Wednesday, June 17, 2015

เส้นแนวรับสะท้านพิภพ

สวัสดีครับ,

วันนี้ผมตีเส้นง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ตีได้ลงกราฟ SET ระยะเดือน สิ่งที่พบก็คือ แนวโน้มขาขึ้นหลักที่สร้างกันมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2009 นั้นมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 1460 ครับ ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ควรจะหลุด เพราะไม่งั้นภาพขาขึ้น 6 ปีที่สร้างกันมาอาจเป็นอันต้องจบลง (นักลงทุนแนวเทคนิคคงรู้ว่าต้องทำอะไรหากหลุด) ถามว่าความเสี่ยงมีมากน้อยแค่ไหนที่ดัชนี SET จะหลุดแนวนี้ลงมา? ก็ตอบว่าพอมีบ้างครับ เพราะตลาดไม่ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ดังเช่นช่วงที่ผ่านมา (สังเกตุเส้นสีชมพู) แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดว่าถ้าหลุดแล้วจะเลวร้ายเหมือนในปี 2008 นะครับ (น่าจะเป็น sideways ไปก่อนมากกว่า) ส่วนตอนนี้ก็อย่าเพิ่งไปกังวลอะไรมาก เพราะตลาดยังยืนแถว 1500 ได้สบายๆ แถมใกล้ครึ่งปี เรื่อง Window dressing น่าจะช่วยจำกัด downside และผลักดันดัชนีขึ้นได้อีกหน่อย ลืมเรื่อง 1460 ไปก่อนตอนนี้ก็ยังได้ครับ



ถัดมา เป็นเรื่องของภาพใหญ่ทั่วโลก ผมจะหยิบเฉพาะประเด็นที่น่าสนใจมาสรุปให้ฟังละกันครับ คือเผอิญว่าเมื่อสัปดาห์ก่อน ทาง Morgan Stanley เค้าจัด Global Investment Seminar แล้วเชิญนักลงทุนอาวุโส 45 ท่าน มาทำแบบสำรวจ ผลปรากฎว่าในจำนวนสินทรัพย์ทั้งหมดท่านเหล่านั้นยังคงชอบหุ้นมากที่สุดเป็นสัดส่วนถึง 74% ในขณะที่ชอบตราสารหนี้ (ทั้งภาครัฐและเอกชน) น้อยที่สุด เป็นสัดส่วนเพียง 2%

เจาะลงไปนิดครับ ชอบหุ้น แล้วหุ้นที่ไหนดีละ? นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบหุ้นในยุโรปมากที่สุดครับ สาเหตุหนึ่งอาจจะเพราะเค้าเชื่อว่ากรีซจะได้รับการช่วยเหลือและไม่น่าจะถูกเตะออกจากยูโรโซนในปีนี้ (แต่ระยะ 3-5 ปีเค้าเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในยูโรโซนนะครับ) ถัดมาเป็นหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (รวมไทยแต่ไม่รวมจีน) ในขณะหุ้นอเมริกาชอบน้อยที่สุด สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย ที่คนส่วนใหญ่คาดการณ์กันว่าจะเป็นไตรมาส 3 ปีนี้ (แต่ถ้าขึ้นจริงเราก็ได้รับผลไปด้วยนะครับ)
ก็ประมาณนี้ หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ ช่วยในการตัดสินใจลงทุนของท่านได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ^^

Wednesday, June 3, 2015

ทางแยกอีกครั้ง

สวัสดีครับ,

ในฐานะนักค้าหลักทรัพย์ที่ดูแลสินค้าประเภทตราสารอนุพันธ์เป็นหลัก ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงตัวเลข net short ใน SET50 Index Futures ของนักลงทุนต่างชาติเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมาที่เป็นจำนวนถึง 23,373 สัญญา หลายคนค่อนข้างกังวลกับตัวเลขนี้ครับ เพราะว่ามันดูสูงผิดปกติในแง่ของจำนวนสัญญา แต่อย่าลืมครับว่า ตัวคูณดัชนีได้ถูกปรับลดลงจาก 1,000 บาท ไปเป็น 200 บาท ต่อ 1 จุด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 แปลว่าถ้าเทียบกับขนาดสัญญา SET50 Index Futures เดิมแล้ว ตัวเลข 23,373 ต้องถูกหาร 5 ลงไป อีกทั้งถ้าลองคำนวณออกมาเป็นตัวเงินจะพบว่ามูลค่าอยู่ที่ราว 4.6 พันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจอะไรถ้าเราเห็นฝรั่งเป็นยอดขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อวันเท่ากับตัวเลขนี้ ส่วนตัวแล้วผมกลับคิดว่าฝรั่งเค้าทำเพียงเพื่อ hedge positions มากกว่าเพราะในวันถัดมา (29 พฤษภาคม) มีการทำ MSCI Rebalancing ครับ



