Wednesday, June 26, 2013

Rollover

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 26 มิถุนายน 2556

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานอกจากจะเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้น โหดร้าย สะเทือนจิตใจของนักลงทุนแล้ว ยังอาจจะเป็นโอกาสดีของนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ในการซื้อสะสมหุ้นที่พื้นฐานดีครับ.. ความผันผวนที่ค่อนข้างสูงเกินจริงในช่วงเดือนนี้ ยังเป็นจังหวะที่ดีของ momentum investors ในการ trade เล่นรอบเพื่อทำกำไร (ตัดขาดทุน) ทั้งขาขึ้นและลง ทั้งหุ้นและตราสารอนุพันธ์.. ในขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงเวลาที่ Trader ที่ทำหน้าที่ execute orders TFEX ให้กับลูกค้าสถาบันต่างประเทศอย่างผม แอบเหงื่อตกสุดๆในรอบไตรมาสเลยเช่นกัน

ทำไมนะหรอ? ก็เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่นักลงทุนต่างพากันเปลี่ยนถ่ายสัญญา (Roll over) ตัวสัญญา SET50 Index Futures ครับ เนื่องจากเจ้า SET50 futures เดือนมิถุนา (S50M13) กำลังจะหมดอายุลงในวันพฤหัสที่ 27 มิถุนายน นี้ นักลงทุนสถาบันต่างประเทศส่วนใหญ่ มักจะไม่ปล่อยให้หมดอายุไปเฉยๆ จึงได้ทำการ roll over (ปิด position ในเดือนมิถุนา แล้วไปเปิด position ใหม่ในเดือนกันยา (S50U13)) เพื่อถือลุ้นต่อไปในขาที่เค้าเชื่อว่าถูก ซึ่งตรงนี้จะเห็นได้ว่านักลงทุนต่างประเทศมีมุมมองการลงทุนที่ยาวกว่า โดยบางรายถือ position SET50 Index futures มากกว่าหนึ่งปี roll over มาเรื่อยๆครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งต่างจากนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ที่มักเก็งกำไรแบบระยะสั้น

ตัว SET50 Index options เองก็เช่นกันครับ นักลงทุนต่างประเทศบางรายก็ถืออยู่ แต่ด้วยสภาพคล่องที่น้อยมาก การซื้อขายจึงทำได้ลำบาก บางทีต้องรอทั้งวันถึงจะได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ซึ่งความลำบากอีกอย่างก็คือ SET50 Index options ไม่มี combination order ให้ใช้ได้เหมือนกัน SET50 Futures ครับ... เวลาจะ roll over ก็โซ้ยมันในตลาดนิแหละ

สุดท้ายผมต้องขอจบบทความแต่เพียงเท่านี้ ช่วงนี้งานยุ่งยุงชุมเหลือเกิน ฝนก็ตกพรำๆ คางคกก็ร้องคลำๆ... ขอตัวไปบริการท่านลูกค้าสถาบันต่างประเทศผู้ยิ่งใหญ่ กับเตรียมข้อมูลเพื่อพูดในหัวข้อ “Understanding Foreign Institutional Investor” ให้กับเหล่า The Stock Master ในวันอาทิตย์นี้ก่อนครับ อาดิโอส

Wednesday, June 19, 2013

หัวใจของการลงทุนสไตส์ไวไว

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2556

ช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องยอมรับครับว่า นักลงทุนสไตส์ VI (Volatility Investors) หรือไวไว (คู่แข่ง Value Investors) คงไม่แคล้วกุมขมับกันเป็นแถวๆ ผมเองในฐานะที่คอยรับ order ลูกค้าสถาบันฝรั่ง ก็เลือดซิบๆไม่แพ้กันครับ มีคาดการณ์ผิดบ้างถูกบ้างตามประสา แต่หัวใจสำคัญคือเราต้องถูกมากกว่าผิด และรอบที่ผิดต้องเจ็บตัวน้อยที่สุด

ความจริงผมเคยเขียนไว้ในบทความเมื่อกลางปีที่แล้วว่า เราต้องมองเทรนใหญ่ให้ออก แล้วเทรดโดยยึดเทรนใหญ่เข้าไว้ (กำลังพูดถึง futures นะครับ) หมายถึง ถ้าเทรนใหญ่เป็นขาขึ้น การหาจังหวะ long เมื่อตลาดย่อ ควรจะทำกำไรได้ดีกว่าการหาจังหวะ short เมื่อตลาดเด้ง ในทางกลับกันหากมองว่าเทรนใหญ่เป็นขาลง การหาจังหวะ short เมื่อตลาดเด้ง ควรจะทำกำไรได้ดีกว่าการหาจังหวะ long เมื่อตลาดย่อ

