Wednesday, March 23, 2016

ตื่นเต้นที่สุด

สวัสดีครับ,

เรื่องที่ตื่นเต้นที่สุดในตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปีผมคิดว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องที่พวกเราลุ้นกันว่า JAS จะสามารถหาเงินมาชำระค่าใบอนุญาตคลื่น 900 MHz งวดแรกทันภายใน 16.30 เมื่อ 21 มี.ค.ที่ผ่านมาได้หรือไม่ ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่ทราบกันครับ ซึ่งผลกระทบนั้นเกิดในวงกว้าง ในมุมของตลาดหุ้นเองนั้น เนื่องด้วยกลุ่ม ICT คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าตลาดหุ้นไทย การที่ไม่มีผู้เล่นรายที่ 4 เข้ามาย่อมทำให้ภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมดูเบาลง ราคาหุ้น 2 ตัวที่ประมูลใบอนุญาตไม่ได้ในคราวก่อนจึงเด้งกลับค่อนข้างใช้ได้ (ลองดูผลการเด้งของกลุ่ม ICT มีผลต่อ SET Index ถึง +7.1 จุด ในวันที่ 22 มี.ค.) แต่อย่าลืมนะครับว่าสถานการณ์การแข่งขันนั้นได้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2015 แล้ว สังเกตจาก operator แต่ละรายต่างก็ทยอยออก campaign ใหม่ๆ มากมาย เพราะฉะนั้นภาพอุตสาหกรรมจากนี้ไปคงยากที่จะกลับไปเหมือนเมื่อก่อนมีการประมูลใบอนุญาต 4G แล้วละครับ


อย่างไรก็ตามหากมองภาพตลาดโดยรวมแล้วก็ต้องใช้คำว่าไม่ได้แย่เท่าใดนักครับ ดัชนี SET ย้ำไม่ไปไหนแถวๆ ใกล้ๆ 1400 มาเป็นเวลา 2 สัปดาห์แม้จะยังไม่ได้ทะลุทะลวงผ่านไปได้อย่างมีนัยสำคัญก็ตามที ในขณะที่เหลือบไปมองตัวเลขสัดส่วนการซื้อขายแล้ว เป็นที่น่าตกใจครับว่านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสะสมหุ้นไทยในเดือนมี.ค.เป็นยอดรวมเกือบ 1.6 หมื่นล้านบาท (นับถึง 22 มี.ค.) ซึ่งถือว่าสูงมากในรอบหลายเดือนเลยทีเดียว


ในขณะที่ด้านตลาด currency เอง ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมาก จาก 35.6 เมื่อต้นเดือนมาอยู่ที่ราว 35 บาทเทียบ USD ณ ปัจจุบัน (แข็งค่าราว 1.7%) แปลว่าเงินได้ไหลเข้ามาซื้อค่าเงินบาทด้วย ก็ต้องมาติดตามกันต่อไปครับว่าเงินต่างชาติจะไหลเข้ามาแบบนี้อีกนานแค่ไหน และพลังนี้จะช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยบินฉวัดเฉวียนขึ้นยืนเหนือ 1400 ได้อย่างงดงามได้หรือไม่ มาลุ้นกันครับ

Wednesday, March 9, 2016

ระมัดระวัง

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาขึ้นมาได้ดีแทบจะเกือบทั้งโลก แต่เป็นตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียนอย่างไทยและอินโดนิเซียที่ขึ้นมาได้ดีกว่าใครเพื่อน โดยผลตอบแทนเราทั้งคู่ติดอันดับตลาดหุ้นที่ผลตอบแทนดีที่สุด 10 อันดับแรกของโลกนับจากต้นปีครับ ทั้งนี้สาเหตุน่าจะไม่ใช่เพราะภาพพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ แต่เป็นเรื่องของ Fund flows ที่ไหลกลับเข้ามาในภูมิภาคนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมากกว่า


ค่าเงินบาทเองก็แข็งค่าขึ้นมาค่อนข้างมากเทียบกับ USD โดยล่าสุดอยู่ที่ 35.35 เทียบกับเมื่อต้นปียังอยู่ที่ 36 อยู่เลย ถือว่าแข็งเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียเลยละครับ


