Thursday, August 4, 2016

เพิ่มความระมัดระวัง

สวัสดีครับ…

ภาพรวมของตลาดหุ้นนับจากนี้ผมคิดว่าจะมีความเสี่ยงมากขึ้นจากปัจจัยทางการเมืองครับ แม้ กูรูหลายสำนักจะเชื่อว่าผลลัพธ์จากการลงประชามติในวันที่ 7 สิงหานี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อตลาดมากนัก แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้วหากผลออกมาในทิศทางที่บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนมากขึ้น เมื่อนั้นตลาดก็อาจมีการปรับฐานต่อได้ครับ…

ในแง่ของมูลค่าพื้นฐานนั้น ด้วยราคาปิดเมื่อวันที่ 2 สิงหา ตลาดหุ้นไทยซื้อขายด้วย forward PER ที่ 16.4 เท่า ซึ่งถ้าเทียบกับค่าเฉลี่ยในระยะยาวที่ 12.4 เท่าแล้วก็จัดว่าสูงพอสมควร ในขณะที่ในแง่ของส่วนลด PER ของตลาดหุ้นไทยต่อตลาดหุ้นในอาเซียนก็ถอยลงมาอยู่ที่เพียง 4% เทียบกับค่าในอดีตที่อยู่ในช่วง 4%-25% ตรงนี้แปลว่า ณ ระดับปัจจุบันตลาดหุ้นไทยขึ้นมามากทีเดียวเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่ผมดูแลลูกค้าในส่วนของตลาด TFEX เป็นหลัก จึงอยากจะยกสัญญาณที่ผมสังเกตได้จากตลาดนี้มาเล่าเสริมด้วยครับ เรื่องของเรื่องก็คือหากย้อนไปดูช่วง 4 เดือนแรกของปี สังเกตได้ว่านักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาซื้อสุทธิใน SET50 futures เป็นจำนวนมาก เฉลี่ยถึงเกือบ 4 หมื่นสัญญาต่อเดือน ในขณะที่ 3 เดือนถัดจากนั้น (พ.ค.-ก.ค.) ตัวเลขซื้อขายกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งถ้าคิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อเดือนแล้ว ฝรั่งกลับพลิกเป็นขายสุทธิประมาณพันกว่าสัญญาต่อเดือนในช่วงเวลาดังกล่าว แถมด้วยการขายสุทธิใน 2 วันทำการแรกของเดือนสิงหาถึง 4 พันกว่าสัญญา

03081

ทั้งนี้กลุ่มที่ผมคิดว่ามีความเสี่ยงที่จะปรับลดลงมากกว่ากลุ่มอื่นหากตลาดมีการปรับฐานจริงๆ อาจจะเป็นกลุ่มพลังงานครับ เพราะหากลองไปดู performance ย้อนหลังตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิ.ย. จนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่ากลุ่มพลังงานบ้านเรา +1% ในขณะที่น้ำมัน Brent ลงถึง 14%  นัยของผมคือ หากภาพตลาดดูไม่ดีและน้ำมันลงต่อ มีโอกาสที่หุ้นในกลุ่มพลังงาน (ที่อิงกับราคาน้ำมัน) จะลงได้มากกว่าตลาด ในขณะที่หากน้ำมันกลับมาเด้งได้ upside ของกลุ่มนี้ก็อาจจะมีไม่ได้มากครับ.. โชคดีในการลงทุนทุกท่านนะครับ

03082

Fintech กับสาขา (ธนาคาร) ที่หายไป


ปีนี้เป็นปีแรกที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับคำขออนุญาตปิดสาขาธนาคารพาณิชย์มากกว่าขออนุญาตเปิดสาขา อันนี้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสถาบันการเงินที่พยายามจะลดต้นทุนการให้บริการ และแน่นอน เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


ผมเริ่มบทความนี้ด้วยคำกล่าวจาก ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในงานสัมมนา “Positioning Thailand’s FinTech Ecosystem” เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2559 สิ่งที่ผมฉุกคิดได้จากคำกล่าวนี้คือ ระบบสถาบันการเงินไทยน่าจะกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ และหากสถาบันการเงินใดยังไม่ได้ตระหนักถึงความเป็นไปข้อนี้ ก็อาจได้ต่อแถวรายชื่อกับบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่ของโลกอย่าง Kodak Nokia หรือ BlackBerry ที่ต้องถอยหลังลงคลองเพราะปรับตัวช้าเกินไป

