Wednesday, July 31, 2013

เดอะแก๊งค์สี่โมง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 31 กรกฎาคม 2556

สัปดาห์ที่ผ่านมามีนักลงทุนหลายท่านได้บอกกับผมว่าชอบข้อมูลในส่วนของ Flows Fund เอ้ย Fund Flows (:P) วันนี้เลยนำข้อมูลมาอัพเดทให้ครับ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาฝรั่งเป็นยอดซื้อสุทธิเบาๆในตลาดหุ้นไทย 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, หนักหน่อยใน Philippines 164 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ขายใน Indonesia 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความจริงผมเริ่มรู้สึกว่าตลาดหุ้นปีนี้มันชักจะเล่นยากขึ้นไปทุกที (เพิ่งจะรู้สึกเรอะ!) เรื่องที่ไม่มีเหตุผลมักเกิดขึ้นได้เสมอๆ ดังเช่นช่วงเวลา 4 โมงเย็นของทุกวัน ที่ตลาดหุ้นมักถูกทำมิดีมิร้ายอย่างไม่ทราบสาเหตุโดยกลุ่มคนต้องสงสัยที่ผมขอขนานนามว่า “The 4 PM-Gang” หรือชื่อเป็นภาษาไทยว่า เดอะแก๊งค์สี่โมง.. ไม่รู้อัดอั้นตันใจมาจากไหนสี่โมงทีไรหุ้นดิชั้นโดนเสยทุกที!” สาวน้อยเพียงดอยท่านหนึ่งบ่นงุบงิบ .. เห็นเนิบๆมาทั้งวังไม่น่ามีอังไล วอลุ่งก็น้อยขนาดนั้น ไหงทิ้งพรวดๆๆไม่ให้อั๊วะตั้งตัวเบยอาม่าอินเทรนกล่าวอย่างหัวเสีย

ผมก็ไม่แน่ใจนะครับว่าในต่างประเทศจะมีช่วงเวลาต้องระวังแบบเมืองไทยหรือไม่ แต่เรื่องของเรื่องก็คือฝรั่งเค้าก็แปลกใจกับช่วงเวลา 4 pm ไม่น้อยไปกว่าคนไทย.. หยั่งล่าสุดเมื่อวานก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเองก็พยายามหาสาเหตุต่างๆนานามาอธิบาย เช่น นักลงทุนขายเพื่อลดความเสี่ยงรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในวันที่ 30-31 กรกฎาคม รวมถึง ECB meeting ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ไง แล้วก็มี การเมืองไทย! เพราะเค้าจะเปิดประชุมสภาในอีกวันสองวันนี้แล้ว ก็กลัวว่าจะมีชุมนุมอะไรรุนแรง (แม้ปัจจัยการเมืองจะไม่ได้กระทบตลาดหุ้นในระยะยาว แต่หากเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นมา มันก็มีผลในระยะสั้นนะ) และอีกเรื่องที่สำคัญก็คือเรื่องโครงการ 2 ล้านล้าน ถ้าไม่ผ่านนิ catalyst ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยก็แทบจะไม่เหลือ (exports ก็หด การบริโภคกำลังซื้อก็ลด การลงทุนภาคเอกชนก็ถดถอย) ดูญี่ปุ่นซิ เค้ามีรถไฟความเร็วสูงตั้งกะปี 1964 จึงทำให้เกิดการพัฒนา กระจายความเจริญของสังคมเมืองสู่จังหวัดต่างๆ (Urbanization) และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาแล้ว.. ส่วนไทย ประเทศกำลังพัฒนา อดีตเสือตัวที่ห้าของเอเชีย และเป็นผู้ที่ถูกคาดหวังว่าจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการเชื่อมโยง (Connectivity) เมื่อเกิด AEC ก็ตามหลังญี่ปุ่นอยู่ 50 ปีเองง..


ตรงนี้ถามว่าเราเองมีตัวอย่างที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมไหม.. มีครับ ลองดู GDP เมื่อปี 2003-2006 การเจริญเติบโต GDP เชียงใหม่เทียบกับลำปางพบว่า GDP เชียงใหม่พุ่งสูงกว่าประเทศปรี๊ดๆ เพราะในปี 2003 เป็นปีที่มี Low-cost airline ที่เชียงใหม่เป็นครั้งแรก! พอมีระบบการบินภายในก็ทำให้ผู้โดยสารเพิ่มขึ้น เกิดการสร้างงาน ความเจริญก็กระจาย ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นเป็นลำดับ

เอ้านอกเรื่องไปตั้งไกล ขอกลับมาที่เดอะแก๊งค์สี่โมงครับ เอาเป็นว่า เวลาสี่โมงเย็นของทุกวันทำการตลาดหุ้นไทย.. ระวังหลังกันให้ดีนะทุกคน!!