ถึงจุดนี้นักลงทุนหลายท่านคงเริ่มตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเงินไหลกลับเข้ามาในอาเซียนรวมถึงบ้านเราอย่างมีนัยสำคัญทั้งๆ ที่ภาพปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากมาย? ผมคิดว่าแบบนี้ครับ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลก รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ที่บางประเทศถึงขนาดกดดอกเบี้ยลงไปติดลบอีก ทำให้สุดท้ายเงินก็ต้องมีที่ไป (เหมือนสายน้ำ เปิดก๊อกกักไว้ในโอ่งนานๆ เดี๋ยวก็ต้องล้น) ด้วยที่ตลาดหุ้นไทย underperform หุ้นโลกมาก่อนหน้านี้หลายปี รวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5แม้จะต่ำแต่ก็ยังสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ (ถ้าไปดูผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยล่าสุดอยู่ที่ 1.9ซึ่งถือว่าต่ำมาก ไม่เคยเห็นต่ำขนาดนี้มาก่อน แปลว่าเงินไหลเข้ามาซื้อเยอะจริงๆ) เหตุผลเหล่านี้น่าจะพอดึงดูดให้เงินไหลกลับเข้ามาเก็งกำไรได้บ้างแม้อาจจะเป็นเพียงระยะสั้นก็ตามครับ 


อย่างไรก็ดี ด้วยปัจจัยพื้นฐานและภาพเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ (แถมอาจถูกปรับประมาณการลงด้วยซ้ำ จากที่ท่านผู้ว่าแบงค์ชาติให้สัมภาษณ์เรื่อง GDP growth ล่าสุด) สุดท้ายแล้วนักลงทุนต่างชาติก็จะเริ่มตระหนักครับว่าเก็งกำไรมากไปกว่านี้อาจจะเจ็บตัวได้ กำไรก็ได้มาระดับนึงแล้วเริ่ม unwind positions บ้างดีไหม? (อาจจะไม่ถึงขนาด short หนักเลยทีเดียวเว้นแต่จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น) อีกทั้งภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะหลังจากจีนประกาศตัวเลขส่งออก -25.4%YoY ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งนับว่าแย่ที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2009 สรุปเลยก็คือผมคิดว่าควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้นในช่วงนี้ครับ   


Wednesday, February 24, 2016

วิลิศมาหรา

สวัสดีครับ,

หากจำกันได้ในบทความครั้งก่อนผมได้ทำนายเล่นๆ ไว้ครับว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยในไม่ช้าจากสัญญาณที่เห็นเค้า long สุทธิใน SET50 futures ค่อนข้างเยอะ และค่าเงินบาทที่แข็งมาค่อนข้างดีจากต้นปี และแล้วเค้าก็กลับมาจริงๆ ครับ โดยฝรั่งกลับมาเป็นซื้อสุทธิถึง 6 วันติด (นับจนถึงวันที่ 23 ก.พ.) เป็นยอดรวม 7.1 พันล้านบาท ถามว่าตัวเลขนี้เยอะมั้ย? ก็ยังไม่ได้เยอะมาก แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่เค้ากลับมาแบบนี้ครับ


ทีนี้ถามว่าแล้วยังไงต่อ? ฝรั่งกลับมาแล้วแล้วยังไง? หุ้นไทยจะบินได้ไหม? คือก็ตอบยากครับ แต่ผมอยากให้เห็นภาพเดียวกันแบบนี้ก่อนว่าฝรั่งได้ขายสุทธิหุ้นไทยมาตลอด ซึ่งหากดูตั้งแต่ต้นปี 2013 จนถึงปัจจุบันเค้าได้ขายหุ้นสุทธิไทยเกือบ 4 แสนล้านบาท ซึ่งนับว่าเยอะนะครับหากเทียบกับมูลค่าที่เค้าถืออยู่ (ไม่นับที่เป็น strategic holdings) ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิมาตลอด ประเด็นของผมก็คือว่า ฝรั่งอาจจะไม่ได้เป็นตัวจี๊ดที่เราจะพูดเหมือนเมื่อก่อนได้แล้วครับว่า ถ้าฝรั่งซื้อ หุ้นไทยจะขึ้น คำพูดที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบันน่าจะเป็น ถ้านักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อ หุ้นไทยจะ resilient” มากกว่า เพราะขนาดฝรั่งขายหนักขนาดนั้น SET Index ยังติดลบเพียง 5.8% นับจากต้นปี 2013 เท่านั้นครับ 

                 

มาถึงบรรทัดนี้หลายท่านอาจจะสงสัยว่าแล้วตกลงจะเอาอย่างไร? ฝรั่งกลับมาซื้อสุทธิเนี่ยจะให้ดีใจหรือเสียใจกันแน่? ผมอยากให้ตีความอย่างนี้ครับ คือถ้าฝรั่งซื้อและนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อด้วย อันนี้คือ best case แปลว่า flows กลับมา แถมนักลงทุนผู้ support ตลาดหุ้นไทยมาตลอดยังคง support ต่อไป แสดงว่าดีจริง แต่ถ้าฝรั่งซื้อแล้วนักลงทุนสถาบันในประเทศกลับมาขาย อันนี้อาจจะ neutral เพราะแม้ flows จะกลับมา แต่นักลงทุนสถาบันในประเทศซึ่งกลายเป็นผู้มีบทบาทสูงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมากลับมาขาย ทำให้ต้องระวัง ทั้งนี้จากสัญญาณที่เห็นในปัจจุบันคือฝรั่งเริ่มกลับมาซื้อสุทธิ และนักลงทุนสถาบันในประเทศก็ไม่ได้ขายสุทธิหนักอะไรครับ