ธนาคารในบ้านเรานั้น มีอยู่ 3 แห่งที่เปิดตัวแล้วครับว่ากำลังลงทุนในเรื่องของฟินเทคอย่างจริงจัง ได้แก่ KBANK SCB และ BAY โดยแต่ละแห่งก็มีโมเดลการปรับตัวที่แตกต่างกันไป เช่น การเป็นผู้บ่มเพาะให้ความรู้ (Incubator) จัดหาสถานที่ให้พร้อมทั้งร่วมหุ้นในฟินเทค การร่วมลงทุนในฟินเทคที่มีศักยภาพ (Venture Fund) และให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ หรือ การตั้งบริษัทลูกแยกออกมา (forming Fintech subsidiaries) เพื่อคิดค้นบริการฟินเทคด้วยตนเอง ซึ่งผมเชื่อว่าอีกไม่นานจากนี้แทบทุกธนาคารในบ้านเราจะมีการเปิดตัวในเรื่องนี้ครับ โดยอาจจะเป็นในรูปแบบนี้หรือรูปแบบอื่น เช่น การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับฟินเทค (Business Partnership) หรือซื้อกิจการแล้วควบรวมฟินเทคไปเลย (M&A)

ถึงบรรทัดนี้เพื่อนๆ ที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงการเงินอาจสงสัยว่าแท้จริงแล้วฟินเทคคืออะไร? มีผลกระทบอย่างมากหรือไงต่อระบบสถาบันการเงินไทยผมถึงต้องนำมาเล่า? ความจริงแล้ว Fintech เป็นคำย่อมาจาก Financial + Technology ครับ ความหมายก็คือเป็นกลุ่มธุรกิจเกิดใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำธุรกรรมทางการเงิน คิดค่าธรรมเนียมต่ำกว่าสถาบันการเงิน และดูเหมือนจะให้บริการได้สะดวกรวดเร็วกว่า รูปแบบของฟินเทคนั้นมีมากมายหลายประเภท แต่ที่ดูเหมือนจะแพร่หลายและมีคนทำมากที่สุดในประเทศก็คือที่เกี่ยวข้องกับ การชำระเงิน ซึ่งตรงนี้ไปเกี่ยวโยงถึงแผนงาน National e-Payment ของภาครัฐด้วยครับ (PromptPay ที่เราได้ยินกันก็เป็นหนึ่งในนั้น) โดยกระทรวงการคลังได้ประเมินไว้ว่าหากแผนงานนี้สำเร็จด้วยดีจะสามารถช่วยประหยัดต้นทุนของระบบเศรษฐกิจได้ถึง 7.5 หมื่นล้านบาทต่อปี (ลดต้นทุนการพิมพ์ธนบัตรและใบกำกับภาษี ลดค่าเสียโอกาสในการสำรองเงินสด ฯลฯ) ซึ่งตรงนี้ก็เป็นโจทย์ใหญ่ของสถาบันการเงินครับว่าจะบริหารจัดการกับเทคโนโลยีใหม่นี้ที่กำลังเป็นทั้งภัยคุกคามและโอกาสไปด้วยกันได้อย่างไร

ในด้านของตลาดทุนเองนั้น  บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสถาบันการเงินหลักที่ให้บริการเกี่ยวกับการลงทุนก็คงได้รับผลกระทบเช่นกันครับ เห็นได้จากปัจจุบันมีฟินเทคมากมายที่สร้าง App ให้ความรู้ในการลงทุน รวมถึงจัดหาข้อมูลและวิเคราะห์ทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยเทคนิคเพื่อสนองต่อนักลงทุนรายย่อย แม้ว่าธุรกิจหลักทรัพย์ในบ้านเรานั้นยังถูกควบคุมค่อนข้างมากทำให้การบริการหลายอย่างฟินเทคยังไม่สามารถแข่งขันได้โดยตรงได้ แต่ในอนาคตเมื่อทางการเห็นว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนก็อาจมีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ได้ เพราะฉะนั้นบริษัทหลักทรัพย์เองก็ไม่ควรชะล่าใจครับ

ในแง่ของการลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราควรนำปัจจัยเรื่องเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาคิดด้วย เพราะการเกิดขึ้นของฟินเทคนั้น ที่สุดแล้วจะทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมต่างๆ  ที่ธนาคารเคยได้รับเป็นกอบเป็นกำลดลง เช่น ในเรื่องของการโอนเงิน  การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ การให้บริการด้านสินเชื่อและบัตรเครดิต ส่วนตัวผมคิดว่าเราควรจะประเมินให้ชัดว่าหุ้นของสถาบันการเงินที่จะลงทุนนั้นผู้บริหารได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้และมีวิธีในการปรับตัวหรือไม่อย่างไร เพราะขนาดบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง Mckinsey ยังเคยประเมินไว้ว่าธนาคารมีโอกาสที่จะสูญเสียกำไรให้กับฟินเทคถึง 60% และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ การที่จะทำให้ผู้ออมเงินได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นก็เป็นอีกโจทย์ที่ยาก (คนส่วนใหญ่ของประเทศยังสบายใจกับการฝากเงินในธนาคาร) วิธีช่วยทางหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นที่ธนาคารจะต้องหันมาลดต้นทุนการให้บริการทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของค่าใช้จ่ายการตลาด โฆษณา หรือแม้แต่การปิดสาขาที่ไม่จำเป็นลง ก็ขอเอาใจช่วยทุกฝ่ายนะครับ


Wednesday, July 6, 2016

แคล้วคลาดปลอดภัย

สวัสดีครับ... ผ่านไปแล้วครึ่งปีพอร์ตลงทุนของท่านเป็นเยี่ยงไรบ้างครับ?