Wednesday, July 24, 2013

เคล็ดไม่ลับของ Buffett

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 24 กรกฎาคม 2556

สัปดาห์ที่ผ่านมามีกี่นิ้วก็ต้องขอยกให้ทีม Tactical Research แห่งค่ายบัวหลวง นำโดยเซียนนิด ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ และกูรูตุ๊ ชาญณรงค์  มีชัยเจริญยิ่ง (สังเกตนะครับว่าชื่อและนามสกุลของพี่ทั้งสองมีทั้ง ชัย(ชนะ)และ เจริญ .. ช่างมงคลจริงๆ) ที่คาดกันตั้งแต่เดือนที่แล้วครับว่า หุ้นไทยในเดือนก.ค.นี้จะกลับมาสวีวี่วีได้จนถึง 1500++ จุด ซึ่งจากนี้ไปพี่เค้าก็ยังคาดครับว่า momentum น่าจะเดินเครื่องต่อ อาจมีลุ้นแถว 1530++ จุด ซึ่งถ้าดูประกอบกับผลสำรวจโดย Bloomberg ก็ชี้ว่า นักเศรษฐศาสตร์ทุกคน (ที่ทำ poll) เชื่อว่า การประชุม FOMC ในวันที่ 30-31 กรกฎาคมนี้ จะไม่มีการถอน QE แน่ๆ แต่ กว่าครึ่ง! เชื่อว่า Fed จะลดขนาด QE ลงในเดือนก.ย.ที่จะถึงนี้ (จำนวนเพิ่มขึ้นจาก 44% ที่สำรวจเมื่อเดือนที่แล้ว) โดยมีการคาดการณ์กันครับว่าจะลดจาก 85,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน เหลือ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน แบ่งเป็น Treasuries 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Mortgage-backed security 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความจริงแล้วก็ไม่อยากจะให้ไปยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องถอนไม่ถอน QE มากไปครับ เพราะมันเป็นเครื่องกำหนดราคาหุ้นในระยะสั้น-กลาง (แต่เราจะไม่รู้เลยก็ไม่ได้) ซึ่งในระยะยาวแล้วราคาหุ้นก็วิ่งตามผลประกอบการของบริษัทเท่านั้น ไม่ใช่ปัจจัยเรื่องสภาพคล่องเหล่านี้.. ในวันนี้ผมเลยมีเคล็ดไม่ลับของ Buffett มาฝากแฟนๆปิดท้ายสั้นๆครับ

Warren Buffett ลงทุนในบริษัท Washington Post ด้วยเงิน 11 ล้านเหรียญตั้งกะปี 1973 และถือมาจนถึงตอนนี้โดยไม่เคยขายซักกะหุ้น! ทราบมั้ยครับเงิน 11 ล้านเหรียญ ในตอนนั้น ผ่านมาถึงตอนนี้ขึ้นมาเป็น 900 ล้านเหรียญ กว่า 8000% !!! "เวลาในการถือหุ้น" เป็นหนึ่งในเคล็ดไม่ลับที่ทำให้ Buffett รวยเป็นอันดับต้นๆของโลก ดังที่อดีตลูกสะใภ้ Mary Buffett กล่าวไว้ครับว่า "Warren has learned that time will make him superrich when he invests in a company that has a durable competitive advantage working in its favor." .. แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ


Wednesday, July 17, 2013

ฤาเหยี่ยวกำลังจะกินพิราบ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 17 กรกฎาคม 2556