ท้ายสุด (อันนี้แถม) บางทีเราอาจจะสนใจแต่หุ้นจนลืมไปว่ามีอีกหลายสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้และผลตอบแทนก็ไม่ขี้เหร่อย่างเช่น ทอง เงิน แพลทินัม หรือแม้แต่ค่าเงินเยน ที่ผลตอบแทน YTD นิวิลิศมาหรามาก... ก็ลองดูนะ โชคดีครับผม


Wednesday, February 10, 2016

ฝรั่งมังค่ากลับมาได้รึเปล่า

สวัสดีครับ,

ปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีที่ท้าทายเพราะตั้งแต่เปิดต้นปีมาค่าเงินบาทก็แข็งค่ามาเรื่อยๆ โดยล่าสุดแข็งเป็นอันดับ 3 ในเอเซีย รองจากริงกิตของมาเลเซียและเยนของญี่ปุ่น เรื่องของค่าเงินเยนนั้นผมอยากให้มองแยกออกไปครับเพราะค่าเงินนี้ถูกจัดเป็นเหมือน safe haven แต่พอลองมาดูอันดับ 2-5 จะเห็นว่าค่าเงินเหล่านั้นเป็นของภูมิภาคอาเซียนทั้งหมด ไม่แน่นี่อาจเป็นสัญญาณบอกเรากลายๆ ก็ได้นะครับว่าเงินกำลังไหลกลับเข้ามาอาเซียนหลังจากที่ทั้งตลาดหุ้นและค่าเงินในภูมิภาคนี้ underperform ทั่วโลกมานาน


ทั้งนี้ผมมีอีกรูปมาให้ดูครับ โดยดูผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่ดีที่สุดในโลกนับตั้งแต่ต้นปี จะเห็นว่ามีถึง 2 เจ้าจากอาเซียนซึ่งก็คือ อินโดฯ และไทยที่ติดอันดับ Top 10 (ใช้ได้เลย) โดยสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยช่วงนี้น่าจะมี downside ที่จำกัดต่อเนื่องก็เพราะเรามีกลุ่มพลังงานเป็นสัดส่วนถึง 1/5 ของ market cap โดยราคาน้ำมัน ณ ปัจจุบันน่าจะเหลือ downside ไม่มากแล้วจากการที่เราเห็นบริษัทน้ำมันต่างๆ ทั่วโลกเริ่มทยอยประกาศผลขาดทุนหนักหรือถึงขั้นปิดตัว ซึ่งตรงนี้สุดท้ายแล้วก็จะไปกดดัน supply ทำให้ปริมาณน้ำมันที่ผลิตออกมาขายมีลดลง ทำให้ราคาน้ำมันน่าจะกลับมาสู่จุดดุลยภาพได้ในไม่ช้าครับ และถ้าน้ำมันกลับมาเป็นขาขึ้นเมื่อไหร่ SET Index ก็น่าจะได้รับอานิสงส์ไปบ้างไม่มากก็น้อยละ


ในอีกมุมนึงถ้าไปดูตลาดอนุพันธ์จะพบว่า นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสะสมสุทธิใน SET50 Index Futures เป็นจำนวนถึง 84,961 สัญญา นับตั้งแต่ต้นปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ขายสุทธิในตลาดหุ้นไป 1.1 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน แม้จะยังขายสุทธิในตลาดหุ้น แต่ด้วยสัญญาณที่ดีจากตลาดอนุพันธ์ และตลาดค่าเงิน เป็นไปได้ว่าฝรั่งอาจจะกลับมาซื้อสุทธิหุ้นในไม่ช้านี้ครับ สาเหตุหนึ่งก็เพราะว่าหากค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าต่อเนื่องแบบนี้ (จากความคาดหวังที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ค่อยๆ ถูกเลื่อนออกไป บ้างก็ว่าอาจถึงขั้นใช้ negative interest rate ตามญี่ปุ่นเลย กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาอ่อนค่า) การที่ฝรั่งนำเงินมาลงทุนในหุ้นไทยอาจทำให้เค้าได้กำไร 2 ต่อ คือจากหุ้นและจากค่าเงิน ด้วยเหตุนี้แล้วผมจึงคิดว่าการลงทุนในหุ้นไทยช่วงนี้ แม้จะมีความเสี่ยงจาก external factors มากกว่าในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็น่าจะน้อยกว่าที่การลงทุนหุ้นในภูมิภาคอื่นนะครับ