แน่นอนครับ คำถามที่ตามมาหลังจากจบย่อหน้าที่สองก็คือ แล้วจะมองเทรนใหญ่ให้ออกอย่างไร? ตรงนี้ขึ้นกับมุมมองของแต่ละคนบวก skill ครับ ตอบยาก แต่ผมก็พอจะมีเครื่องมือแนะนำในการคิดง่ายๆ อาทิ การตี Trend line จากจุดต่ำสุดของช่วงหนึ่งไปยังจุดต่ำสุดของอีกช่วงหนึ่ง หรือตี Trend line จากจุดสูงสุดของช่วงหนึ่งไปยังจุดสูงสุดของอีกช่วงหนึ่ง แล้วยึดเส้น Trend line นั้นเป็นหลัก หากมีการหลุดหรือทะลุอย่างมีนัยสำคัญ นั้นหมายถึง Trend อาจเปลี่ยนไปแล้ว โดยช่วงเวลาที่ว่าอาจจะเป็น 6 เดือน 1 ปี 2 ปี หรือ 5 ปีก็ได้ครับ

สุดท้ายเมื่อพูดถึงเจ็บตัวน้อยที่สุดก็ต้องย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นครับว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการลงทุน (รวมถึงเก็งกำไร) คืออะไร สำหรับผมคือการรักษาเงินต้น นักลงทุนส่วนใหญ่มักแสวงหาวิธีที่จะทำอย่างไรให้กำไรมากที่สุด แต่มักลืมเรื่องสำคัญอย่างทำอย่างไรให้ขาดทุนน้อยที่สุดหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น นั่นละครับ ผมกำลังพูดถึงกฎของการ cut loss (โดยเฉพาะในการเทรด futures) ให้จำไว้ว่าเข้าด้วยเครื่องมือหรือสัญญาณอะไร ก็ให้จบด้วยสัญญาณนั้น เช่น การเข้าซื้อเพราะเกิดสัญญาณซื้อจาก MACD หาก MACD เปลี่ยนทิศไม่เป็นตามที่คาดและส่งสัญญาณกลับลง เราก็ต้อง cut เลือดซิบๆก็ต้องยอม หรือหากเปรี้ยวเข้าโดยไม่ใช้สัญญาณอะไรเลย ก็ควรมีตัวเลขในใจไว้ครับว่า ขาดทุนได้ไม่เกินกี่ % (ผมแนะนำตัวเลข 2 ตัว คือ 7% หรือ 10%) ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือตราสารอนุพันธ์ หากจุดประสงค์หลักคือการเก็งกำไร ต้องห้ามละเลยเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดนะครับ เพราะไม่ว่าตลาดไทยจะอินดี้เพียงใด ถ้าเราอยู่ในระเบียบวินัยเคร่งครัด คนที่หัวเราะคนสุดท้ายย่อมต้องเป็นเรา ฮ่าๆ เอิ๊กๆ


Thursday, June 13, 2013

Idiot wave

Hello,
Written on Jun 14, 2013

According to Leonardo Fibonacci’s theory, the SET might bounce to touch the 1465.72 level this round, which equals to 61.8% (see pic1). A return of foreign investors to buy USD45 million in the stock market along with the strengthening baht to 30.71 this morning from yesterday’s high of 31.08 are signaling that inflows are coming back and downside could be protected at the moment. This game is not too complicated, I think. Just follow the flow, enjoy, and beat it. On the other hand, if you count the waves starting from Oct 2011 (flooding time), the SET is now establishing wave B (see pic2) and it could extend and end at 1465.72 due to the Fibonacci number mentioned above. Nonetheless, if wave A hasn’t finished yet, the SET could then dive lower to 1246 level, which I don’t think it will happen soon. Lastly, apology for my headline spelling. It should be “Elliott wave” not “Idiot wave”.




