับ ตลาดหุ้นไทยเตรียมพร้อมรับเม็ดเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาทได้เลย

สุดท้าย เพื่อยืนยันกันอีกครั้ง ทางทีม Quantitative Model ของเราก็ได้ทำนายไว้ครับว่า เดี๋ยวเถอะ เดือนหน้านิแหละ จะมี Flows จากทั้งนักลงทุนสถาบันและต่างชาติทยอยกันเข้ามา สังเกตได้จากเจ้า Volume Flow Indicator ที่กำลังฟอร์มตัวสวยพร้อมทะยานสู่ฟากฟ้า ดังนั้น ใครที่เทรด SET50 Index Futures อยู่ด้วยแล้วถือหน้า Short ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นนะครับ

Wednesday, November 12, 2014

ทำธุรกิจด้วยกฎ 9 ข้อสไตส์ Buffett

สวัสดีครับ,

วันนี้มีประเด็นที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังก่อนกระโดดจะไปสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยครับ จริงอยู่ เรารู้จัก Warren Buffett ในฐานะตำนานนักลงทุนเน้นคุณค่าของโลก แต่ในแง่การทำธุรกิจแล้ว Buffett ก็ถือเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ และนี่ก็คือ กฎ 9 ข้อในการทำธุรกิจของเขา (จากบทความของ Alex Crippen ในเว็บไซต์ CNBC) ซึ่งผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ จึงเรียบเรียงมาให้อ่านดังนี้

กฎข้อแรก เงียบสงบสยบความเคลื่อนไหว อย่าไปตื่นตระหนกกับความผันผวนของกำไร Buffett บอกว่าเค้ายอมให้กำไรของบริษัทผันผวนปรู๊ดปร๊าดแต่เฉลี่ยระยะยาวแล้วได้ 15% ดีกว่ากำไรอยู่นิ่งแต่เฉลี่ยระยะยาวแล้วได้ 12%

กฎข้อสอง ยาวดีกว่าสั้น Buffett ยกตัวอย่างว่าเค้าไม่เคย split หุ้นบริษัท (Class A) ของเค้าเลย ด้วยเหตุนี้ราคาหุ้น Berkshire จึงสูงถึง USD217,000 หรือ 7 ล้านกว่าบาทต่อหุ้น ที่ทำเช่นนี้เพราะเค้าต้องการให้นักลงทุนถือหุ้นยาวๆ ไม่ซื้อขายสั้นๆ (สังเกตว่าหุ้นที่ราคาต่ำๆ จะมีการซื้อขายหมุนเวียนเพื่อเก็งกำไรบ่อยครั้งกว่าหุ้นที่มีราคาสูงๆ)

กฎข้อสาม เน้นเข้าไว้ บริษัทไม่ว่าจะดีสุดยอดแค่ไหนก็ต้องมีช่วงเวลาที่ซบเซาด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งนั่นอาจทำให้เราเลิกสนใจมันและหันไปสนใจธุรกิจธรรมดาๆ แทน Buffett เลยบอกว่าอย่ากระนั้นเลยให้เน้นของเดิมที่เจ๋งๆ ไว้ดีกว่า อย่าปล่อยให้ของดีหลุดมือไปเพียงเพราะเหตุการณ์ร้ายเพียงชั่วคราว

กฎข้อสี่ ขอถูกๆ Buffett บอกว่าต้นทุนที่ถูกนิแหละที่เป็น Key Success Factor ของ GEICO (บริษัทประกันรถที่ใหญ่อันดับ 2 ในอเมริกา และเป็นบริษัทลูกของ Berkshire) พอต้นทุนถูก ก็ตั้งราคาถูกได้ซึ่งนั่นก็เป็นการรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราได้นาน และเมื่อลูกค้าประทับใจก็จะเกิดการบอกต่อนั่นยิ่งทำให้ต้นทุนถูกลงไปอีก

กฎข้อห้าจ่ายเงินพนักงานด้วยวิธีง่ายๆ Buffett บอกว่าเค้าไม่ชอบจ่ายผลตอบแทนพนักงานด้วยเครื่องมือที่ต้องมานั่งลุ้น (Buffett ใช้คำว่า Lottery ticket) อย่างเช่น Stock options ซึ่งมูลค่าสุดท้ายเป็นได้ตั้งแต่ 0 จนถึงสูงมาก แถมเค้ายังไม่สามารถควบคุมได้ (ว่าพนักงานจะใช้สิทธิ์เมื่อไหร่) ความจริงก็คือหลักการจ่ายมันควรเป็นไปตามผลประกอบการของธุรกิจ วัดได้ง่าย และเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งที่พนักงานปฏิบัติ