Wednesday, January 27, 2016

สะสมพลัง

สวัสดีครับ,

ท่านจะรู้หรือไม่ว่าท่ามกลางความหนาวเหน็บในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งสะสมพลังคลื่นฟ้าในตลาด TFEX บ้านเราอย่างเงียบๆ และตารางด้านล่างนี้คือหลักฐานชิ้นดีครับ

คนกลุ่มนั้นไม่ใช่ใครดอกครับ พวกเค้าคือนักลงทุนต่างชาตินิเอง และแท้จริงแล้วไอความหนาวเหน็บมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เค้ามา ซื้อสะสมสุทธิ” SET50 Index Futures ในตลาด TFEX บ้านเราถึง 4 วันติดดอก เพียงแต่พอไปดูตัวเลขหลงจ้งตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว ยอดซื้อสะสมสุทธิเค้าพุ่งทะยานไปถึง 70,895 สัญญา (มูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านบาท) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการ ปิดสถานะจากการที่เค้าขายสุทธิมาเยอะเมื่อปีก่อน หรือจะเป็นการ เปิดสถานะใหม่ ผมว่ายังไงภาพก็ดูดีขึ้นทั้งนั้นครับ เพราะมันหมายถึงเค้าเริ่มมองภาพทิศทางตลาดหุ้นไทยดีขึ้นแล้ว


อย่างไรก็ดี ผมว่าประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นก็คือ ราคาน้ำมัน เพราะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีมีมูลค่าตลาดคิดเป็นสัดส่วนถึงเกือบ 1/5 ของตลาดหุ้นไทยครับ แปลว่าถ้าน้ำมันพลิกกลับมาเป็นขาขึ้นได้ SET Index น่าจะวิ่งได้โอ้ลัลล้าเลยละ.. บังเอิญเหลือเกินที่วันก่อนผมได้ไปเจอบทความชิ้นนึงที่น่าสนใจบนเวปไซต์ของ MarketWatch เค้าจั่วหัวไว้ว่า “Here’s how to know if oil prices have hit bottom” โดยสรุปได้ว่าหากพบสัญญาณ 5 ข้อต่อไปนี้ มีโอกาสสูงครับที่จะตีความได้ว่าราคาน้ำมันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว: 1) การผลิตน้ำมันลดลงและความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้น 2) ราคาน้ำมันวิ่งแรงได้รอบหลังจากที่ถูกขายหนักมานาน 3) ตลาดน้ำมันไม่ตอบสนองต่อข่าวตามที่เราคาด เช่น มีข่าวร้ายออกมาแต่ราคาน้ำมันกลับเด้งสวน (นั่นแปลว่าข่าวร้ายอาจถูก price in ไปมากแล้ว) 4) ทุกคนบอกพร้อมกันว่าราคาน้ำมันจะตกลงไปอีก และ 5) บริษัทน้ำมันประกาศผลขาดทุนหนักหรือถึงขึ้นปิดตัว

ทั้งหมดนี้ถ้าถามความเห็นผม ผมคิดว่ามีอยู่ประมาณ 3 ข้อที่ตรงกับสถานการณ์ในปัจจุบันครับ แล้วยิ่งอากาศหนาวๆ ทั่วโลกแบบนี้ เดี๋ยวคนในตลาดก็จะได้เหตุผลใหม่มาสนับสนุนอีกว่าความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นแล้วนะ อากาศเย็นเจี๊ยบขนาดนี้ อย่างไรก็ดี บางข้อจาก 5 ข้อที่เห็นมันก็เป็นเรื่องของความรู้สึกครับ ซึ่งแต่ละคนอาจจะตีความได้ต่างกันแล้วแต่วิจารณญาณ สุดท้ายแล้วเราก็ทำได้เพียงแค่ ทำนายอย่างมีเหตุผล เพราะคงไม่มีใคร รู้จริงแน่ๆ หรอกครับ


สุดท้าย บทความนี้จะจบลงอย่างสมบูรณ์ไม่ได้เลย ถ้าขาดการอัพเดทเป้าหมายใหม่ไฉไลจากทีมฝ่ายวิเคราะห์บัวหลวงเราครับ โดยคุณปรเมศร์ ทองบัว นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ ได้หั่นเป้า SET Index ลงเหลือ 1440 จาก 1550 เพื่อสะท้อนประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ถูกปรับลดลง (และมีแนวโน้มจะถูกปรับลงอีก) รวมถึงสมมติฐานราคาน้ำมันที่ลดลง (จาก $49/bbl เหลือ $42/bbl) ทั้งนี้ก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะเป้าใหม่ก็ยังมี upside ราว 11% จาก SET Index ระดับปัจจุบันที่ 1280 ครับ