เอาละไขข้อสงสัยไปแล้ว วันนี้ผมเลยลองนำรูปที่น่าสนใจมาให้ดูครับ ด้านบนรูปซ้าย เป็นการชี้แนวโน้มให้เห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่ Flows (แท่งสีน้ำเงิน) เป็นยอดขายสุทธิ ตลาดหุ้น (เส้นสีส้ม) ก็มักจะมีแนวโน้มที่จะลดลงตามซึ่งพอหันมามองรูปขวาแล้วก็น่ากังวลใจครับ เพราะ Flows ที่เข้าตลาดเกิดใหม่กับตลาดพัฒนาแล้วได้มาพบกันที่ทางแยก (อีกครั้ง) ซึ่งประเมินเบื้องต้นก็มีแนวโน้มที่เส้นสีแดงนั้นจะตัดเส้นสีดำลงมา ในขณะที่เส้นสีดำน่าจะยืนยื้อออกด้านข้าง นั้นหมายความว่า Flows น่าจะค่อยๆ ออกจากตลาดเกิดใหม่ (รวมทั้งไทย) ต่อไป โดยหมุนมาเข้าตลาดพัฒนาแล้วแทน แต่ก็คงเป็นไปด้วยอัตราเร่งที่ลดลงนะครับ (จากกราฟสีดำก่อนหน้าที่ขึ้นมาค่อนข้างชัน) ตรงนี้เลยพอจะสรุปคร่าวๆ ได้ว่าภาพตลาดเกิดใหม่จากนี้ไปคงจะไม่ค่อยสดใสนัก ส่วนตลาดพัฒนาแล้วน่าจะทรงๆ หรือซึมขึ้นต่อไปได้



อย่างไรก็ดี หากลงเจาะลงมาเฉพาะในตลาดหุ้นไทยแล้ว จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติได้เริ่มขายหุ้นไทย (รอบหลัง) ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2013 และก็ขายมากกว่าซื้อมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็สอดคล้องกับกราฟรูปขวาด้านบน แต่ที่น่าสนใจก็คือนักลงทุนสถาบันในประเทศครับ ที่พลิกมาเป็นผู้ซื้อสุทธิที่แข็งแกร่งที่ช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยให้ยืนเท้งเต้งได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้ QE จากอเมริกาจะค่อยๆ ลดจนหมดไปเมื่อปลายปีก่อน ผมเลยประเมินว่าทุกครั้งที่ตลาดหุ้นไทยลงแรงๆ นักลงทุนสถาบันในประเทศนิละครับที่จะเข้ามาช่วยประคองไว้ ซึ่งคงทำให้ตลาดหุ้นไทย resilient (ฟื้นไข้ได้เร็ว) กว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตรงนี้ก็น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยวิ่งอยู่ในกรอบ sideways ไปซักพักจนกว่าจะมีสัญญาณดีใหม่ๆ เพื่อดันดัชนีขึ้นไปต่อ หรือมีสัญญาณร้ายใดที่รุนแรงจนทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศไม่เชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นไทยครับ

Wednesday, May 20, 2015

ทรงยังดี

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นไทยกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนอีกครั้ง โดยรอบนี้มาพร้อมกับ 2 สัญญาณทางเทคนิค คือ 1. Positive divergence และ 2. Double bottom พอเห็นแบบนี้แล้วเลยพอจะเดาได้ครับว่าดัชนี SET น่าจะมี downside ในรอบนี้แถวๆ 1480 จุด ซึ่งเป็น low ที่ได้ทำไว้เมื่อ 12 พฤษภาคม ในขณะที่ upside ระยะสั้นน่าจะอยู่แถว 1540 ซึ่งเป็น Gap ที่เปิดไว้เมื่อ 16 เมษายน



ในมุมของตราสารอนุพันธ์ จะเห็นว่าในช่วงนี้เจ้า SET50 futures ตัวล่าสุดเทรด discount ดัชนี SET50 อยู่เพียงไม่กี่จุด หรือบางครั้งก็ขึ้นมาเป็น premium ด้วยซ้ำ แบบนี้มองมุมหนึ่งก็สบายใจได้เปราะหนึ่งครับว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าตลาดไม่ได้เป็นขาลง (เพราะโดยปกติแล้ว SET50 futures จะ discount ดัชนี SET50 อยู่ถึง 5-7 จุด)

ทีนี้ในแง่ของผลประกอบการ ก็ทราบกันไปแล้วครับว่าไตรมาสหนึ่งปีนี้กำไรของบริษัทจดทะเบียนโต 2%YoY และ 235%QoQ ซึ่งรวมๆ แล้วก็ถือว่าดีกว่าคาดนะครับ แต่หลักๆ ก็เป็นเพราะจากฐานที่ต่ำนั่นละ แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่กำไรผิดคาดไปถึง 38.8% รอบนี้ที่ดีกว่าคาดที่ 6.5% ก็ถือว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยกลับมาอยู่ในระดับที่ใช้ได้นะ โดยทีมวิเคราะห์ของบัวหลวงเราก็ยังคงเป้า SET สิ้นปีที่ 1670 อิง PE ที่ 16.5x และกำไรปี 2015 โดยระยะสั้นคีย์สำคัญที่จะผลักดันดัชนีให้ไปต่อคงขึ้นกับความชัดเจนของโครงการภาครัฐครับ


Wednesday, May 6, 2015

สนามประลองยุทธ์

สวัสดีครับ,

ชาร์จพลังไปเต็มที่หลังจากหยุดยาว 5 วันเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือน กลับมาสู้กันต่อครับ โดยช่วงนี้บอกเลยว่าตลาดหุ้นไทยเปรียบเสมือนสนามประลองยุทธ์ของระหว่างมุมแดงซึ่งก็คือหุ้นในกลุ่มพลังงาน (สัดส่วน 1/5 ของ SET market cap) และมุมน้ำเงินซึ่งก็คือหุ้นในกลุ่มธนาคาร (สัดส่วน 1/6 ของ SET market cap) ใครจะชนะยังไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือตลาดหุ้นไทยคงไม่ลงแรงง่ายๆ แน่หากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับนี้ (Brent 68 เหรียญต่อบาร์เรล) และคงไม่ขึ้นง่ายๆ จนกว่าจะเห็นแนวโน้มโครงการลงทุนภาครัฐที่ชัดเจนที่จะช่วยส่งผลดีต่อภาพรวมโดยเฉพาะหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ยังไงลองจับตาดู GDP ไตรมาส 1 ปีนี้ที่จะประกาศในวันที่ 18 พ.ค.นี้ประกอบด้วยก็ดีครับ