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสพบผู้จัดการกองทุนระดับแสนล้านในห้องลับแห่งหนึ่ง ผมได้เกริ่นกับท่านว่าเหมือนงบ Q2 ของสถาบันการเงินในอเมริกาจะดูดีกว่าที่คาดเยอะนะครับ (มาถึงก็เข้าเรื่องเลย คริคริ) -- Wells Fargo กำไรโต 19%, Citigroup โต 41%, JP Morgan โต 31% (ถ้าจำกันได้แบงค์นี้แหละที่ทำ Trading loss มูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อกลางปีก่อน) และล่าสุด Goldman Sachs (ชอบชื่อนี้มากไม่รู้ทำไม คริคริ) ประกาศกำไรโตเท่าตัว! -- ตรงนี้น่าจะเป็นสัญญาณชี้อย่างหนึ่งว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวใช่หรือไม่ เพราะภาคการเงินน่าจะเป็น Indicator ที่ดีอย่างหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ สังเกตจากวิกฤตครั้งใหญ่แทบทุกครั้งสาเหตุก็มาจากภาคการเงินทั้งนั้น.. ท่านไม่ได้ตอบผมตรงๆแต่แชร์มุมมองเพิ่มครับว่า จริงอยู่เราอาจเริ่มเห็นบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯทยอยประกาศผลประกอบการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ แต่มันจะกลายเป็นว่า เมื่อคนอเมริกามีความเชื่อมั่นมากขึ้น ภาคธุรกิจการเงินดูดีขึ้น สถาบันการเงินเหล่านั้นก็อาจดึงเงินที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่กลับไปเร็วขึ้น เพื่อไปเสริมสภาพคล่องหรือปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนรวมถึงภาคเอกชนเพื่อให้เกิดการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง (Real sector) ต่อไป ก็ความเชื่อมั่นมันสูงขึ้นนิ!


อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ บังเอิญผมไปเจอรูปนี้มาครับ คริคริ คงไม่ลงในรายละเอียด แต่ขอสรุปให้อ่านสั้นๆครับว่า จากรูป ได้แบ่งเหล่าผู้มีอิทธิพลกับการยก QE ออกไม่ออก เป็น 2 สาย คือ 1. สายเหยี่ยว (Hawk) – เห็นด้วยสุดๆจะให้ยก QE ออกแบบด่วนๆ 2.สายนกพิราบ (Dove) – ไม่เห็นด้วยสุดๆที่จะให้ยก QE ออก (คืออยากให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป) ส่วนระดับความร้อนแรงของแต่ละท่านก็ลดหลั่นกันไปตามรูปนะครับ.. สังเกตว่าคนที่อยู่ใน Board รวมถึง Bernanke (ผู้ว่า Fed คนปัจจุบัน) และ Yellen (ตัวเกร็งผู้ว่าคนถัดไป) ยังอยู่ในโซน Dove ซะส่วนใหญ่ แต่เมื่อดูโดยภาพรวมเทียบปีนี้กับปีหน้าแนวโน้มเริ่มเปลี่ยนไปทางเหยี่ยว (Hawk) มากขึ้น... เห็นแบบนี้แล้วเราก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม ลงทุนด้วยความระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้นครับ  


Wednesday, July 10, 2013

Fund Flows เปลี่ยนทิศ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 10 กรกฎาคม 2556

เมื่อย้อนไปดูตัวเลขภาคการผลิตและภาคการบริการของยุโรป (PMI) และอเมริกา (ISM) รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นของญี่ปุ่น (Tankan) ที่เพิ่งประกาศในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพรวมถือว่าดีขึ้นแม้จะยังไม่ฉูดฉาด แต่ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่าเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้วกำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆครับ ตรงนี้แท้จริงแล้วถือว่าดีต่อเศรษฐกิจโลก เพราะ 3 กลุ่มที่ว่านี้รวมกันขนาดเศรษฐกิจก็ปาไปเกือบ 60% ของโลกละ แต่ที่ผมรู้สึกกังวลก็คือ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยที่เป็นพระเอกเหนือประเทศพัฒนาแล้วมาโดยตลอด หลังจากนี้ช่องว่างตรงนั้นอาจจะค่อยๆแคบลงครับ หมายถึง เราน่าจะโตได้ดีอยู่ แต่อาจไม่ได้ด้วย speed เหมือนที่ผ่านมา (เว้นแต่โครงการ 2 ล้านล้านจะฉลุย ซึ่ง ณ ขณะนี้ถือว่ายังไม่แน่นอน) ขณะที่อเมริกา ซึ่งกำลังฟื้นอย่างช้าๆ ยุโรป ที่เชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และญี่ปุ่นที่อาจเรียกได้ว่ามาแรงที่สุดในกลุ่ม G3 (จาก Abenomics) น่าจะกำลังดึงความสนใจจากนักลงทุนบางส่วนให้โยกย้ายเงินกลับไปลงทุนในกลุ่มประเทศเหล่านั้น