Wednesday, January 13, 2016

ผันผวนทุกปี



สวัสดีครับ,

เปิดศักราชใหม่ 2559 มา ตลาดหุ้นไทยก็โชว์ความผันผวนให้เห็นซะตั้งแต่ต้นปีครับ ดัชนี SET ได้ลงไปทำจุดต่ำสุดของปีเมื่อวันที่ 11 ม.ค. ที่ 1221 (จากราคาปิดสิ้นปี 2558 ที่ 1288) แล้วก็ดีดกลับขึ้นมายืนเหนือแนวรับทางจิตวิทยาที่ 1260 ได้อีกครั้งเมื่อเช้าวันที่ 13 ม.ค. อย่างไรก็ดี ผมไม่คิดว่าจะมีปีไหนที่ตลาดหุ้นไม่ผันผวน มันผันผวนทุกปี แต่แค่ปีนี้มาแซงแรงโค้งซะตั้งแต่ต้นปีเท่านั้นเองครับ

ความจริงแล้ว หากไปดูในตลาด Futures นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสะสมสุทธิ SET50 Index Futures ถึง 7 วันติดในช่วง 30 ธ.ค.2558 – 11 ม.ค.2559 รวมเป็นยอดกว่า 4.3 หมื่นสัญญา (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8.6 พันล้านบาท) ในขณะที่ขายหุ้นสุทธิในช่วงเวลาเดียวกันเป็นมูลค่าถึง 9.1 พันล้านบาท ตลกไหมละครับ.. ซื้อฟิวเจอร์ส-ขายหุ้น มูลค่าใกล้เคียงกันแถมในช่วงเวลาเดียวกันซะอีก นี่อาจจะเป็น 1 ในสาเหตุที่ทำให้ตลาดผันผวนหนักซะตั้งแต่ต้นปีก็ได้กระมังครับ  



จริงๆ เราไม่มีทางรู้แน่ชัดดอกครับว่าฝรั่งเค้ากำลังทำอะไร สมมติฐานมันก็มีมากมายแล้วแต่คนจะคิด แต่อย่างหนึ่งที่พอจะเดาได้ก็คือเค้าคงจะไม่ได้มองหุ้นไทยแย่มากๆ เหมือนปีที่ผ่านๆ แล้วละครับ ก็แหม เปิดต้นปีมาซื้อสุทธิ SET50 Futures ซะขนาดนั้น (จะเป็น open long หรือ close short ก็ดีทั้งนั้นละครับ) ซึ่งพอไปดูตัวเลขย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 2013 พี่ฝรั่งขายหุ้นไทยสุทธิไปเกือบ 4 แสนล้านบาทแล้วครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าพี่เค้าจะมีขนมาขายอีกมากแค่ไหน แต่พอไปดู valuation ของหุ้นกลุ่มใหญ่อย่าง Bank และ ICT แล้วนั้น ก็พบว่าราคาลงมาจนอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ซึ่งถ้าผมเป็นพี่หรั่ง ผมจะหยุดขายแล้วเริ่มมองหาจังหวะซื้อแล้วละครับ แต่ก็คงเป็นการซื้อเพื่อขายเล่นรอบมากกว่าลงทุนยาวไปเลย เพราะคิดว่าภาพพื้นฐานในระยะกลางของ 2 กลุ่มนี้ยังไม่ได้ดูสดใสมากมายอะไรนัก  


ข้อสรุปของผมก็คือ ตลาดหุ้นไทยปีนี้ไม่น่าจะแย่เท่าปีที่แล้วครับ ลักษณะน่าจะมีคลื่นลมแรงเป็นหย่อมๆ ให้ซื้อขายเล่นรอบได้ ประกอบกับนักลงทุนสถาบันในประเทศเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทจำกัดหลายแห่งเริ่มมีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งท้ายสุดก็ต้องมีการกระจายลงทุนไปยังหุ้น สภาพคล่องในประเทศยังเยอะ และดอกเบี้ยนโนบายในประเทศคงไม่น่าจะขึ้นไปจนถึงอย่างน้อยก็ไตรมาส 4 ปีนี้ครับ