จากต้นปีจนถึงวันที่ 5 ก.ค. ตลาดหุ้นไทยทำผลตอบแทนได้ถึง 12.6% ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งหากรวมผลตอบแทนจากค่าเงินเข้าไปด้วย ผลตอบแทน (USD) จะขึ้นไปถึง 15.5% หักปากกาเซียนหมีไปหลายท่านเลยละครับ โดยที่เซอร์ไพรส์ที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ โดยเค้าซื้อสุทธิในหุ้นไทยในปีนี้กว่า 4 หมื่นล้านบาท (หลังจากขายไปเกือบ 4 แสนล้านไปในช่วงปี 2013-2015) แถมด้วยการ long สุทธิใน SET50 Index Futures กว่า 1.6 แสนสัญญา



ในแง่ valuation ของตลาดนั้น P/E ล่าสุดอยู่ที่ 22 เท่า P/BV 1.9 เท่า และอัตราเงินปันผล 3.3% มองแค่นี้ถ้าจะบอกว่าหุ้นถูกหรือแพงคงต้องหาอะไรมาเทียบเคียงครับ เช่น บ้างก็ใช้ P/E เฉลี่ยในภูมิภาค บ้างก็ใช้ P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี หรือบ้างอาจจะบอกว่าใช้ P/E นี้ไม่ได้ ต้องใช้ Forward P/E ที่เป็นการมองไปข้างหน้า อะไรก็สุดแล้วแต่ แต่ประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะแชร์มากกว่าในวันนี้ก็คือนำเรื่องของอัตราดอกเบี้ยมาเทียบเคียงครับ หลักการคิดง่ายๆ ก็คือ เมื่ออดีตที่อัตราดอกเบี้ยในบ้านเรายังสูงนั้น เช่น เมื่อ 10 กว่าปีก่อนที่เราฝากเงินได้ดอกเบี้ยประมาณ 5% ต่อปี ช่วงนั้นความรับรู้ที่นักลงทุนเข้าใจก็คือตลาดหุ้นที่มีค่า P/E ประมาณ 10 เท่าถือว่าไม่แพง เท่ากับว่าผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในหุ้นอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี (คำนวณโดยกลับเศษเป็นส่วนได้ค่า E/P) พอหักลบแล้วส่วนต่างที่ได้คือ 5% แต่ในปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยลดลงเหลือประมาณ 1-2% ต่อปี ถ้าเรายึดส่วนต่างเดิมที่ 5% แปลว่าผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในหุ้นก็น่าจะลดลงมาอยู่ที่ 6-7% ต่อปี คิดกลับเศษเป็นส่วนจะได้ค่า P/E ที่ราว 14-17 เท่า สรุปได้ว่าในยุคปัจจุบันที่ดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดินนั้น หุ้นที่ถือว่าไม่แพงน่าอยู่ที่ระดับ P/E 14-17 เท่า ปรับขึ้นมาจากในอดีตที่เคยอยู่ที่ 10 เท่า ดังนั้น ณ ระดับ P/E ปัจจุบันที่ 22 เท่า น่าจะถือว่าพอถูไถ พอไปได้ แม้จะไม่ได้ถูก

ทั้งนี้และทั้งนั้นตลาดหุ้นไทยดูจะพิเศษกว่าที่อื่นตรงที่กลุ่มพลังงานคิดเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 1/5 ของมูลค่าตลาดรวมครับ ด้วยราคาน้ำมันที่ขึ้นมาร่วม 35% จากต้นปี คงพอที่จะทำให้เราแคล้วคลาดจากแรงขายแรงๆ ไปได้ตราบเท่านี้ไม่มีวิกฤตอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ก็ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้นะครับ 