กฎข้อหก อยู่ไกลๆ กับปัญหา Buffett บอกว่าเค้าชอบ “วางแผนกลับด้าน” (Reverse engineer) หมายถึง ถ้าเรารู้ว่าทำอะไรลงไปแล้วผลลัพธ์ที่จะเกิดเราไม่สามารถรับได้ ก็อย่าคิดแม้จะไปเริ่มทำมัน เหมือนอย่างที่คู่หูเค้า Charlie Munger ชอบบอกว่า “ถ้ารู้ว่าไปที่ไหนแล้วผมต้องจะตาย ผมก็จะไม่ไปที่นั่น แค่นั้น”
 
กฎข้อเจ็ด ถ้าหุ้นคุณถูก.. เก็บมันไว้เอง พูดง่ายๆ เมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นบริษัทของคุณในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ให้ซื้อมันเก็บไว้เองเลย! (ซื้อหุ้นคืน) Buffett ถึงกับกร้าวว่าในช่วงเวลานั้น แม้จะเจอธุรกิจที่สุดยอดที่ราคาสมน้ำสมเนื้อ เค้าก็ไม่เอา
 
กฎข้อแปด เล็กเข้าไว้ Buffett เชื่อว่าองค์กรยิ่งใหญ่ ยิ่งเยอะ ยิ่งทำให้คิดช้า ทำงานยาก จึงเป็นสาเหตุให้สำนักงานใหญ่ของ Berkshire มีจำนวนพนักงานแค่หยิบมือ และงานในการบริหารจัดการส่วนใหญ่ไปอยู่ในมือผู้จัดการส่วน ซึ่งผู้จัดการส่วนเหล่านั้นก็ทำงานทุ่มเทเสมือนกับว่าเค้าเป็นเจ้าของบริษัทยังไงหยั่งงั้นเลย
 
กฎข้อเก้า รักษาชื่อเสียงยิ่งชีพ กฎข้อนี้สำคัญที่สุด*** Buffett เคยถึงกับพูดกับพนักงานบริษัทของเค้าว่า “หากคุณทำบริษัทเสียเงิน ผมจะยอมเข้าใจ แต่หากทำบริษัทเสียชื่อเสียง แม้เพียงเล็กน้อย ผมก็จะไม่ปรานี” เหมือนกับที่เค้าเคยย้ำอยู่เสมอครับว่า “ชื่อเสียงนั้นใช้เวลา 20 ปีสร้างขึ้นมา แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีทำลายมัน”
 
ดูเหมือนผมจะไม่มีพื้นที่เหลือให้สรุปภาพรวมตลาดมากนัก แต่ก็หวังว่า 9 ข้อที่นำมาฝากจะหนำใจคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ดี ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการเคลื่อนไหวของหุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัว เช่น กลุ่ม PTT, CPALL, ADVANC ซึ่งผมเชื่อว่าอาจจะเป็นแบบนี้ต่อไปจนถึงสิ้นปี ในช่วงที่พลังเม็ดเงิน LTF และ RMF เข้าสู้ตลาดหุ้นผ่านทางนักลงทุนสถาบันในประเทศ และหุ้นใน SET50 ก็น่าจะเป็นคีย์สำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดจากนี้ไป

Monday, November 10, 2014

พี่ Mark พระโขนง !?

8 พ.ย. 2557


โพสต์เรื่องพี่ Mark (พระโขนง?... ไม่ใช่!) เมื่อวานได้รับความสนใจมากทีเดียวครับ วันนี้เลยขอเก็บตกอีกประเด็นที่น่าสนใจ นำมาฝากกัน

มีคนถามพี่ Mark ต่อว่า "แล้ว Facebook ตอนนี้ดูขาดสีสัน หรือ เริ่มขาดความน่าสนใจแล้วรึป่าวครัช ?"

พี่ Mark ตอบว่า..