เอาละ ปลีกหนีจากสภาพตลาดที่ทำนายยาก มาดูรูปที่สีสันสวยงามกันครับ ช่องบนที่มีเส้นสีขาวและสีเหลืองหมายถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและของสหรัฐฯ ตามลำดับ จะเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ล่าสุดเหลือ 1.50% นั้นคือระดับที่เกือบต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ (เคยต่ำสุดที่ 1.25%) และต่ำที่สุดในอาเซียนตอนนี้แล้ว แปลว่าโอกาสที่ดอกเบี้ยจะลงกว่านี้ถ้ามีก็เหลือไม่มากแล้วครับ กอปรกับที่ล่าสุดท่านรัฐมนตรีคลังฯ สมหมาย ภาษี ได้ออกมายืนยันว่าระดับอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% นั้นเหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันแล้ว เพราะงั้นผมก็เชื่อว่าเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในเชิงนโยบายการเงินนั้นน่าจะเหลือไม่มากละ ที่เหลือก็คือปล่อยให้มันทำงานไปแล้วรอดูผลลัพธ์ แต่ที่น่ากังวลก็คือเมื่อใดก็ตามที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย (หลังจากคงไว้ที่ระดับเกือบศูนย์มา 6 ปีกว่า) นั่นจะทำให้ gap ระหว่างดอกเบี้ยไทยกับดอกเบี้ยสหรัฐฯ แคบลงไปอีก นั่นหมายถึงเงินที่จะไหลเข้ามาตลาดการเงินในประเทศเรานั้นมีแต่จะน้อยลง

ผลกระทบแน่นอนครับ ถ้าเงินไม่เข้า ก็คือออก แล้วก็น่าจะยิ่งออกมากขึ้นเพราะแบงค์ชาติเองเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ได้ผ่อนคลายมาตรการทุนเคลื่อนย้ายให้คนในประเทศสามารถนำเงินออกนอกประเทศได้มากขึ้น (ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนถึง 2.2% นับจากการประชุมกนง.เมื่อสัปดาห์ก่อน) ตรงนี้มองในมุมหนึ่งก็คือเป็นการช่วยเศรษฐกิจไทยในระยะกลาง-ยาว เพราะการที่ค่าเงินบาทอ่อน จะช่วยส่งออก (65% ของ GDP) ท่องเที่ยว (10% ของ GDP) และแก้ปัญหาเงินฝืดได้ (3 เรื่องที่รุมเร้าเศรษฐกิจไทยอยู่ในขณะนี้) แต่ในระยะสั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าค่าเงินบาทที่อ่อนจะเหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าเงินกำลังไหลออกนอกประเทศนะ และอาจทำให้นักลงทุนต่างชาตินำเงินออกจากตลาดหุ้นไทยไปด้วยได้ แต่ก็อย่าได้กังวลมากไปครับ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ค่าเงินบาทอ่อนได้ที่และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยจริงๆ แล้ว ผมเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกครั้งอย่างแน่นอน

Saturday, May 2, 2015

ดอกเบี้ยต่ำ ค้ำจุนหุ้น ?

สวัสดีครับ,

ช่วงวันหยุดยาว ผมชอบอ่านหนังสือและท่องเน็ตหาข้อมูลต่างๆ ไปเรื่อย แล้วก็เหลือบไปเห็นกราฟหุ้นญี่ปุ่นช่วงสิ้นปี 1989 ครับ ที่ดัชนี Nikkei ขึ้นไปถึง 39,000 จุด ดูแล้วก็ทำให้คิดถึงดัชนี SET บ้านเราในบางมุม








































ช่วงนั้นค่า PE ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากกว่า 50 เท่า แต่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็แย้งว่ายังไม่แพง โดยให้เหตุผลว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่น "ไม่เหมือนที่อื่น" เพราะหุ้นส่วนใหญ่ถือโดยนักลงทุนสถาบันหรือบริษัท ซึ่งคงไม่ขาย (ปัจจุบันหุ้นไทยก็ถือโดยสถาบันในประเทศ และบริษัทประกันเยอะ ซึ่งหลายท่านก็เชื่อว่าคงไม่ขายหนักเช่นกัน เพราะแนวทางการลงทุนที่เป็นแบบ VI) เหนือสิ่งอื่นใดอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นตอนนั้นต่ำมาก เพียง 1-2% ต่อปีเท่านั้น (ไทยเราตอนนี้ก็ 1.50% ครับ และก็มักจะมีคำกล่าวที่บอกว่า หุ้นยังไงก็ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ก็ดอกเบี้ยมันต่ำซะขนาดนี้ จะให้ไปลงทุนอะไรละ!?) ดังนั้นการลงทุนในหุ้น PE 50 เท่าไม่ถือว่าแพง เพราะมีผลตอบแทนกำไรปีละ 2% เท่าๆ กัน (ไทยเราดีกว่า PE ปัจจุบัน 21 เท่า, ปันผล 2.86%)

แต่นั่นเป็นจุดจบของตลาดหุ้นญี่ปุ่นครับ เพียงไม่ถึงหนึ่งปีทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่น ทั้งราคาที่ดินลงเละ ซึ่งจากกราฟจะเห็นว่า "นรกอเวจี" มีจริง (บนดินนี่ละครับ) โดยมันไปสิ้นสุดที่ปี 2003 ที่ดัชนี Nikkei ลงไปถึง 8,000 จุด รวมแล้วลดลงประมาณ 80% จากยอดเขา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ "ทศวรรษที่หายไป" ของประเทศญี่ปุ่น