Sunday, June 26, 2016

ความผิดพลาดจากการลงทุน

สวัสดีครับ,

อีกไม่ถึงเดือนชีวิตการทำงานในแวดวงตลาดทุนของผมก็จะเข้าสู่ปีที่ 8 แล้วครับ ความจริงผมได้มีโอกาสสัมผัสงานวิศวกรซึ่งเป็นสายอาชีพที่ได้เรียนจบมาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะย้ายมาทำงานในบริษัทหลักทรัพย์ โดยงานวิศวกรที่ได้ทำนั้นอยู่ในส่วนพัฒนากระบวนการทำงานของบริษัทประกันภัยซึ่งก็จัดว่าเป็นสถาบันการเงินเช่นกัน เรียกได้ว่าตั้งแต่จบปริญญาใบแรกมาผมก็ได้ทำงานคลุกคลีอยู่ในธุรกิจการเงินมาตลอด

ที่เกริ่นเล่าประวัติเล็กน้อยก็เพื่อจะนำไปสู่ประเด็นหลักที่จะคุยกันวันนี้ครับ นั่นก็คือเรื่อง ความผิดพลาดจากการลงทุนในช่วงเวลาการทำงานในธุรกิจหลักทรัพย์นั้น ขอบข่ายงานที่ผมได้รับมอบหมายและเคยได้ทำครอบคลุมถึงการดูแลให้บริการและให้คำแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ที่ลูกค้าสนใจ ตั้งแต่รายยิบย่อย รายย่อย รายกลาง รายใหญ่ ตลอดไปจนถึงนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ผมพบว่านักลงทุนแทบจะทุกรายมักมีความลำเอียงในการตัดสินใจ มากน้อยลดหลั่นกันไป ซึ่งบางทีเป็นเรื่องของจิตวิทยา และนั่นมักนำไปสู่ความผิดพลาดในการลงทุนในที่สุด ผมจะลองหยิบเรื่องที่น่าสนใจและเกิดขึ้นบ่อย ซัก 3 เรื่องมาคุยกันวันนี้ครับ

เรื่องแรกมีชื่อว่า Availability heuristic ความหมายคือ คนเรามักใช้ประสบการณ์ส่วนตัวที่เห็นอยู่บ่อยๆ หรือจากสิ่งที่เพิ่งได้เห็นและยังจดจำได้ดีมาตัดสินเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยไม่คำนึงถึงสถิติความน่าจะเป็นจริงๆ เช่น ย้อนกลับไปเมื่อปี 2554 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ถ้าลองถามคนในช่วงเวลานั้นว่ามีโอกาสมากแค่ไหนที่ปีหน้าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่แบบนี้อีก ส่วนใหญ่ตอบว่ามีโอกาสเกิดมากกว่า 50% ครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว ในปี 2555 ก็ไม่ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่อย่างที่กังวลกัน (ถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์จะพบว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นกันบ่อยๆ) ตัวอย่างที่พบจากเรื่องการลงทุนก็เช่น ข่าวการแพร่ระบายของไข้หวัดนกเมื่อหลายปีก่อนที่ทำให้หุ้นกลุ่มอาหารถูกเทขายระเนระนาด ข่าวคนไข้ติดเชื้อร้ายแรงจากต่างชาติมารักษาที่โรงพยาบาลในไทยจนทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะไม่มีคนไข้ไปรักษาที่โรงพยาบาลนั้นและทำให้หุ้นถูกขายหนัก ทางแก้ของผมในเรื่องนี้ก็คือให้เราเปลี่ยนวิธีคิดเล็กน้อยครับ เช่น แทนที่จะตั้งคำถามว่า อีกนานแค่ไหนกว่าคนไข้ติดเชื้อจะหายและออกจากโรงพยาบาลนี้ ให้เปลี่ยนเป็น มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่คนไข้ติดเชื้อจะอยู่โรงพยาบาลนานเกิน 1 ปีเห็นไหมครับว่าความรู้สึกต่างกัน ซึ่งแท้จริงแล้วความจริงมันก็เหมือนเดิมละครับ เพียงแต่พลิกมุมคิดเพื่อให้เราตระหนักได้ชัดขึ้นว่า สิ่งใดที่กำลังเกิดขึ้นไม่จำเป็นว่ามันจะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็เท่านั้นเอง   