Wednesday, June 12, 2013

TFEX กับสัญญาณเตือนสั้นๆ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 12 มิถุนายน 2556

ในฐานะ TFEX Trader ผมไม่ค่อยได้บรรยายถึง TFEX เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเขียนถึงภาพตลาดโดยรวมซะมากกว่า เพราะว่าสุดท้ายแล้วผมก็เชื่อเหลือเกินว่า Indication ของการเทรด TFEX ที่ดีที่สุดคือ ตัว Spot (SET50 Index) ไม่ใช่ Futures เพราะนั่นคือของจริง และถูกควบคุมยากกว่าตัว Futures เพียวๆ (manipulate SET50 futures ตัวเดียวเทียบกับ manipulate หุ้นใน SET50 50 ตัว อะไรหมูกว่ากันละโจ้ย) อย่างไรก็ดี วันนี้จะยกตัวอย่างง่ายๆให้เห็นซักเล็กน้อยครับ เป็นการเปรียบเทียบ Basis (Futures – Spot) จะได้พอเป็นสัญญาณเตือนสั้นๆ ใช้ดูประกอบกับเครื่องมือ Technical อื่นๆ แบบพอไปวัดไปวาได้


จากรูปมุมซ้ายล่าง (ดูจากซ้ายไปขวา) จะเห็นว่า Basis ในช่วงเดือนเมษามีแนวโน้มแคบลงเรื่อยๆครับ (พื้นที่สีแดงเล็กลง --> ราคา Futures เริ่มไล่ชิด Spot) และกลับมาเป็นบวกชัดเจนในเดือนพฤษภา (พื้นที่สีเขียว --> ราคา Futures แซง Spot) ซึ่งตลาดหุ้นก็ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1649.77 ในวันที่ 21 พฤษภา ตามสัญญาณ แต่สุดท้าย นั่นเป็นการสับขาหลอกครับ เพราะค่า Basis กลับวกลดช่วงบวกลง แนวโน้มเป็นขาลง และเพิ่มพื้นที่สีแดงใหม่ และนั่นก็นำมาสู่หายนะลบ 76 จุดเมื่อวาน โดย Basis หล่นโพละไปที่ -10.23 อย่างไรก็ดี ณ ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ Basis แคบลงไปเยอะครับ (อยู่ที่ราว -2) มีเผลอเป็นบวกบ้างระหว่างวัน ทำให้พอเดาเล่นๆได้ว่า Downside ในระยะสั้นอาจจำกัดก็ได้นะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น วิธีนี้ผมใช้ดูประกอบกับสัญญาณอื่นหลายๆอย่างด้วยครับ เช่น Fair value, Volume, Open interest, หรือ Technical Indicators อื่นๆ  สิ่งที่ผมต้องย้ำคือ อย่ายึดติดกับสัญญาณใดสัญญาณหนึ่งไปตลอดครับ เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เครื่องมือที่ใช้ก็อาจต้องเปลี่ยนตาม กิ้งก่าเปลี่ยนสีได้ไวฉันใด Trader ก็ต้องปรับตัวให้ทันฉันนั้นครับ

Wednesday, June 5, 2013

Unlovable

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 5 มิถุนายน 2556

สัปดาห์นี้จะเริ่มต้นด้วยเรื่องอะไรก่อนดี ถ้าอินเทรนวัยสะรุ่นหน่อยก็ต้องนี่เลย -- ข่าว Moody’s ขู่เตรียมลดอันดับเครดิตประเทศไทยจากขาดทุนจำนำข้าวสูงกว่าคาด ซึ่งถ้าหากลดจริงคงไม่ดีแน่เพราะนั้นหมายถึงต้นทุนทางการเงินของประเทศที่สูงขึ้น ซึ่งนั่นก็จะส่งผลกระทบไปถึงภาคเอกชนตามลำดับครับ เอ.. บางท่านอาจจะงงว่า Moody นิอะไร อารมณ์เสียรึป่าว? อย่ากระนั้นเลยทาเคชิ เดี๋ยวจะออกทะเลไปไกล.. Moody’s เป็นสถาบันจัดอันดับความเชื่อถือชื่อดัง (ไม่ใช่พันกร!) แห่งหนึ่งครับ ทำหน้าที่ให้บริการจัดอันดับคุณภาพและความเสี่ยงของตราสารหนี้ของบริษัท องค์กร จนถึงระดับประเทศ โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงาน อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ฐานะทางการเงิน ขนาด หรือปัจจัยเสี่ยง เป็นต้น ซึ่งในประเทศไทยมีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit rating agency) ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. 2 แห่งครับ ได้แก่ บริษัท ทริสเรตติ้ง จำกัด (TRIS) และบริษัท ฟิทช์เรตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (Fitch) แต่ถ้าในระดับโลกต้องแถมอีก 2 แห่งครับ คือ Moody’s และ S&P’s