"บ่องตง เป้าหมายของพี่ไม่เคยคิดที่จะทำให้ Facebook ดูเฟี้ยวครับน้อง พี่เองก็ไม่ใช่คนเฟี้ยว (Cool) และไม่เคยพยายามที่จะทำให้ตัวเองดูเฟี้ยว"

"เป้าหมาย (ในการทำธุรกิจของพี่) ไม่จำเป็นจะต้องทำให้สินค้าหรือบริการดูเฟี้ยวฟ้าวน่าตื่นเต้นที่จะใช้ เพียงแค่เราทำให้ให้มันมีประโยชน์ที่จะใช้.. ก็พอ (คำนี้ขีดเส้นใต้เลยนะครับ)"

พี่ Mark เปรียบเทียบการใช้ Social network กับการใช้ไฟฟ้าหรือน้ำประปาครับ เค้าบอกว่า เราคงไม่แบบกลับถึงบ้านปุ๊ปเปิดไฟแล้วร้อง wow อะไรแบบนี้ เพียงแต่มันจำเป็นต้องเปิดต้องใช้ แม้จะไม่ wow ก็ตาม ซึ่งประเด็นนี้ผมว่าสำคัญเลย จึงขอสรุปเป็นคำพูดของตัวเองง่ายๆ ครับว่า

"ในการทำธุรกิจให้สุดยอด คุณต้องเปลี่ยนความรู้สึกลูกค้าต่อสินค้าและบริการของคุณจาก 'ใช้หรือไม่ใช้ก็ได้' ให้เป็น 'ไม่ใช้ไม่ได้' เท่านี้แหละ เฟี้ยวที่สุดแล้น!"


Friday, November 7, 2014

Mark Zuckerberg: First public Q&A

7 พ.ย. 2557



พี่ Mark Zuckerberg ได้จัด first public Q&A บน Facebook (เรียกพี่เพราะอายุมากกว่าผม 3 ปี แต่เกิดเดือนเดียวกัน) โดยให้คนเข้าไปคอมเม้นถามอะไรก็ได้ หรือไป vote คำถามที่ชอบโดยการกด Like แล้วเค้าจะมาตอบแบบสดๆ

มีอยู่คำถามนึงผมชอบมากครับ มีคนถามพี่ Mark ว่า “Why do you wear the same T-shirt every day?”

ไอคนฟังก็คิดว่า เอ๊ะ เฮียจะหยอดมุกอะไรกลับมานะ.. แต่ป่าวครับ พี่ Mark ตอบแบบซีเรียสกลับมาว่า (ขออนุญาตแปลเอง)

“เอิ่ม คือมันมีทฤษฎีทางจิตวิทยาบอกไว้อะนะว่าไอการตัดสินใจจุกจิกหยุมหยิม เช่น วันนี้จะใส่ชุดอะไรดี หรือจะกินข้าวเช้าอะไรดีนะ พวกนี้ มันทำให้เราเสียเวลา เสียพลังงานไปมาก ผมไม่อยากจะไปเสียเวลากับการคิดอะไรพวกนี้”

“บอกตรง ผมโชคดีแค่ไหนที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ได้ตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วแบบว่าได้ดูแลคนมากกว่าพันล้านคนบนโลกออนไลน์แห่งนี้ ดังนั้น ผมจึงอยากจัดการชีวิตของผมให้มันแบบมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจน้อยที่สุด โดยเฉพาะเรื่องโง่ๆ หรือเรื่องที่ไม่สำคัญในชีวิต บ่องตง เรื่องเดียวตอนนี้ที่ผมแคร์ คือ How to best serve this community (Facebook) !!”

“ผมว่าอย่าง Steve Jobs หรือ Barack Obama เองก็ใช้ทฤษฎีเดียวกับผม ถ้าสังเกตส่วนใหญ่ทุกวันเค้าก็ใส่เสื้อรูปแบบเดิมๆ นั่นละ ยิ่ง Jobs เนี่ยนะ เค้าบอกเลยว่าอยากให้ทุกคนใน Apple ใส่เสื้อตัวเดียวกันด้วยซ้ำ กระต๊ากก!!”