เรื่องที่สองชื่อว่า Attention bias ความหมายคือ คนเรามักให้ความสนใจกับเหตุการณ์หรือสิ่งที่ตนเองสนใจเป็นพิเศษและเหมารวมคิดว่ามันใช่ (ต้องใช่แน่ๆ) เช่น นักลงทุนเชื่อว่าเวลามีรายงานผู้บริหารซื้อหุ้นบริษัทตนเอง หุ้นมักจะขึ้น หรือเวลาที่ผู้บริหารขายหุ้นบริษัทตนเอง หุ้นมักจะลง จนลืมสังเกตไปว่ามีอยู่หลายครั้งนะที่ผู้บริหารซื้อแต่หุ้นไม่ขึ้น (หรือบางทีกลับลง) หรือผู้บริหารขายแต่หุ้นไม่ลง (หรือบางทีกลับขึ้น) ความผิดพลาดของการคิดในลักษณะนี้ผมคิดว่าเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องของ Availability cascade ด้วยครับ ซึ่งหมายถึงการเชื่อกระแสที่พูดตามๆ กันมา พอเราได้ยินบ่อยครั้งเข้าก็เผลอคิดว่ามันเป็นจริง (เหมือนถูกล้างสมอง) ทั้งที่ผลประกอบการหรือแนวโน้มธุรกิจของบริษัทนั้นๆ อาจไม่ได้ดีจริงอย่างที่ผู้บริหารให้สัมภาษณ์หรือนักข่าวเต้าข่าวก็เป็นได้ แต่พอได้ฟังบ่อยๆ เข้า เอ่อ.. มันก็เริ่มอิน เหมือนที่ฝรั่งเขาพูดกันว่า “Lie that are told once may not be well received, but telling a lie a thousand times will be believed.”

เรื่องสุดท้ายสำหรับวันนี้ชื่อว่า Anchoring ครับ แปลตรงตัวว่า การยึดติด หมายถึงเรามักให้ความสำคัญกับข้อมูลบางอย่างมากจนเกินไป เช่น หุ้นตัวหนึ่งราคาเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 100 บาท ถ้าราคาลงมาครึ่งหนึ่งเหลือ 50 บาท นักลงทุนบางกลุ่มมักจะคิดว่าหุ้นถูกละ (เพราะไปยึดติดกับราคาสูงสุดของหุ้น) หรือถ้าเขามีหุ้นนั้นต้นทุนอยู่ที่ 100 บาท เขาก็จะรอให้หุ้นขึ้นไปถึงราคาทุนก่อนจึงค่อยขาย ทั้งที่จริงๆ แล้วหากเป็นนักลงทุนระยะยาวไม่ควรนำต้นทุนมาเป็นปัจจัยตัดสินในการซื้อขายหุ้นเลย สิ่งที่นำมาวิเคราะห์ว่าหุ้นถูกหรือแพงและควรขายหรือไม่นั้นควรจะเป็นข้อมูลทางปัจจัยพื้นฐาน เช่น แนวโน้มผลประกอบการบริษัท อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี อัตราเงินปันผล หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไร เป็นต้น 

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความผิดพลาดจากการลงทุนที่ผมย่อมาให้อ่านในวันนี้ครับ ก่อนจะจบบทความผมอยากจะทิ้งท้ายไว้ว่าอายุหรือประสบการณ์ในการลงทุนนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคุณจะต้องประสบความสำเร็จในการลงทุน หากแต่การใช้สติปัญญาและเหตุผลในการตัดสินใจได้ดีแค่ไหนต่างหากที่จะบอกได้ว่าคุณจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญก็คือการควบคุมอารมณ์ไม่ให้คล้อยตามไปกับฝูงชน รวมถึงศึกษาหาความรู้ให้มากเข้าไว้ครับ

Wednesday, June 1, 2016

5 ทีเด็ดจาก Warren Buffett (For Intania 89 #3)

สวัสดีครับ,

เมื่อคืนกลางดึกของวันที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสนั่งดูการถ่ายทอดสดการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัท Berkshire Hathaway ที่เป็นการถ่ายทอดครั้งแรกทางอินเตอร์เน็ตให้ผู้ชมทั่วโลกได้ดูไปพร้อมกับผู้เข้าประชุมหลายหมื่นคนในเมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา จริงๆ แล้วถ้าหากไม่มีการถ่ายทอดนี้ ผู้ที่จะได้ร่วมประชุมนั้นจะต้องถือหุ้นอย่างน้อย 1 หุ้น (ณ เวลาที่เขียนบทความอยู่นี้ หุ้น Berkshire (BRK-A) สนนราคาหุ้นละเพียง 211,180 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7.5 ล้านบาทเท่านั้นครับ) ภาพที่เห็นก็คือมีคุณปู่ 2 ท่านนั่งอยู่บนเวที คนซ้ายนามว่า Warren Buffett CEO และผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ Berkshire คนขวานามว่า Charlie Munger รองประธานฯ และคู่หูของ Warren Buffett และยังมีเอกสาร ขนมขบเคี้ยว แก้วน้ำและน้ำอัดลมวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมที่จะบรรยายและตอบคำถามผู้ถือหุ้นทุกท่านอย่างถึงไหนถึงกัน