สาเหตุนั้นมีงานวิจัยหลายที่ให้ไว้ครับ แต่ข้อสรุปก็คือเป็นเพราะการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่ยืดเยื้อยาวนานเกินไป ซึ่งความจริงแล้ว BoJ ได้ส่งสัญญาณจะ Tightening Monetary policy ตั้งแต่ปี 1987 แล้ว เพราะเศรษฐกิจเริ่มขยายตัว แต่ก็ได้ยืดออกไป ยืดออกไป เพราะความไม่แน่นอนต่างๆ (ส่วนหนึ่งเพราะผลจากค่าเงินเยนที่แข็งขึ้นหลังจากเหตุการณ์ Plaza Accord ในปี 1985 ด้วย) ตรงนี้ละครับเลยทำให้ราคา Asset รวมถึงหุ้น มันปูดขึ้นเรื่อยๆ ปูดขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นฟองสบู่ เพราะนักลงทุนเชื่อมั่นเหลือเกินว่ายังไง BoJ ก็จะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป (คล้ายๆ กับ Fed ในยุคนี้ไหมครับ? ยืดเอาๆ) ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าราคาหุ้นหรือ Asset นั้นมันเข้าสู่จุด "New Normal" แล้ว จะเอาไปเปรียบเทียบกับในอดีตหรือที่อื่นไม่ได้ แต่แล้วในที่สุดมันก็แตกโพละ

จนถึงบรรทัดนี้ผมไม่อยากจะเขียนต่อละครับ (เดี๋ยวจะยาวไปละไม่มีคนอ่าน อิอิ) ข้อสรุปของผมก็คือ ความมั่นใจที่มากเกินไปของคนส่วนใหญ่นิละที่น่ากลัว ความจริงผมเองก็ไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นไทยในตอนนี้จะเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นญี่ปุ่นในตอนนั้นได้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมก็ชอบศึกษาประวัติศาสตร์และนำมาคิดต่อครับ เพราะถึงมันจะไม่เหมือนกันเป๊ะ แต่ก็พอจะมีเค้าลางอยู่บ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่า แม้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำติดดินยังไง แต่หุ้นก็ยังลงเละได้ แต่นั่นก็อาจจะเอามาใช้กับยุคนี้ไม่ได้นะครับ เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างมัน "ไม่เหมือนกัน"

Wednesday, April 22, 2015

คนหนุ่มสาว

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานำโดยกลุ่มพลังงานเนื่องจากราคาน้ำมันที่เหมือนจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง (อย่างน้อยก็ในระยะสั้น) ซึ่งพอไปดูตัวเลขแล้วก็พบว่าน่าจะเป็นนักลงทุนต่างชาตินิแหละครับที่ช่วยกันถีบหุ้นพลังงานขึ้นมากันยกใหญ่ เพราะตัวเลขเป็น Net buy ในตลาดหุ้นไทยถึง 9.8 พันล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว



แต่หากไปดูตัวเลขทั้งเดือนเมษา (MTD) จะพบว่าพวกเราเองนิละครับที่ขายเอาๆ เพราะนักลงทุนรายย่อยเป็นยอด Net sell ถึงกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ผู้ที่เป็น Net buy เกลี่ยๆ กันไปคนละ 8 พันกว่าล้านบาท ระหว่างนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบันและพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ ที่ต้องระวังก็คือพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์นิละครับที่กลับมาซื้อกว่า 8 พันล้านบาทในเดือนนี้ (เป็นยอด Net buy ทุกวัน!) แต่นั่นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขาขายหนักในเดือนที่แล้วเกือบ 9 พันล้านบาท (กุมภา -1,631.09 ล้านบาท; มกรา +8,260.48 ล้านบาท) ดังนั้นก็เป็นไปได้ว่าเค้าอาจจะกลับมาขายอีกครั้งในเร็วๆ นี้เพราะพวกเค้าไม่ค่อยชอบที่จะถือหุ้นนานนักหรอก



จะว่าไปแล้วเหมือนผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับตลาดในช่วงนี้เท่าไหร่นักครับ (และก็ยังไม่เชื่อว่าราคาน้ำมันจะขึ้นต่อได้แรงติดจรวดในเร็ววันนี้) ความจริงก็เพราะว่าดัชนี SET ได้ขึ้นมาพอสมควรแล้วจากจุดต่ำสุดที่ 1485 เมื่อสิ้นเดือนมี.ค.จนถึง ณ ระดับปัจจุบันที่ 1567 ก็ราว 5% กว่าในขณะที่ยังไม่มีพัฒนาการของกำไรบริษัทจดทะเบียนมากเท่าใดนัก พอดีกับที่เริ่มเห็นนักลงทุนไทยบางส่วนเริ่มที่จะหาช่องทางกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศมากขึ้น (เงินบางส่วนอาจไหลออก) ตีความได้นัยหนึ่งว่าเค้าคงเริ่มเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้น่าดึงดูดเท่าในอดีตแล้ว อีกทั้งการที่เทรนด์คนวัยทำงานอายุ 20 ปลายๆ ถึง 30 ต้นๆ (Gen Y) ที่เริ่มลาออกจากงานมีมากขึ้นเพื่อมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว ผมเลยค่อนข้างสงสัยว่าหากภาคธุรกิจจริงคนหนุ่มสาวทำงานน้อยลงเพราะหันไปหวังรวยจากการลงทุนหรือเล่นหุ้นมากขึ้นแล้ว ผลิตภาพที่แท้จริง (Productivity) คือหมายถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียน จะโตได้แรงและยั่งยืนได้อย่างไร (ยิ่งบ้านเรามีปัญหาขาดแคลนแรงงานอยู่ด้วย) ซึ่งสุดท้ายแล้วถ้ากำไรของบริษัทจดทะเบียน (ซึ่งเป็นเจ้ามือที่แท้จริงของหุ้น) ไม่ไปไหน ราคาหุ้นในระยะยาวก็คงขึ้นได้ยาก เพราะลำพังสภาพคล่องเพียงอย่างเดียวก็คงหนุนหุ้นได้ไม่นาน และสุดท้ายต้องมีวันหมด แล้วพวกที่ลาออกจากงานดังกล่าวสุดท้ายก็อาจต้องกลับมาทำงานใหม่ เป็นวงจร ก็เป็นได้ครับ