ตรงนี้มีรูปยืนยันครับ (เดี๋ยวจะหาว่าโม้ อิอิ) จากกราฟจะเห็นว่า Flows เริ่มเปลี่ยนทิศไปเข้าตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วตั้งแต่ต้นปี 2013 แต่ในขณะที่ Flows ที่ไหลเข้าหุ้นในตลาดเกิดใหม่ก็ยังไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (แค่หักหัวเบาๆ) แต่ถ้าสังเกตดีๆก็จะรู้สึกว่าต้องระวังครับ เพราะลมมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทิศละ.. ทีนี้พอมาเจาะดูเฉพาะประเทศไทย (รูปล่างซ้ายโดย MS, Bloomberg อัพเดทถึง 4 ก.ค. และรูปขวาโดย Thaibma, Aspen) ก็จะเห็นว่า Flows ทยอยออกจริงอะไรจริง โดยเฉพาะในเดือนมิ.ย. โกยหมดทั้งตราสารหนี้และหุ้น เริ่มเสียวไหมครับ
ที่เล่ามาก็เพราะแค่ต้องการจะให้ข้อมูลทุกท่านในการวิเคราะห์ภาพใหญ่ ไม่ได้ชี้นำแต่อย่างใด (กลัวผิดเหมือนกัน อิอิ) Fund Flows แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Macro Investors ต้องจับตา.. การเทรด TFEX จะปลอดภัยมากขึ้นขึ้นหากเรายืนอยู่บนแนวโน้มหลักและกำหนดจุด stop loss ให้ดี.. สู้ๆครับ


Wednesday, July 3, 2013

ยังโอเครึป่าว?

เฮลโล่ว,
เขียนเมื่อ 3 กรกฎาคม 2556

ตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ดูเหมือนจะผันผวนเบาๆนะครับนะ ในมุมมองของผมก็คิดว่า SET Index น่าจะแถๆไถๆไปได้เรื่อยๆ จากตัวเลขฝรั่งที่ทยอยกลับมาซื้อเฉาะแฉะในตลาดหุ้น และโดยเฉพาะใน SET50 Futures ที่จัดหนัก long ไปถึง 9454 สัญญาในช่วง 6 วันทำการที่ผ่านมา แบบนี้น่าจะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนชาวไทยได้ไม่มากก็น้อยละครับ... อย่างไรก็ดี อันที่จริงผมเองก็ยังเสียวๆอยู่เหมือนกันละ ตลาดพี่ไทยเรายิ่งอินดี้ไม่ค่อยเหมือนใครอยู่ซะด้วย เงินมันไหลไปๆมาๆจนบางทีนักลงทุนวัยรุ่นอย่างเราๆก็ตามไม่ทัน ยิ่งผู้ที่เล่นในตลาด TFEX ด้วยแล้ว จะสังเกตได้ว่าความผันผวนในช่วงที่ผ่านมาทำให้ช่องห่างระหว่าง bid-offer ของ SET50 Futures มากถึง 10 ช่องได้เลย จึงอยากขอเน้นและย้ำครับว่า หากใจไม่นิ่งพอ ขอให้อยู่นิ่งๆ อย่าได้เอานิ้วไปแหย่พัดลมที่เปิดเบอร์ 3 อยู่เชียว แต่หากยึดมั่นถือมั่นในแนวคิดและมองเทรนระยะกลางออกแม่นๆ ก็จัดไปเลยครับ TFEX หน่ะ.. อู๊ดๆ

เมื่อกี้พูดถึงเงินไหลไปๆมาๆ ก็เลยอยากให้ดูของเล่น 2 ตัวครับ เผื่อว่าจะพอคาดสถานการณ์ได้บ้างคร่าวๆ ตัวแรกคือ ค่าเงินบาท ใช่ครับ! หากค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯพลิกมาแข็งค่าในระหว่างวันแสดงว่ามีเงินไหลเข้ามา หุ้นก็น่าจะดีดตามไปด้วย แต่หากอ่อน นั่นหมายถึงเงินไหลออก ซึ่งวันนั้นคุณอาจจะเห็นฝรั่งเป็น Net Sellers ก็เป็นได้
Source: Aspen (11.00 am: 3/7/13)