ผมไม่ได้จะมาสรุปผลการประชุมหรอกครับ เพราะเรียนตรงๆ ว่าดูไม่จบ ก็การประชุมเล่นยืดยาวไปจนถึงเช้ามืดวันที่ 1 พฤษภาคม (เวลาประเทศไทย) ถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ตัวจริงก็คงหลับคาโต๊ะนั่นละครับ แต่ที่น่าสนใจก็คือคำกล่าวที่ว่าเมื่อ “Buffett (และ Munger) พูด โลกจะหยุดฟังนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นจริง นักลงทุนยุคนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก Warren Buffett บุรุษผู้ซึ่งบริหารบริษัท Berkshire จนทำให้มูลค่าหุ้นขึ้นมามากกว่า 1,000,000% ในช่วงปี 1964-2015 ในขณะที่ดัชนี S&P500 ขึ้นมาเพียง 2,300% ในบทความนี้ผมเลยเลือกคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่น่าสนใจที่ Buffett เคยกล่าวไว้ในหลายๆ โอกาสมาสรุปยำรวม 5 ข้อสั้นๆ ดังนี้ครับ


ข้อแรก อย่าซื้อหุ้นในบริษัทที่คุณไม่เข้าใจ และถ้าคิดว่าไม่สามารถจะถือหุ้นนั้นได้ถึง 10 ปี แค่เพียง 10 นาทีก็อย่าคิดที่จะเป็นเจ้าของมันข้อสอง อย่าลงทุนตามฝูงชน การจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้นั้นคุณต้องแยกตัวให้ขาดจากความโลภและความกลัวของคนอื่นรอบๆ ตัวคุณ แม้ในสถานการณ์จริงจะเป็นไปได้ยากก็ตามข้อสาม รู้ตัวว่าคุณไม่รู้ในเรื่องอะไร และจงรู้จักเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของผู้อื่นและอย่าทำตามข้อสี่ การลงทุนที่ดีที่สุดก็คือการลงทุนในตัวคุณเอง ลงทุนในการศึกษาให้มากตั้งแต่อายุยังน้อย อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า รวมถึงฝึกสื่อสารทั้งการพูดและการเขียนให้ดี เพราะนั่นจะช่วยเพิ่มมูลค่าและรับประกันอนาคตของคุณในระยะยาวและข้อห้า ให้ลงทุนใน Broad-based index fund ที่ล้อไปตามดัชนี S&P 500” งงใช่ไหมละครับข้อนี้ ไม่เป็นไร ผมจะขยายความให้

ก่อนอื่นขอเล่าก่อนว่ากองทุนที่เราซื้อขายกันนั้นถูกแบ่งกว้างๆ ออกเป็น 2 ประเภทครับ ประเภทแรกเราเรียกว่า Active fund กองประเภทนี้จะมีผู้จัดการกองทุนบริหาร ช่วยตัดสินใจลงทุนให้โดยมุ่งหวังให้ผลตอบแทนชนะตลาด ประเภทที่สองเรียกว่า Passive fund เป็นกองทุนที่ผู้จัดการกองทุนไม่ต้องตัดสินใจลงทุน หน้าที่มีเพียงคอยจัดการให้มูลค่ากองทุน (NAV) ล้อไปกับดัชนีที่ยึดเป็นสิ่งอ้างอิงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้กองทุนประเภท Passive fund จึงมีค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุนที่ต่ำกว่า Active fund ค่อนข้างมากครับ

ที่ Buffett กล่าวว่าให้ลงทุนใน Broad-based index fund ที่ล้อไปกับดัชนี S&P 500 นั้น กองทุนนี้ก็จัดเป็น Passive fund ประเภทหนึ่งครับ โดย Buffett มีความเชื่อในเรื่องนี้มานานแล้วว่า ในระยะยาวแล้วการลงทุนใน Passive Fund จะสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าการลงทุนใน Active fund” (ไม่ใช่เพราะว่าผู้จัดการกองทุน Active fund ไม่เก่ง แต่เพราะค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการกองทุนนั้นต่างกันมาก) เค้าถึงกับเดิมพันกับ Hedge Fund ในอเมริกาที่ชื่อว่า Protégé Partners ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเงินบริจาค 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ผู้ชนะจะได้สิทธิ์เลือกว่าจะบริจาคให้กับมูลนิธิใด) ว่ากองทุนอย่าง Vanguard S&P 500 ซึ่งเป็น Passive fund ที่ล้อไปตามดัชนี S&P 500 จะทำผลตอบแทนได้ชนะ Hedge funds ที่เป็น Active fund ภายใน 10 ปี จนถึงเวลานี้ผ่านไปแล้ว 8 ปี ผลตอบแทนสะสมของฝั่ง Buffett สูงถึง 65.7% ในขณะที่ฝั่ง Hedge funds ทำได้เพียง 21.9% ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2017 ที่เป็นวันสิ้นสุดการเดิมพันครั้งนี้ Buffett คงเป็นผู้ได้เลือกว่าจะนำเงินไปบริจาคให้กับที่ใดครับ