Wednesday, December 30, 2015

สุดท้ายก็ใบเดียวกัน

สวัสดีครับ

วันนี้เป็นวันซื้อขายหุ้นวันสุดท้ายของปี 2558 ครับ ซึ่ง SET Index (ณ เวลาที่ผมเขียนบทความ) กำลังจะปิดปีนี้ลงด้วยผลตอบแทน -13.7% โดย 3 กลุ่มหลักอย่างธนาคาร -28% พลังงาน -20% และสื่อสาร -38% ลบหนักกันถ้วนหน้า ในขณะที่ MAI Index กำลังจะปิดลงด้วยผลตอบแทน -25% ตัวเลขเหล่านี้กำลังจะบอกเราครับว่า การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (blue chip) ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป หากผลประกอบการของบริษัทหรือแนวโน้มในอนาคตไม่ดีแล้ว ราคาหุ้นก็พร้อมจะดิ่งเหวสะท้านปฐพีได้ทุกเมื่อ ในขณะที่การลงทุนในหุ้นขนาดเล็กนั้นก็ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะเรามักจะคาดหวังผลตอบแทนที่สูงจากหุ้นขนาดเล็กจนลืมไปว่าความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังที่ได้เห็นแล้วในปีนี้


ทั้งนี้ปี 2558 ผมถือว่าเป็นอีกปีที่ท้าทายมากครับ โดยผมได้สังเกตถึงสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปในรอบปีที่ผ่านมา จะลองยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟังซักเล็กน้อยเป็นน้ำจิ้มครับ เรื่องแรก ผมรู้สึกว่าคนไทยยอมรับและเข้าใจในธุรกิจประกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยหรือประกันชีวิต เราเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ มากขึ้น และการประกันก็เป็นวิธีการปิดความเสี่ยงที่ดีวิธีนึง เรื่องที่สอง ผมรู้สึกว่าเทรนด์การซื้อสินค้าออนไลน์เริ่มมาแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยรุ่น ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราไม่เคยคิดเลยว่ามันจะไปได้ เรื่องที่สาม เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจสื่อสารซึ่งกูรูบางท่านถึงกับบอกว่านี่เป็นยุคใหม่ของมันเลย ด้วยการแข่งขันที่มากขึ้น operator บางรายหันมาแจกมือถือให้กับลูกค้าฟรีๆ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและคงรายได้จากการให้บริการ เรื่องที่สี่ เราเริ่มเห็นการล้มหายตายจากของผู้ประกอบการสื่อทีวีดิจิตอลบางเจ้า และนั่นก็เป็นผลลัพธ์ของการแข่งขันในตลาด Red ocean ซึ่งผมเชื่อว่าธุรกิจนี้กำลังจะเข้าสู่จุดสมดุลในไม่ช้านี้ครับ และเรื่องสุดท้าย คือเรื่องของธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะน้ำมัน ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ความต้องการที่ลดลง ราคาน้ำมันกำลังเข้าสู่จุดสมดุลใหม่และอาจจะมีพลังงานประเภทใหม่ขึ้นมาทดแทน และเราคงได้เห็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของธุรกิจพลังงานประเภทน้ำมันในเร็วๆ นี้

ถ้าลองสังเกตให้ดี จะทราบว่าข้อ 1-4 ที่ผมยกมาเล่านั้น เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศพัฒนาแล้วเมื่อซัก 5-10 ปีก่อนแล้วทั้งนั้นครับแต่เพิ่งจะมาเกิดกับไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ตรงนี้ก็ตอกย้ำถึงความเชื่อที่ผมเชื่อเสมอมาครับว่า โลกเราสุดท้ายก็ใบเดียวกัน (Globalization) สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศพัฒนาแล้ว สุดท้ายก็ไม่แคล้วที่จะเกิดกับประเทศกำลังพัฒนา เหมือนกับที่มีนักลงทุนหลายท่านที่ได้หันเหความสนใจไปยังประเทศเวียดนาม เพราะเชื่อว่าเวียดนามตอนนี้กำลังเหมือนกับไทยเมื่อ 10-15 ปีก่อน วิธีการลงทุนที่เคยใช้แล้วประสบความสำเร็จในไทย ก็อาจนำไปประยุกต์ใช้ในเวียดนามได้

สุดท้ายนี้ ผมขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกช่วยดลบันดาลให้คุณผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ มีสุขภาพที่แข็งแรง ร่ำรวยจากการลงทุนตลอดปีใหม่ 2559 นี้และตลอดไป แล้วพบกับการอัพเดทภาพตลาดได้ใหม่ในบทความหน้า ปีหน้าครับ


Wednesday, December 16, 2015

ปรับตัวปรับใจ

สวัสดีครับ,

เหมือนกับว่าเราได้ไปเที่ยวนั่งรถไฟเหาะตีลังกาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพราะไหนๆ เราก็ใกล้สิ้นปีละครับ เมื่อวันจันทร์ดัชนี SET ลงไปทำจุดต่ำสุดของปีที่ 1252 หลังจากนั้นก็มีแรงซื้อช่วงท้ายตลาดดันดัชนีกลับขึ้นมาปิดที่ 1268 และแล้วปาฏิหารย์ก็บังเกิด เพราะวันถัดมา (วันอังคาร) ดัชนี SET กลับมาบวกพรวดเดียว 33 จุด ขึ้นมาปิดที่ 1300 คิดเป็น +2.6%

ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมเองยังไม่ได้เห็นปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญอะไรครับ แต่เชื่อว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเรากำลังเข้าใกล้การตัดสินครั้งสำคัญที่ทั่วโลกกำลังจับตามองนั่นก็คือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดจริงหรือไม่ ทางทีมนักวิเคราะห์บัวหลวงเราได้ทำข้อมูลเปรียบเทียบครับและพบว่าหาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จริง ผลกระทบต่อตลาดจะคล้ายๆ กับช่วงที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปี 2004 นั่นคือตลาดจะผันผวนหนักช่วงก่อน Fed จะประกาศขึ้นดอกเบี้ย แต่หลังจากที่ประกาศแล้ว ตลาดก็จะสามารถซิกแซกขึ้นต่อได้ครับ


ตรงนี้พอมาดูข้อมูลในเชิง quant ประกอบ ก็พบว่าค่าความผันผวน (EGARCH) ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วละครับ (เส้นสีเขียวรูปซ้าย) แล้วพอมาดูค่า forecast ก็ยืนยันว่าค่าความผันผวนกำลังลดลงจริง ในขณะที่ Indicators อื่นๆ ก็ส่งสัญญาณว่าตลาดอยู่ในโซนขายมากเกินไป ตรงนี้ก็พอจะสรุปได้คร่าวๆ ละครับว่าจุดต่ำสุดของปีน่าจะได้ผ่านไปแล้วเมื่อวันจันทร์ และตลาดน่าจะกลับมาดูดีอีกครั้งอย่างน้อยก็จนถึงสิ้นปีนี้  


อย่างไรก็ดี เพื่อความไม่ประมาท ทางทีมนักวิเคราะห์ก็ได้ปรับเป้า SET Index สำหรับปีหน้าลงมาเล็กน้อยครับ จาก 1623 เป็น 1550 โดยอิงกับค่า PE ที่เดิม แต่หั่น EPS ปีหน้าลงมาจาก 104 เหลือ 100 สาเหตุหลักๆ ก็เป็นเพราะเราปรับสมมติฐานน้ำมันลดลงและ conservative มากขึ้นเท่านั้นละครับ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ


Wednesday, November 25, 2015

โตไม่โต

สวัสดีครับ,

เมื่อสัปดาห์ก่อนมี 2 เรื่องที่น่าสนใจที่ผมจะนำมาสรุปให้ฟังในบทความนี้ครับ เรื่องแรกเป็นเรื่องของ GDP ไทยไตรมาส 3 ที่ประกาศออกมาใช้ได้ คือโตถึง 2.9% สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 2.4% และโตขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนที่ 2.8% ทำให้รวมตัวเลข 9 เดือนแล้ว เศรษฐกิจไทยโตได้ 2.9% (ปี 2557 ทั้งปีโต 0.9%) โดยมีแรงสนับสนุนหลักมาจากการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวถึง 15.9% และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ขยายตัว 1.7% ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน แม้ว่าล่าสุดตัวเลขส่งออกในเดือนตุลาที่ประกาศออกมาจะหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 คือ -8.1% มากกว่าที่ตลาดคาดที่ -7.7% และมากกว่าเดือนก่อนที่ -5.5% ทำให้เป้าส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์คาดไว้ที่ -3% ทั้งปีนี้คงทำได้ยาก แต่หลังจากที่เรามีการเปิด AEC ในสิ้นปีนี้แล้ว ผมก็หวังว่าการส่งออกไทยในปีหน้าจะดีขึ้น และอาจกลับมาเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี จากการลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ครับ


(เกร็ดความรู้: 20 ปีที่ผ่านมา GDP ไทยรายไตรมาสโตเฉลี่ย 3.6%YoY โดยโตสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2012 ถึง 19.1% และหดตัวมากสุดในไตรมาส 2 ปี 1998 ที่ -13.9%)