ตัวที่ 2 ก่อนจบ.. คืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาอายุ 10 ปีครับ (ช่วงนี้ฮิตเหลือเกิน) ในช่วงเดือนที่ผ่านมานักลงทุนกลัวกันสุดๆว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะดูดเงินกลับsoon พวกกองทุนต่างๆทั่วโลกจึงแห่ขายพันธบัตรทำให้ราคาลงจู๊ดๆ และผลตอบแทนขึ้นปรู๊ดๆ (2 ตัวนี้มันสวนทางกัน!) โดยมีรายงานว่าจำนวนเงินที่ไหลออกจาก ETF และกองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วโลกในเดือนมิ.ย.ทำสถิติสูงสุดเกือบ 2 เท่าของจำนวนเงินที่เคยไหลออกในช่วงวิกฤต Subprime (ราว 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จนทำให้กองทุนเหล่านั้นต้องไปขายทองคำ หุ้น เพื่อเอากำไรมาโป๊ะขาดทุนพันธบัตร (เพราะเค้าถือพันธบัตรอยู่เยอะกว่ามว๊ากๆ).. ถึงตอนนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย นักลงทุนรับข่าวกันไปอิ่มหนำสำราญ ราคาพันธบัตรน่าจะกลับมาขึ้นได้ละมั้งครับ นั่นหมายถึง อัตราผลตอบแทนควรจะลดลง ซึ่งนั่นก็น่าจะส่งผลให้หุ้นยังอยู่รูปแบบที่โอเคต่อไปครับ OK!! (จากรูป: US 10-year Treasury bond yield vs SET Index แบบ relative)


Wednesday, June 26, 2013

Rollover

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 26 มิถุนายน 2556

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานอกจากจะเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้น โหดร้าย สะเทือนจิตใจของนักลงทุนแล้ว ยังอาจจะเป็นโอกาสดีของนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ในการซื้อสะสมหุ้นที่พื้นฐานดีครับ.. ความผันผวนที่ค่อนข้างสูงเกินจริงในช่วงเดือนนี้ ยังเป็นจังหวะที่ดีของ momentum investors ในการ trade เล่นรอบเพื่อทำกำไร (ตัดขาดทุน) ทั้งขาขึ้นและลง ทั้งหุ้นและตราสารอนุพันธ์.. ในขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงเวลาที่ Trader ที่ทำหน้าที่ execute orders TFEX ให้กับลูกค้าสถาบันต่างประเทศอย่างผม แอบเหงื่อตกสุดๆในรอบไตรมาสเลยเช่นกัน

ทำไมนะหรอ? ก็เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่นักลงทุนต่างพากันเปลี่ยนถ่ายสัญญา (Roll over) ตัวสัญญา SET50 Index Futures ครับ เนื่องจากเจ้า SET50 futures เดือนมิถุนา (S50M13) กำลังจะหมดอายุลงในวันพฤหัสที่ 27 มิถุนายน นี้ นักลงทุนสถาบันต่างประเทศส่วนใหญ่ มักจะไม่ปล่อยให้หมดอายุไปเฉยๆ จึงได้ทำการ roll over (ปิด position ในเดือนมิถุนา แล้วไปเปิด position ใหม่ในเดือนกันยา (S50U13)) เพื่อถือลุ้นต่อไปในขาที่เค้าเชื่อว่าถูก ซึ่งตรงนี้จะเห็นได้ว่านักลงทุนต่างประเทศมีมุมมองการลงทุนที่ยาวกว่า โดยบางรายถือ position SET50 Index futures มากกว่าหนึ่งปี roll over มาเรื่อยๆครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งต่างจากนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ที่มักเก็งกำไรแบบระยะสั้น

ตัว SET50 Index options เองก็เช่นกันครับ นักลงทุนต่างประเทศบางรายก็ถืออยู่ แต่ด้วยสภาพคล่องที่น้อยมาก การซื้อขายจึงทำได้ลำบาก บางทีต้องรอทั้งวันถึงจะได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ซึ่งความลำบากอีกอย่างก็คือ SET50 Index options ไม่มี combination order ให้ใช้ได้เหมือนกัน SET50 Futures ครับ... เวลาจะ roll over ก็โซ้ยมันในตลาดนิแหละ

สุดท้ายผมต้องขอจบบทความแต่เพียงเท่านี้ ช่วงนี้งานยุ่งยุงชุมเหลือเกิน ฝนก็ตกพรำๆ คางคกก็ร้องคลำๆ... ขอตัวไปบริการท่านลูกค้าสถาบันต่างประเทศผู้ยิ่งใหญ่ กับเตรียมข้อมูลเพื่อพูดในหัวข้อ “Understanding Foreign Institutional Investor” ให้กับเหล่า The Stock Master ในวันอาทิตย์นี้ก่อนครับ อาดิโอส