ทั้งหมดนี้ก็คือแก่นเพียงเศษเสี้ยวของนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งของโลกที่ผมกลั่นออกมาให้อ่านกันครับ ไว้มีโอกาสในคราวถัดๆ ไปผมจะหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจของนักลงทุนท่านอื่นๆ มาเล่าสู่กันฟังอีก คอยติดตามกันนะครับ

นอกหรือในใครจี๊ด

สวัสดีครับ,

เป็นที่น่าสนใจว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาปีนี้เป็นบวก 20 จุด หรือ 1.4% สวนทางวลีเด็ด Sell in May ไปเลยละครับ ความจริงหุ้นมาขึ้นหนักๆ ในช่วงอาทิตย์สุดท้าย ซึ่งพอไปดูตัวเลขก็ไม่น่าสงสัยว่าทำไม ก็พี่ฝรั่งเล่นซื้อสุทธิ SET50 index futures 5 วันรวดหลงจ้งถึง 36,738 สัญญา ทำให้ตัวเลขสุทธิทั้งเดือนพลิกกลับมาเป็นบวก 400 สัญญา และพอรวมตัวเลขทั้งปี ฝรั่งซื้อสุทธิถึง 158,837 สัญญาครับ

Screen Shot 2559-06-01 at 4.56.44 PM

ในแง่ตลาดหุ้นนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาฝรั่งยังคงซื้อสะสมโดยเป็นยอดสุทธิถึง +1.8 หมื่นล้านบาท แม้จะยังไม่ถึงครึ่งปีแต่ก็เรียกได้ว่ามีลุ้นมากขึ้นครับที่นักลงทุนต่างชาติจะพลิกกลับมาเป็นซื้อสุทธิในปีนี้หลังจากที่ขายหนักๆ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหลายแสนล้านบาท ที่น่าสนใจก็คือนักลงทุนสถาบันในประเทศที่เป็นผู้ซื้อหนักๆ รองรับแรงขายฝรั่งในช่วงหลายปีที่ผ่านกลับเริ่มซื้อเบาบางลงในปีนี้ ซึ่งผมคิดว่าแนวโน้มการชะลอซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศอาจจะมีต่อเนื่อง (และอาจพลิกเป็นขายสุทธิได้ในที่สุด) เห็นได้จากตัวอย่างหนึ่งก็คือมีข่าวว่ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของประเทศได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจาก 10.2% เมื่อสิ้นปี 2015 เหลือ 7-8% ในปัจจุบัน ในขณะที่ไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศจาก 25% เป็น 30% และ property assets จาก 8% เป็น 12%

Screen Shot 2559-06-01 at 4.56.52 PM

ก็ต้องมาลุ้นกันต่อครับว่าพลังเงินนอกกับเงินในใครจะแรงและมีผลต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่ากัน แต่โดยปกติแล้วถ้าเงินนอกมาจริงของเค้ามักจะแรงละครับ

Wednesday, May 18, 2016

สองในสิบสอง

สวัสดีครับ,

จนถึงช่วงเช้าของวันที่ 18 พ.ค. 59 ผลตอบแทนตลาดหุ้นเดือนนี้ยังเป็นบวกอยู่เล็กน้อยครับที่ +0.14% เหมือนกับว่าวลีเด็ด Sell in May and Go Away จะไม่เป็นจริงในปีนี้อย่างนั้นหรือ?


หากย้อนไปดูข้อมูล 10 ปีให้หลังในช่วงปี 2006-2015 ก็จะพบว่ามีอยู่ 2 ใน 12 เดือนเท่านั้นครับที่ผลตอบแทนตลาดหุ้นรายเดือนเป็นลบมากกว่าบวก นั่นก็คือเดือนม.ค. และเดือนพ.ค. (เป็นลบ 6 ครั้ง เป็นบวก 4 ครั้ง) ซึ่งในกรณีของเดือนพ.ค.นั้น อาจจะไม่น่าสงสัยมาก แต่ที่น่าแปลกก็คือเดือนม.ค. ที่เราจะได้ยินว่าคำว่า January Effect ว่าหุ้นมักจะขึ้นในเดือนม.ค. เพราะนักลงทุนจะกลับมาซื้อหุ้นในเดือนนี้หลังจากขายหุ้นทิ้งในเดือนธ.ค.เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจาก capital gains (ในเมืองนอก) แต่ความจริงก็คือเรื่องหุ้นในเดือนม.ค.กลับลงมากกว่าเดือนอื่น

นักลงทุนบางท่านอาจจะแย้งว่า เอ๊ะ ก็ตลาดหุ้นไทยไม่ได้เก็บภาษี capital gains เหมือนเมืองนอกนิ จริงครับ แต่ผมก็มักจะได้ยินการเหมารวมอยู่เสมอๆ ในตลาดหุ้นบ้านเรา จนวลี January Effect กลายเป็นความเชื่อไปแล้วว่าหุ้นจะต้องขึ้นในเดือนม.ค.