Wednesday, April 8, 2015

ความผันผวนมีสาเหตุ

สวัสดีครับ,

ผมนั่งตรึกตรองอยู่นานว่าจะหาประเด็นอะไรมากล่าวถึงนอกเหนือไปจากเรื่องสภาวะตลาดที่ต้องอัพเดทให้อ่านกันเป็นประจำ ว่าแล้วก็นึกว่าถึงเรื่องของความผันผวนของตลาดในช่วงที่ผ่านมาที่ทำให้หุ้นบางตัวต้องลงหนัก พอดีกับที่ผมได้เหลือบไปเห็นข้อมูลที่ส่งต่อๆ กันทางไลน์ ที่บอกว่าสาเหตุนั้นเกิดจากแรงขายหุ้นของผู้ออก DW หลายเจ้าผสมโรงกับแรงขายปกติที่เกิดตามกลไกตลาด ผมเลยอยากจะอธิบายหลักการคร่าวๆ ว่ามันเป็นจริงอย่างที่กล่าวหรือไม่ตามความเข้าใจของผมนะครับ



ก่อนอื่นเลยต้องขอให้รู้จักอักษรกรีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Delta (Δ, δ) ค่านี้เป็นค่าหนึ่งที่ market maker หรือผู้ที่ออก Derivative Warrants (DW) ให้ความสำคัญพอสมควร เพราะมันบ่งบอกถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา DW เมื่อราคาหุ้นอ้างอิงเปลี่ยนไป เช่น ถ้า DW ประเภท call ของหุ้น BBL มีค่า Delta เท่ากับ 0.5 นั่นหมายถึงถ้า BBL ปรับตัวขึ้นไป 1 บาท ราคา DW ก็ควรจะปรับขึ้นไป 0.5 บาท (และในทางกลับกันถ้าปรับตัวลดลง) โดยอีกคอนเซ็ปต์หนึ่งที่ต้องทราบก็คือเมื่อผู้ออกออก DW ประเภท call เค้าจะต้องซื้อหุ้นอ้างอิงนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง ในขณะที่ถ้าเค้าออก DW ประเภท put เค้าก็จะต้องขายหุ้นอ้างอิงนั้นล่วงหน้าเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงเช่นกัน

ทีนี้คำถามคือแล้วผู้ออก DW จะต้องซื้อหุ้นหรือขายหุ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นจำนวนเท่าใด? เท่ากับจำนวน DW ที่ออกเลยไหม? คำตอบคือไม่ครับ ตรงนี้แหละที่ค่า Delta จะถูกนำมาใช้ในการคำนวณ เช่น ถ้าผู้ออกต้องการออก DW ประเภท call ของ BBL จำนวน 10,000 หน่วย ซึ่งมีค่า Delta เท่ากับ 0.5 และมีอัตราการใช้สิทธิต่อหน่วยเท่ากับ 1 ผู้ออกจะต้องซื้อหุ้น BBL เพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นจำนวน 0.5*10,000 ซึ่งเท่ากับ 5,000 หุ้น (ไม่ใช่ 10,000 หุ้นนะครับ)

ไฮไลท์มันอยู่ตรงที่ว่าเจ้าค่า Delta นี้ดันไม่ได้คงที่อะครับ มันแปรเปลี่ยนไปตามราคาหุ้นที่ขึ้นลง เช่นในกรณีของ DW ประเภท call ของ BBL ที่ยกตัวอย่าง ถ้าหุ้น BBL ขึ้น ค่า Delta ก็จะปรับขึ้นตาม หรือถ้าหุ้น BBL ลง ค่า Delta ก็จะปรับลงตาม นั่นแปลว่า market maker หรือผู้ออก DW ต้องคอยทยอยซื้อหุ้นเพิ่มหรือขายหุ้นออกตามราคาที่ขึ้นหรือลงเพื่อป้องกันความเสี่ยงอยู่ตลอด จึงสรุปได้ว่าหากหุ้นตัวใดมีผู้ออก DW ใช้ในการอ้างอิงซะเยอะหุ้นตัวนั้นอาจจะมีความผันผวนมากกว่าปกติครับ ซึ่งตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่างั้นแปลว่า market maker ต้องคอย monitor ราคาหุ้นตลอดเวลาเลยหรอ? คำตอบคือใช่ครับ แต่เค้ามีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยนะ เพราะงั้นสบายมากหายห่วง แต่ต้องบอกเพิ่มเติมว่าการป้องกันความเสี่ยงโดยค่า Delta นี้ก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่ว่าหากราคาหุ้นผันผวนมากๆ market maker ก็อาจบาดเจ็บได้ครับ (เพราะซื้อแพงขายถูก) ดังนั้นก็อาจต้องมีวิธีป้องกันความเสี่ยงด้วยค่าอื่นๆ มาช่วย เช่นค่า Gamma (Γ, γ), Vega 