Wednesday, June 19, 2013

หัวใจของการลงทุนสไตส์ไวไว

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2556

ช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องยอมรับครับว่า นักลงทุนสไตส์ VI (Volatility Investors) หรือไวไว (คู่แข่ง Value Investors) คงไม่แคล้วกุมขมับกันเป็นแถวๆ ผมเองในฐานะที่คอยรับ order ลูกค้าสถาบันฝรั่ง ก็เลือดซิบๆไม่แพ้กันครับ มีคาดการณ์ผิดบ้างถูกบ้างตามประสา แต่หัวใจสำคัญคือเราต้องถูกมากกว่าผิด และรอบที่ผิดต้องเจ็บตัวน้อยที่สุด

ความจริงผมเคยเขียนไว้ในบทความเมื่อกลางปีที่แล้วว่า เราต้องมองเทรนใหญ่ให้ออก แล้วเทรดโดยยึดเทรนใหญ่เข้าไว้ (กำลังพูดถึง futures นะครับ) หมายถึง ถ้าเทรนใหญ่เป็นขาขึ้น การหาจังหวะ long เมื่อตลาดย่อ ควรจะทำกำไรได้ดีกว่าการหาจังหวะ short เมื่อตลาดเด้ง ในทางกลับกันหากมองว่าเทรนใหญ่เป็นขาลง การหาจังหวะ short เมื่อตลาดเด้ง ควรจะทำกำไรได้ดีกว่าการหาจังหวะ long เมื่อตลาดย่อ

แน่นอนครับ คำถามที่ตามมาหลังจากจบย่อหน้าที่สองก็คือ แล้วจะมองเทรนใหญ่ให้ออกอย่างไร? ตรงนี้ขึ้นกับมุมมองของแต่ละคนบวก skill ครับ ตอบยาก แต่ผมก็พอจะมีเครื่องมือแนะนำในการคิดง่ายๆ อาทิ การตี Trend line จากจุดต่ำสุดของช่วงหนึ่งไปยังจุดต่ำสุดของอีกช่วงหนึ่ง หรือตี Trend line จากจุดสูงสุดของช่วงหนึ่งไปยังจุดสูงสุดของอีกช่วงหนึ่ง แล้วยึดเส้น Trend line นั้นเป็นหลัก หากมีการหลุดหรือทะลุอย่างมีนัยสำคัญ นั้นหมายถึง Trend อาจเปลี่ยนไปแล้ว โดยช่วงเวลาที่ว่าอาจจะเป็น 6 เดือน 1 ปี 2 ปี หรือ 5 ปีก็ได้ครับ

สุดท้ายเมื่อพูดถึงเจ็บตัวน้อยที่สุดก็ต้องย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นครับว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการลงทุน (รวมถึงเก็งกำไร) คืออะไร สำหรับผมคือการรักษาเงินต้น นักลงทุนส่วนใหญ่มักแสวงหาวิธีที่จะทำอย่างไรให้กำไรมากที่สุด แต่มักลืมเรื่องสำคัญอย่างทำอย่างไรให้ขาดทุนน้อยที่สุดหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น นั่นละครับ ผมกำลังพูดถึงกฎของการ cut loss (โดยเฉพาะในการเทรด futures) ให้จำไว้ว่าเข้าด้วยเครื่องมือหรือสัญญาณอะไร ก็ให้จบด้วยสัญญาณนั้น เช่น การเข้าซื้อเพราะเกิดสัญญาณซื้อจาก MACD หาก MACD เปลี่ยนทิศไม่เป็นตามที่คาดและส่งสัญญาณกลับลง เราก็ต้อง cut เลือดซิบๆก็ต้องยอม หรือหากเปรี้ยวเข้าโดยไม่ใช้สัญญาณอะไรเลย ก็ควรมีตัวเลขในใจไว้ครับว่า ขาดทุนได้ไม่เกินกี่ % (ผมแนะนำตัวเลข 2 ตัว คือ 7% หรือ 10%) ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือตราสารอนุพันธ์ หากจุดประสงค์หลักคือการเก็งกำไร ต้องห้ามละเลยเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดนะครับ เพราะไม่ว่าตลาดไทยจะอินดี้เพียงใด ถ้าเราอยู่ในระเบียบวินัยเคร่งครัด คนที่หัวเราะคนสุดท้ายย่อมต้องเป็นเรา ฮ่าๆ เอิ๊กๆ