“สุดท้าย ผมอยากบอกว่าผมมีเสื้อสีเทานี้หลายตัว ไม่ได้ใส่ซ้ำนะคร้าบบ 55+”

ที่มาเล่า เพราะผมเองก็มีแนวคิดเรื่องนี้คล้ายๆ พี่ Mark ครับ ผมมักจะกินข้าวเช้าร้านเดิมๆ เพราะขี้เกียจมาเสียเวลาคิดว่าจะกินอะไร การแต่งตัวผมแต่ละวันก็เพลนๆ ใส่ชุดรูปแบบเดิมๆ นิละไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง

ส่วนใครอยากดูคลิปที่เฮียพูด ตามลิ้งค์ล่างนี้เลยครับ นาทีที่ 42 นะ https://www.facebook.com/video.php?v=828790510512059&set=vb.823440467713730&type=2&theater


Wednesday, October 29, 2014

แนวต้านสำคัญ

สวัสดีครัชชช
เขียนเมื่อ 29 ตุลาคม 2557

หากจำกันผมได้เขียนไว้ในบทความ “ยืนหัวโด่”เมื่อต้นเดือน พร้อมกับตอกย้ำในบทความ “มีเสียว” เมื่อกลางเดือนไว้ว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะยืนได้ที่ระดับ 1520-1530 ก่อน ซึ่งเป็น gap ที่ดัชนีเคยเปิดเอาไว้เมื่อครั้งกระโน้น ซึ่ง SET ก็ทำให้เราไม่ผิดหวังครับเพราะได้ทำจุดต่ำสุดของเดือนไว้แค่ที่ 1519.76 จากนั้นก็ซิกแซกขึ้นเรื่อยๆ มาจนถึงระดับ 1560 ในปัจจุบัน

ตรงนี้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative model) ของหลักทรัพย์บัวหลวงก็คอนเฟิร์มครับเพราะไอเจ้า Medium-term Bull2Bear ratio ได้ตกจากพื้นที่เสี่ยงสูง (High risk zone) มาอยู่ต่ำกว่าพื้นที่ปกติ (Neutral zone) เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายถึงความเสี่ยงขาลงจำกัด และตลาดพร้อมปรับตัวขึ้น



อีกทั้งหากเหลือบไปดูเจ้า Yield spread ระหว่างพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี กับอัตราเงินปันผลล่วงหน้าของตลาดหุ้น จะพบว่ามันตกจากพื้นที่แพงมาอยู่ในพื้นที่ปกติเรียบร้อยแล้ว แบบนี้ถึงตลาดหุ้นไทยอาจจะยังไม่ได้ขึ้นแรงจากนี้ไป แต่ผมว่าโอกาสลงแรงๆ ในช่วงนี้ถือว่าค่อนข้างน้อยแล้วละ 



สุดท้ายขอแวะมาแตะเจ้าอนุพันธ์สะบั้นหัวใจซะหน่อยครับ เจ้า SET50 Index Futures !!! คือตอนนี้ มันหล่อมากอะ บอกเลย แต่ผมอยากให้ดูอย่างนี้ครับว่า ในช่วงที่ดัชนีปรับฐานลงมา หากลากเส้นแนวโน้มขาลงก็จะได้กรอบดังรูป โอเคละการที่ดัชนีไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ก็ถือได้ว่าแนวโน้มขาลงได้ถูกสกัดไปแล้วระดับหนึ่ง แต่สัญญาณที่จะคอนเฟิร์มนั้นผมอยากให้ดูว่ามันจะสามารถเบรกและขึ้นมาปิดสวยเหนือกรอบนั้นได้รึป่าว (แถว 1036-1040) ถ้าได้ ดัชนีก็มีลุ้นขึ้นสวรรค์อีกรอบ แต่ถ้าไม่ได้ตรงนี้ละที่เค้าเรียกว่า“แนวต้านสำคัญ” 



Wednesday, October 15, 2014

มีเสียว

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 15 ตุลาคม 2557

เห็นช่วงนี้ฮิตกันเหลือเกินเรื่องน้ำมันโลกลงรุนแรงก็เลยเอากราฟตั้งกะปีมะโว้มาให้ดูแล้วก็ขอพูดถึงซักกะหน่อย



จริงๆ แล้วน้ำมันโลกลงรุนแรงหนะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมครับเนื่องจากเราเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันสุทธิ (Net oil importer) เพราะงั้นเวลาน้ำมันลง จะหมายถึงต้นทุนนำเข้าถูกลง ซึ่งนักวิเคราะห์ของบัวหลวงเราได้ทำประมาณการไว้แล้วว่าทุกๆ 5% ของราคาน้ำมันที่ลงจะส่งผลให้ GDP บวกประมาณ 0.45% แต่ (ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจดีๆ) จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมลดลงเล็กน้อย ประมาณ 0.1% (เนื่องจากกลุ่มพลังงานมีสัดส่วนค่อนข้างมากใน SET Index ถึง 1/5)
   