เอาละ คงพอกระจ่างขึ้นบ้างนะครับ ส่วนภาพตลาดตอนนี้ผมอยากให้จับตาดูราคาน้ำมันเป็นพิเศษ ถ้าน้ำมันสามารถกลับมาเป็นขาขึ้นได้ (หลังจากที่ลดลงมาครึ่งหนึ่งจากปีที่แล้ว) ตลาดหุ้นบ้านเราก็น่าจะแข็งแกร่งได้เลยเหมือนมีคนคอยเสริมพลัง (หุ้นพลังงานมีสัดส่วนถึง 1 ใน 5 ของ market cap ตลาดหุ้นไทย) แต่ถ้ายังยืนแข็งๆ ไม่ได้ ตลาดเราก็คงซึมๆ ขึ้นลงเบาๆ ในกรอบแบบนี้ไปอีกซักพักกระมังครับ



Wednesday, March 25, 2015

โมเดลหลักทรัพย์

สวัสดีครับ,

ก่อนที่ผมจะสรุปภาพรวมตลาดหุ้นและตราสารอนุพันธ์ บทความวันนี้อยากจะขอย้อนมากล่าวถึงเรื่องของประเภทนักลงทุนซักหน่อย เป็นที่ทราบกันดีครับว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน นั่นคือ 1.สถาบันในประเทศ 2.บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 3.นักลงทุนต่างประเทศ และ 4.นักลงทุนทั่วไปในประเทศ แม้ว่าในตลาดอนุพันธ์บ้านเราจะยังไม่ได้จัดนักลงทุนประเภท “บัญชีบริษัทหลักทรัพย์” ออกมาต่างหากเหมือนกับในตลาดหุ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วง 3-4 ปีให้หลังมานี้ นักลงทุนประเภทนี้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นไทย แต่ก็ได้ความผันผวนที่มากขึ้นเป็นของแถมตามมา ซึ่งความผันผวนนั้นถูกส่งต่อไปถึงตลาดอนุพันธ์ในที่สุด โชคดีเหลือเกินครับที่หนังสือที่ผมเพิ่งได้รับมาที่ชื่อว่า “การเงินปฏิวัติ” เขียนโดย คุณสฤณี อาชวานันทกุล มีพูดถึงการใช้โมเดลในการซื้อขายหลักทรัพย์ที่นักลงทุนประเภท “บัญชีบริษัทหลักทรัพย์” ในไทยบางแห่งอาจกำลังใช้อยู่พอดี เลยอยากจะนำข้อมูลบางส่วนมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ

หนังสือเล่มนี้อ้างอิงถึงบทความ “The Terminator Comes to Wall Street” ในปี 2009 ที่เขียนโดย Joseph Fuller ผู้ร่วมก่อตั้ง Monitor หนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก โดย Fuller กล่าวว่าโมเดลซื้อขายที่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี 1997 จนถึงทุกวันนี้นั้นมี “ปัญหาในตัวเอง” 3 ข้อหลักไม่ว่าผู้คิดค้นจะเก่งกาจปานใดก็ตาม ปัญหาแรกก็คือ คนที่สร้างโมเดลนั้นมักจะไม่เข้าใจตลาดการเงินดีพอ เพราะเค้าคือผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็ฟิสิกส์ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ้น ตราสารหนี้ หรือจิตวิทยา อีกทั้งโมเดลนั้นจำลองอดีต ดังนั้นแม้จะมีการ Back-testing กี่ครั้ง แต่นักสร้างก็ไม่สามารถใส่สถานการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้ ปัญหาที่สองคือ ผู้บริการกองทุนควอนท์ (Quantitative fund) บ่อยครั้งไม่เข้าใจคนเขียนโมเดลดีพอ เพราะบางทีโมเดลก็ซับซ้อนมากจนแม้แต่คนเขียนเองก็วิเคราะห์ผลกระทบต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้ไม่ครบ และปัญหาสุดท้ายก็คือ โมเดลเหล่านี้ไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน เนื่องจากโมเดลแต่ละอันถูกออกแบบมาให้ทำตามกลยุทธ์ของตัวเองเพื่อกำไรสูงสุด ดังนั้นหากเกิดภาวะคับขันโมเดลต่างๆ ก็จะสั่งขายหลักทรัพย์แทบจะพร้อมกันและกอดเงินสดเอาไว้เพื่อหยุดผลขาดทุนของกองทุนโดยไม่คำนึงถึงบทบาทของโมเดลอื่นที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยกัน สุดท้ายแล้วก็จะทำให้ตลาดดิ่งเหว สภาพคล่องเหือดแห้ง ดังที่เคยเกิดขึ้นในวิกฤตการเงินปี 2008



อย่างไรก็ดี Fuller นั้นไม่ได้พูดแต่ปัญหา แต่เค้าได้เสนอทางแก้ไว้ด้วยครับ แนวคิดหลักของเค้าก็คือ ต้องหาทางลดความผันผวนที่เกิดขึ้นจากโมเดลเหล่านี้ให้ได้ โดยเริ่มจากคณะกรรมการและผู้บริหารสถาบันการเงินควรเข้าใจตรรกะในการสร้างโมเดลให้ดี ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารความเสี่ยงเป็นหลัก รวมถึงเสนอให้เชิญนักค้าหลักทรัพย์หรือผู้จัดการกองทุนที่คร่ำหวอดในวงการมาจับเข่าคุยกับพ่อมดโมเดลอย่างสม่ำเสมอ จะได้เข้าใจตรงกันว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ และควรหาวิธีปรับปรุงให้โมเดลเผื่อพื้นที่สำหรับพฤติกรรมที่ทำด้วยอารมณ์ของมนุษย์ด้วย