สำคัญคือระดับเครดิตประเทศ หรือบริษัทก็ตาม หากมีอันดับอยู่ที่ Baa3 หรือ BBB- อาจต้องให้ความระมัดระวังดูแลเป็นพิเศษหน่อยครับ เพราะถ้าเกิดปัญหาใดๆที่กระทบกับความสามารถในการชำระหนี้ปุ๊ป อันดับเครดิตโดนสอยปั๊ป จะกลายเป็น Non-Investment Grade หรือ Junk ทันที อะโจ๊ะ อ่านมาถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะสงสัยแล้วว่า แล้วประเทศบ้านเกิดเมืองนอนเรา อันดับเครดิต ณ บัดนาวอยู่ที่เท่าไร? Moody’s ให้ Baa1 และ S&P ให้ BBB+ ครับ Ok!


ด้านสถานการณ์ในตลาดหุ้นก็คงไม่เร้าใจน้อยไปกว่าสถานการณ์ในตลาดอนุพันธ์ครับ ฝรั่งขายหุ้นไทยวันละสี่ห้าพันล้านบาทหลายวันติดต่อกัน เค้าไม่รักเราแล้วหรือ หรือเพราะรักไม่ได้ หรือเพราะหุ้นเราไม่ถูกแล้ว? จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่นี่คงไม่ใช่สัญญาณดีเท่าไหร่ละครับ เพราะนอกจากเค้าจะขายหุ้นไทยแล้ว เค้ายังขายตราสารหนี้เป็นมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาทเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา (จบกันทีที่ซื้อติดต่อกันมากว่า 19 เดือน) ค่าเงินบาทก็เลยอ่อนค่าอย่างที่เห็นละครับ ถ้าจำกันได้ ผมได้เสนอทางเลือกไปในบทความเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนในตอน 'อกหัก' ว่าอาจจะ short futures เพื่อ hedge พอร์ตการลงทุนของท่าน จากวันนั้นถึงวันนี้ดัชนีลงมาร่วม 100 จุดแล้วละครับ ดังนั้นหากท่านใดทำตาม แม้จะขาดทุนหุ้นไปบ้าง แต่ก็มีกำไรจาก futures มาโป๊ะ คงพอไหวกระมัง


Monday, June 3, 2013

Significant Issues U Shouldn't Miss

Hello,
Written on Jun 3, 2013

While I was away, there were some significant issues being announced which I shouldn’t miss to mark. Firstly, on May 29, the MPC finally decided to cut its policy rate by 25 bps, though it was in line with the street, the market wasn’t impressed and twisted down relentlessly and subsequently. Why? Because this time was not just a cut. The BOT also came up with the two endorsed regulations related to capital outflows and inflows (subjected for MOF approval), e.g. requirement to do fully-hedge, liberalizing capital outflows up to USD50 million. This is the felon to push market sentiment in flimsy mood and partially stop capital inflows as it has signaled to make things difficult for foreigners if they want to bring more money to Thailand. In addition, export numbers in April, which was initially declared at +10.52%, was revised down to merely +2.89%, due mainly to incorrect figures from Hong Kong’s exports. Thailand’s Manufacturing Production Index (MPI) in April also nosedived to its lowest level in 16 months to 159.16, a reduction by 3.8%, owing to the baht appreciation. In a nutshell, all these are the risks that could threaten the Thai economy going forwards, apart from costly valuation whilst I mentioned to you before (17% premiums of P/E to the seven-year average). That’s why the central bank left the future course of policy action open ended in their latest statement, pinpointing that “the MPC will closely monitor development of the Thai economy, financial stability risks as well as capital flow situation, and stand ready to take appropriate action as warranted”.

Well, to make it clearer, let’s see the numbers. Thailand last week published net foreign outflows of USD488 million in equities, making it the top note weekly net outflows since Sept 2011. Furthermore, in the Thai bond market, offshore investors turned new sellers of USD1 billion in May, ending a record of 19 consecutive months of net buying. So you can see significant differences here. The exodus of foreign investors could be a sphere eclipsing upside of the SET index going forward. I have been warning you since the SET was at high of 1648 (on May 22). Deserving notice that Thailand is the only country in TIP which has remained net foreign outflows in equities since the onset of this year (USD738 million). Indonesia +USD1236 million, whereas the Philippines +USD1475 million.