ข้อสรุปของผมก็คือไม่ว่าจะเป็นวลี Sell in May and Go Away หรือ January Effect มันก็อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ครับ ที่บางทีเรารู้สึกว่ามันน่าจะจริงมากกว่าก็เพราะเราอาจสนใจเฉพาะแต่สิ่งที่เราอยากสนใจมากเกินไป (เป็น bias ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Focusing Effect) จนลืมไปว่าก็มีอีกหลายปีนะที่หุ้นไม่ได้ลงเดือนพ.ค. หรือในกรณีเดือนม.ค.ที่หุ้นดันลงมากกว่าขึ้นด้วยซ้ำ


ส่วนในแง่ของภาพตลาดเองนั้น ผมคิดว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เราเห็นการปรับตัวการคาดการณ์ GDP ขึ้น หลังจาก GDP ไตรมาส 1 ออกมาดีกว่าคาดที่ +3.2%YoY โดยสภาพัฒน์ปรับคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้ขึ้นเป็น 3-3.5% จาก 2.85-3.5% ในขณะที่ประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นบ้านเราก็มีแนวโน้มดูดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ไตรมาสครับ ราคาหุ้นเป็นอย่างไรไว้ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้พื้นฐานโดยรวมเริ่มฟื้นแล้วครับ


Wednesday, May 4, 2016

ซื้อสุทธิหนักมาก

สวัสดีครับ,

เผลอแป๊ปๆ เวลาได้ล่วงเลยมาถึงเดือนที่ 5 แล้วในปีนี้ ผมยังรู้สึกว่าเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่เพิ่งจะผ่านพ้นไปไม่นานเองครับ อย่างไรก็ดี ช่วงที่เราเผลอๆ นิแหละ อาจจะเผลอลืมมองไปด้วยว่านักลงทุนต่างชาติเค้าได้กลับมาซื้อสุทธิในบ้านเราอย่างมีนัยสำคัญพอสมควรเลยนะ โดยเฉพาะในตลาดอนุพันธ์ ที่ฝรั่งได้ซื้อสุทธิในสัญญา SET50 Index Futures เป็นจำนวนเกือบ 1.6 แสนสัญญา (นับจนถึงวันที่ 3 พ.ค.) คิดเป็นมูลค่าคร่าวๆ ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์เลยละครับ



นอกจากนี้ ฝรั่งยังได้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเป็นมูลค่าอีก 1.4 หมื่นล้านบาทนับจากต้นปี หลงจ้งกับตลาดอนุพันธ์ก็คิดเป็นมูลค่าร่วม 4.2 หมื่นล้านบาท ที่มาช่วยพยุง SET Index เรา นิยังไม่นับค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่า 2.5% จากต้นปีเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอีกนะครับ หรือสงสัยสถานการณ์จะพลิกผันหรือมีประเด็นอะไรใหม่ๆ ที่เราไม่ทราบรึเปล่า เพราะถ้าจำกันได้ช่วงต้นปีกูรูส่วนใหญ่จะคาดการณ์ว่าเงินจะไหลออกจากตลาดหุ้นต่อเนื่องและค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าไปแถวๆ 38 บาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ เหตุผลก็เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ แต่สิ่งที่เราเห็นกับตรงกันข้าม


เหตุผลที่แท้จริงอีกไม่นานก็น่าจะได้รู้กันละครับ แต่ก็มีความจริงที่ท่านผู้ว่าแบงค์ชาติได้กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวและคาดว่าจะดีต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง โครงสร้างการเงินแข็งแกร่ง ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดวิกฤตเหมือนปี 2540 ไม่มี และถึง Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจริงก็จะกระทบไม่มาก เพราะเรามีกันชนที่ดีในเรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นถึง 3 เท่า ขณะที่การพึ่งพิงเงินตราต่างประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนก็อยู่ในระดับต่ำ เห็นได้จากพันธบัตรรัฐบาลและแบงค์ชาติมีฝรั่งถือครองเพียง 8-9% เทียบกับเพื่อนบ้านบางประเทศที่ต่างชาติถือถึง 30-40% อีกทั้งตลาดหุ้น ฝรั่งก็ถือหุ้นลดลงไปมาก โดยสัดส่วนเหลือเพียง 27-30% เทียบกับ 35-37% เมื่อ 3-4 ปีก่อน หรือบางทีสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ไทยกลับมาเป็นที่สนใจของฝรั่งอีกครั้งในยามที่ผลตอบแทนจากการลงทุนหาได้ยากในโลกยุคดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ก็เป็นได้ครับ