ในฐานะที่ผมเองพอจะมีประสบการณ์พูดคุยกับนักลงทุนประเภทบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ที่ใช้โมเดลซื้อขายรวมถึงผู้จัดการ Hedge Fund ต่างประเทศอยู่บ้าง ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับแนวคิดของ Fuller ครับ จริงอยู่ที่ตลาดทุนบ้านเรายังไม่ได้พัฒนาถึงขนาดที่มีนักลงทุนสถาบันที่เป็น Quantitative fund ที่ซื้อขายหลักทรัพย์ตามโมเดลคอมพิวเตอร์ที่เขียนโปรแกรมไว้ล่วงหน้าอย่างแพร่หลายเหมือนในประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในเชิงของนักลงทุนประเภทบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ หรือนักลงทุนรายย่อยนั้น ก็เริ่มมีการใช้โปรแกรมในการซื้อขายบ้างแล้ว โดยประโยชน์ของมันนอกจากจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับตลาด ยังช่วยลดต้นทุนการซื้อขายของนักลงทุนลงอย่างมาก ซึ่งก็ถือว่าเป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงตลาดการเงินได้มากกว่าในอดีต แต่นั่นก็ต้องมาพร้อมกับความรู้ความเข้าใจในการลงทุนเป็นอย่างดีด้วยนะครับ  

จะเห็นว่าการใช้โมเดลในการซื้อขายหลักทรัพย์นั้นแม้จะมีความเสี่ยงอยู่พอสมควร แต่หากนักลงทุนรู้จักใช้ให้ถูกวิธีและปิดความเสี่ยงในด้านต่างๆ ก็จะพบว่ามันมีประโยชน์ไม่น้อยเลยละครับ... อ๊ะๆ หน้ากระดาษกำลังจะหมดเสียแล้วผมยังไม่ได้พูดถึงภาพตลาดเลย เอาเป็นว่าผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าจะไปไหนไกลในช่วงนี้ครับ จากตัวเลขต่างๆ ที่มีแต่จะถูกปรับลดลง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจ การส่งออก หรือแม้แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียน แต่ถามว่าแล้วตลาดจะลงไปลึกเลยมั้ย ก็ขอตอบว่ายังไม่น่าลึกมากครับ เหตุผลลองย้อนกลับไปอ่านบทความ “เจ้ามือตัวจริง” ที่ผมเขียนไว้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนดู โชคดีครับ  

Wednesday, March 11, 2015

เจ้ามือตัวจริง

สวัสดีครับ,

สุดท้ายแล้วแม้ว่าเจ้า SET Index จะยื้ออยู่แถว 1600 อยู่หลายต่อหลายครั้ง จนเหล่ากูรูหลายท่านทนไม่ไหวคิดว่าตลาดคงไม่ลงแล้ว แต่ด้วยผลประกอบการของบริษัทที่ห่อเหี่ยว (วิ่งไม่ทันราคาหุ้นที่วิ่งไปไกล) และในเชิงเทคนิคเองการที่ดัชนีย่ำอยู่ที่เดิมหลายต่อหลายครั้ง แม้จะไม่ลงในทันที แต่นั่นก็เป็นการสร้างแนวต้านสำคัญขึ้นมาแถว 1600-1620 บ่งบอกว่าดัชนีพร้อมจะลง อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่เท่านั้น ซึ่งและแล้วมันก็ลงมาจริงๆ ครับ ณ เวลาที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ SET Index อยู่ที่ 1525 จุด



หากจำกันได้ในบทความก่อน (ณ ขณะนั้น SET Index อยู่ที่ 1603 จุด) ผมได้เตือนไปว่าเจ้าเครื่องมือ Volume Flow ของตลาดหุ้นไทยได้ส่งสัญญาณ outflows เป็นครั้งแรกในรอบปีแล้วนะให้ระวังหน่อย ซึ่ง ณ ขณะนี้สัญญาณนั้นก็ยังเป็น outflows อยู่ครับ บ่งบอกว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะยังไม่ได้ฟื้นตัวเร็วนัก โดยในแง่ของ downside ตลาดมีแนวรับแรกอยู่ที่ 1513 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดหุ้นไทยยืนได้หลายครั้งในอดีต และบังเอิญไปตรงกับเลขฟีโบนัชชีที่ 61.8% พอดี แต่ถ้ายังหลุดอีก ก็คงเจอกันแนวรับถัดไปที่ 1480 ครับ

ในแง่ของ valuation การที่ตลาดลงแรงเมื่อวานทำให้ Trailing P/E ของ SET Index ตอนปิดตลาด ลงมาอยู่ที่ 21.20 เท่า จากจุดสูงสุดที่ 22.05 เท่าเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ในขณะที่ Trailing P/E ของ MAI Index ลงมาอยู่ที่ 79.81 เท่า จากจุดสูงสุดที่ 91.39 เท่าเมื่อปลายเดือนก่อน ซึ่งก็นับว่ายังสูงมากอยู่ดีครับ