ผมคงไม่ล้วงลึกไปกว่านี้ในเรื่องราคาน้ำมัน ด้วยความรู้เพียงผิวเผิน แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของ demand supply นั่นละครับ รวมถึงมีเรื่องของต้นทุนการผลิตเข้ามาเกี่ยวด้วย ซึ่งโดยประมาณแล้วน่าจะอยู่ที่ราว 80 เหรียญต่อ 1 บาร์เรล (แต่มัน vary มากนะครับ บางแหล่งขุดเจาะต้นทุนการผลิตแค่ 30 เหรียญก็มี)
  
กลับมาที่ภาพตลาดเราก็เป็นไปอย่างที่เดาไว้ในสัปดาห์ที่แล้วครับว่าระดับ 1520-1530 น่าจะยังเอาอยู่ก่อน แต่ความเสียวหลังจากนี้น่าจะเริ่มเพิ่มขึ้นแล้วละ เพราะทั้งเจ้าแท่งเทียนรายสัปดาห์ของ SET และ SET50 ได้ออกมาโชว์เดี่ยวอยู่นอกกรอบขาขึ้นที่ลากไว้ตั้งต้นปีซะแล้น แบบนี้คงต้องพึ่งพลังนักลงทุนสถาบันในประเทศ พลังกองทุน LTF, RMF และพลังรายย่อยว่าจะดันกันไปได้ถึงไหน เพราะฝรั่งหัวเขียวคงจะไม่เข้ามาหนักๆ ในช่วงนี้เป็นแน่แท้กระมัง


Wednesday, October 8, 2014

ยืนหัวโด่

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2557

ไม่ได้เจอกัน 2 สัปดาห์กลับมาอีกที ดัชนี SET ลงจากจุดสูงสุดที่ 1602 เมื่อวันที่ 29 ก.ย. มาแชแม้อยู่แถว 1530-1540 ซะแล้น ซึ่งรอบนี้ถือว่าเป็นการปรับตัวลงราว 4% ครับ ทำให้ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยลงมาอยู่ที่ราว +18% นับจากต้นปี

อย่างไรก็ดี หากท่านสังเกตจากกราฟ จะเห็นว่าดัชนี SET50 ออกอาการทรงเสียก่อน (คือหลุดจากกรอบขาขึ้นก่อนดัชนี SET) แสดงว่าต้องเกิดจากหุ้นใหญ่แน่ๆ ที่พัดพาเราลงมา ซึ่งพอไปดูแล้วก็จริงครับ เป็นกลุ่ม Bank และ ICT นั่นละที่ลงมากกว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่หุ้นพลังงานตัวใหญ่อย่าง PTT ยังยืนหัวโด่อยู่ได้ 


นัยของผมก็คือ หุ้นตัวใหญ่ๆ เวลาลงแรงๆ หากพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ ประเดี๋ยวมันก็มีแรงซื้อกลับเข้ามา (ทั้งจากนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศ) แล้วยิ่งชำเลืองไปเห็นว่าเมื่อวันที่ 13 สิงหา ทั้งดัชนี SET และ SET50 ได้เปิด gap ไว้แถว 1520-1530 และ 1020-1025 ..เอ๊ะ มันช่างใกล้กับดัชนีที่ระดับปัจจุบันซะเหลือเกิน ผมก็เลยเดาว่าด่านแถว 1530 น่าจะเอาอยู่ก่อนรึป่าวนะ? อาจจะมีเด้งก่อนไหม? แล้วจะขึ้นจะลงอย่างไรก็ว่ากันอีกทีดีมั้ย?

แต่ที่ต้องย้ำก็คือ เนื่องจากตลาดได้หลุดจากกรอบขาขึ้น (ที่ผมลากจากต้นปี) ไปแล้วเรียบร้อย ตรงนี้แปลว่าถึงจะมีการรีบาวด์ แต่โอกาสที่จะขึ้นทางเดียวเหมือนเดิมนั่นท่าจะยากซะแล้วละครับ จากนี้ ตลาดน่าจะอยู่ในรูปแบบไซด์เวย์ไปเรื่อยๆ และความผันผวนในช่วงที่เหลือของปีน่าจะมีมากขึ้นหากเทียบกับช่วงต้นปีครับ