เรื่องที่สองเป็นเรื่องของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ครับ โดยสรุปแล้วกำไรสุทธิรวม 3Q15 ที่หลักทรัพย์บัวหลวง cover ลดลงถึง 81%YoY และ 81%QoQ ซึ่งต่ำกว่าที่คาดถึง 43% สาเหตุหลักเกิดจากรายการที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก เช่น ขาดทุนจากสินค้าคงคลัง (ราคาน้ำมันเหลือ $48.4 จาก $63.6 เมื่อสิ้นไตรมาสสอง) ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงินบาทเทียบ USD อยู่ที่ 36.3 เทียบกับ 33.8 เมื่อสิ้นไตรมาสสอง) และการด้อยค่าของสินทรัพย์ (เช่น ของ PTTEP, THAI) ซึ่งตรงนี้ทำให้ Trailing PE ตลาดล่าสุดขึ้นมาอยู่ที่ 24 เท่า! นักวิเคราะห์เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับ EPS forecast ปี 2015 ลงมาเหลือ 70 จาก 90.5 ซึ่งถ้าเทียบกับปีที่แล้วที่ 72.5 แปลว่าปีนี้อาจจะโตติดลบ 3.5% ครับ อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้าครับ มองไปข้างหน้า นักวิเคราะห์เราคาดว่า EPS ปี 2016 จะกลับขึ้นมาที่ 104 แปลว่าจะโตถึง 49% แต่ผมคิดว่าตัวเลขนี้อาจสูงเกินไป มีโอกาสที่จะถูกปรับลงมาได้ในอนาคตครับ 



กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจไทยเหมือนจะฟื้นแต่ก็ยังกั๊กๆ อยู่ ไม่เต็มที่ ส่วนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนต้องบอกว่าปีนี้ทำได้ผิดคาดเลยละครับแม้ว่าจะมีเรื่องของรายการพิเศษเข้ามา (ถ้าจำกันได้ช่วงต้นปีนี้ตลาดมองกันค่อนข้างดีเลยละว่าจะโตถึง 20-30% จากฐานที่ต่ำเมื่อปีก่อน แต่ผลกลับผิดคาดและอาจจะโตติดลบด้วยซ้ำ) ทำให้ภาพตลาดในช่วงนี้ แม้ผมจะยังไม่ได้มอง sentiment แย่อะไร (มีเรื่องแรงซื้อ LTF ช่วย) แต่ก็คงขึ้นได้ยากจากปัจจัยพื้นฐานที่เป็นอยู่ในปัจจุบันครับ

Wednesday, November 11, 2015

เจ้า E-GARCH

สวัสดีครับ,

วันนี้ผมมีตัวเลขที่น่าสนใจมาฝาก หากลองนับปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาด TFEX ตั้งแต่วันที่ 29 กันยา จนถึงวันที่ 4 พฤศจิกา (เวลาประมาณ 1 เดือนนิดๆ) จะพบว่าตัวเลขเป็น net long SET50 futures อยู่ถึงกว่าแสนสัญญา ซึ่งทำให้ตัวเลข YTD ที่นับจนถึงวันที่ 4 พฤศจิกา กลับมาเป็นบวกได้ (จากที่ก่อนหน้านี้เป็นลบอยู่เยอะมาก) ซึ่งการที่ flows ไหลกลับมาในช่วงเวลาสั้นๆ ดังกล่าวผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะจากการประชุม Fed เมื่อเดือนกันยาที่ผ่านมาที่คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยอาจถูกเลื่อนไปเป็นปีหน้า ทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่กลับมาคึกคักครับ



แต่หลังจากเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมาที่เราได้ทราบตัวเลข Nonfarm Payroll ที่ดีกว่าคาดมาก และอัตราว่างงานที่ลดลงเหลือเพียง 5% ของอเมริกา ผมเชื่อว่าตรงนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ Flows ที่ไหลเข้ามามากในช่วงก่อนหน้านี้ไหลกลับได้ครับ เพราะตลาดเริ่มมองแล้วว่ายังไง Fed ก็จะต้องขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาปีนี้ ซึ่งหากมาดูตัวเลขเมื่อ 2 วันล่าสุดประกอบ ก็จะเห็นว่า Flows เริ่มไหลออกแล้วจริงๆ โดยในวันจันทร์นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิใน SET50 Futures ถึง 7,529 สัญญา (ขายหุ้นสุทธิอีก 1 พันล้านบาท) และวันอังคาร 17,822 สัญญา (ขายหุ้นสุทธิอีก 776 ล้านบาท) ทำให้ตัวเลข YTD กลับกลายลบที่ -1,783 สัญญา รวมถึงค่าเงินบาทก็ได้กลับมาอ่อนค่าราว 1% จาก 35.5 บาท มาเป็น 35.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ 

สุดท้ายพอมาดูสัญญาณเชิง quant ประกอบ ก็พบว่าเจ้า E-GARCH Vol forecast ที่บอกค่าความผันผวนของตลาดได้ขึ้นมาเหนือค่าเฉลี่ยระยะยาวแล้วครับ ตรงนี้ตีความได้ว่าช่วงเวลาถัดจากนี้เป็นช่วงเวลาอ่อนแอ เปราะบาง อีกทั้งสัญญาณ Volume Flow จาก 4 sectors หลักก็ได้ส่งภาพลบเช่นกัน ยังไงก็ระมัดระวังการลงทุนในช่วงนี้มากขึ้นนะครับ