ที่ต้องจับตาไว้หน่อยก็คือแรงขายจากนักลงทุนสถาบันในประเทศนิละ เพราะหากไปดูตัวเลขในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สถาบันในประเทศนิละครับที่สะสมหุ้นไทยไปถึง 1.8 แสนล้านบาท (ปี 2013 1.1 แสนล้าน และปี 2014 อีก 7 หมื่นล้าน) โดยล่าสุดหากนับจากต้นปี สถาบันในประเทศก็ยังเป็นยอดซื้อสุทธิหุ้นไทยอยู่ 2.4 พันล้านบาท นั่นแปลว่าเขามีของตรึม และพร้อมที่จะขายออกมาหากเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่ผมขอตั้งข้อสังเกตไว้อย่างหนึ่งครับว่า ข้อดีของการที่สถาบันในประเทศเป็นผู้ถือหุ้นไทยแทนที่จะเป็นนักลงทุนต่างชาติ (ฝรั่งขายหุ้นไทยไปราว 2.3 แสนล้านบาทนับตั้งแต่ต้นปี 2013) ก็คือ เค้าน่าจะไม่เทกระจาดหุ้นไทยเหมือนกับฝรั่งหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะนักลงทุนสถาบันในประเทศส่วนใหญ่มีทางเลือกให้ลงทุนแค่ในประเทศ ไม่เหมือนฝรั่งที่สามารถลงทุนได้ทั้งภูมิภาค อีกอย่างสถาบันในประเทศเองก็มีความคุ้นเคยกับตลาดหุ้นไทยมากกว่า ซึ่งถ้าไปดูจริงๆ แนวการลงทุนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบเน้นคุณค่าด้วยกันทั้งนั้น เช่นกองทุนประกันสังคม กบข. หรือบริษัทประกันต่างๆ
  
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ยังแนะนำให้นักลงทุนลงทุนโดยยึดหลักพื้นฐานตามผลประกอบการของบริษัทเป็นหลักนะครับ เพราะในระยะยาวแล้ว เจ้ามือตัวจริงของตลาดไม่ใช่นักลงทุนสถาบันในประเทศ ไม่ใช่ฝรั่ง ไม่ใช่เสี่ย ไม่ใช่ป๋าๆ (ขา) แต่มันคือผลประกอบการของบริษัท (กำไร) นั่นละครับ!

Wednesday, February 18, 2015

เฮง เฮง เฮง

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ (新正如意 新年发财),

ในบทความเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนผมได้เตือนไว้ครับว่าหุ้นพลังงานบ้านเราได้ขึ้นมามากกว่าราคาน้ำมันที่เด้งแล้วนะ ให้ระวังการถอยไว้หน่อย ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกจริงๆ ครับว่า ในขณะที่ราคาน้ำมันยังคงค่อยๆ เด้งต่อ แต่หุ้นพลังงานตัวใหญ่บ้านเราอย่าง PTT และ PTTEP กลับค่อยๆ ซึมลง ซึ่งถ้าเปรียบกับช่วงก่อนหน้านี้ที่น้ำมันลงแรงแต่หุ้นพลังงานบ้านเรากลับขึ้น ก็เป็นที่น่าสนใจครับว่าหุ้นพลังงานเราก็ไม่ได้วิ่งตามราคาน้ำมันซะทีเดียวละ พอถึงจุดๆ หนึ่งที่มันสมดุล หุ้นมันก็เคลื่อนไหวไปในทิศทางของมันเองแล้ว (decouple)



อย่างไรก็ดีแม้ว่าหุ้น PTT และ PTTEP จะปรับลงมา 6%และ 8% จากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. แต่ตลาดหุ้นไทยกลับไม่ได้ปรับตัวลงจากวันนั้นเท่าใดนักครับ สาเหตุหนึ่งก็เพราะได้แรงหนุนจากหุ้นปิโตรเคมีอย่าง IVL, IRPC หุ้นวัสดุก่อสร้าง (ที่มีส่วนผสมของปิโตรเคมี) อย่าง SCC และหุ้นโรงพยาบาล BGH ที่ช่วยกันขึ้นพยุงตลาดเอาไว้ หลังจากมีโบรกฝรั่งบางเจ้าเชียร์ซื้อจากการคาดการณ์ว่าผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีจะดูดีขึ้นเป็นลำดับ
  
แต่ เพื่อความไม่ประมาท ผมได้นำสัญญาณเตือนที่ต้องจับตาจากทีมนักวิเคราะห์เชิงปริมาณของบัวหลวงเรามาฝาก ซึ่งพี่ๆ เค้าก็ได้แย้ปไว้ครับว่าเจ้าเครื่องมือ Volume Flow ของตลาดหุ้นไทยได้ส่งสัญญาณ outflows เป็นครั้งแรกในรอบปีแล้วนะ ในขณะที่ 4 ตลาดที่เหลืออย่าง อินโดฯ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และเกาหลี ยังส่งสัญญาณ inflows อยู่เลย นอกจากนี้หากไปดูพลังยอดสะสม 12 เดือนล่าสุดของ fund flows (USD) ที่เข้าตลาดหุ้นไทย (รูปซ้ายบน) ก็จะเห็นครับว่าเรามาไกลจริงๆ คือมันเกินค่าเฉลี่ยระยะยาวไป 1SD ล้าว ตรงนี้เลยเป็นที่กังวลกันว่ามันใกล้จะถึงจุดกลับตัวแล้วรึเปล่า?



อย่างไรก็ดีสัญญาณเหล่านี้มีไว้เพื่อเตือนให้เราลงทุนด้วยความไม่ประมาทเท่านั้นครับ เพราะโอกาสที่สัญญาณจะผิดก็ใช่ว่าจะไม่มี ดังนั้นหากเราศึกษาข้อมูลมาดีแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกลัว เพียงแค่เพิ่มความระมัดระวังไปหน่อย แล้วก็อย่าลืมหลักสำคัญในการลงทุนที่ว่า “อย่าใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียว” หรือ “รู้จักกระจายความเสี่ยง” นะครับ.. สุดท้ายนี้ผมก็ขอให้แฟนคลับคอลัมน์นักค้าหน้าหยกทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุน สุขภาพแข็งแรง ร่ำรวยๆ เฮง เฮง เฮง ต้อนรับตรุษจีนปีนี้นะ โย่!