Wednesday, August 28, 2013

ห้วงเวลาผ่อนคลาย

สัปดาห์นี้ relax ครับ,
เขียนเมื่อ 28 สิงหาคม 2556

ก่อนที่จะไปรู้ว่าตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด (Current account) ที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ว่าเป็นอย่างไร ก็เป็นที่ชัดเจนครับว่าการส่งออกในเดือนก.ค.ติดลบไปแล้ว 1.48% YoY หรือคิดเป็นมูลค่า 19.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ.. ลำบากครับบ่องตง ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ โอกาสที่การส่งออกจะกลับมาโตทั้งปีได้ 5-7% ตามที่รัฐบาลหวังแทบไม่มีทาง (Mission impossible) เผลอๆจะโตแค่ 2-3% เอา เพราะต้องอย่าลืมครับว่า แม้ค่าเงินบาทจะกลับมาอ่อน แต่มันก็อ่อนทั้งภูมิภาค เพราะฉะนั้นในเชิงการแข่งขันก็ถือว่าผู้ส่งออกเราก็ไม่ได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้านเท่าใดนัก


โดยปรกติแล้วการส่งออกจะโตประมาณ 1.7 เท่าของ GDP ครับ ฉะนั้นถ้าประเมินแบบคร่าวๆว่าทั้งปีส่งออกโตได้ซัก 2.5% เศรษฐกิจไทยปีนี้ก็น่าจะโตได้แบะๆที่ 4.25% ถือว่าไม่มากไม่น้อยแต่ก็ไม่ดี.. ลุ้นตัวเลข Current account กันดีกว่า street คาดกันว่าจะ -550 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่อย่าลืมว่าแค่ Trade balance อย่างเดียว (ส่วนหนึ่งของ current account) ในเดือนก.ค.ที่เพิ่งประกาศก็ปาไป -2.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯแล้ว (เพราะ Import โต) เผลอๆหลงจ้งจะติดลบเป็นพันล้านเอา.. ยังดีที่ท่องเที่ยวเราแจ่ม ไม่เช่นนั้นก็ได้แต่สวดมนต์ภาวนาละครับ

ที่จั่วหัวว่าให้ relax ก็เพราะว่าจากที่ให้กฎคุณชายหมอไป 5 ข้อเมื่อสองสัปดาห์ก่อน (ที่เน้นๆก็คือ short futures เพื่อ hedge, เตรียมเงินสด, ลิสต์รายชื่อหุ้น) ตอนนี้ก็ใกล้เวลาได้ใช้งานแล้วครับ ผมเองก็เตรียมเก็บ LTF เร็วๆนี้ รวมถึงนั่งดูเตรียมจิ้มกองทุนหุ้นที่น่าสนใจแล้วละ.. อย่าลืมนะครับ เวลานี้ไม่ใช่เวลากลัว หรือถ้าจะกลัว ก็ควรจะกลัวน้อยกว่าตอนดัชนีตอน 1460 เมื่อต้นเดือนส.ค. หรือตอน 1650 เมื่อเดือนพ.ค. -- พื้นฐานประเทศในระยะยาวยังแข็งแกร่ง ทุนสำรองก็มีมากมายมหาศาลป้องกันเรื่อง capital outflows ได้สบายๆ.. บริษัทดีๆพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนไปมากราคาก็ลงมาจนเริ่มน่าสนใจละ.. Time to relax แล้วครับ

Selectively BUY

Hi,
Written on Aug 28, 2013

I know you might get bored with the bearish stuffs espoused day in day out. Recalling first time I told you to aggressively sell was when the SET at high of 1648 on May 22 (in my “Due for a Pullback” note). Second time was over the first half of this month when the index was at high of 1460 and said clearly that the SET could reach 12xx levels before the Fed’s meeting in Sept. Now, it comes, with the Thai bourses down more than 20% from this year’s high. Therefore, I urge you to be a stock buyer rather than a seller at the moment. Surprise!? Yes bottom hasn’t been found yet and the SET could sink lower to 1200-1230 levels, but I truly love this environment, in the wake of fear and horror. It’s the time to selectively buy stocks not to panic sell follow the herd. No hurry. Gently buy.

For futures, for those who have been the Short Gunners since the onset of this month, I suggest gradually closing partial positions to the downside of the SET, maybe till the range of 1230-1260. Importantly, Energy + Petro sectors here account for ¼ of the Thai market. So what? As crude oil this morning surged 3% to settle at USD109.66 a barrel on concern the US will take military action against Syria, marked the highest close for a most-active contract since Feb 24, 2012, it might help sustain the market to some extent.

BOT -- Capital outflows are manageable  
Given the country’s large international reserves (USD172 billion, 2.9 times of the countries short-term debt), Thailand will have enough liquidity to provide foreign investors when they need to move their capital out of the country, unlike 1997, when short-term foreign debt was USD47.7 billion while the country’s foreign reserves totaled USD38.7 billion. I think Thailand’s economic fundamentals were still sound despite a current-account deficit in the first half of the year. “The deficit was due mainly to gold imports. If those were excluded, the current account would have remained in a surplus,” BOT deputy governor Pongpen added.

Wednesday, August 21, 2013

คำตอบสุดท้าย

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 21 สิงหาคม 2556

ในบทความสัปดาห์ที่แล้วคุณชายหมอได้แนะนำกฎเหล็กไป 5 ข้อ.. จากวันนั้นที่ดัชนีปิดไปที่ 1460 จนเพลานี้ SET น้อยๆของเราก็ลงมาร่วมร้อยจุด ก็หวังว่าท่านจะได้ป้องกันความเสี่ยงกันไปตามสมควรนะครับ

สัปดาห์นี้มีอะไร? ก็อย่างที่ทุกท่านได้ทราบกันตั้งแต่ช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 19 ส.ค. เวลา 9.30 น. ครับว่า เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่สภาวะถดถอย (Recession) ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ไปเสียแล้ว โดย GDP ติดลบถึง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่เราเข้าสู่สภาวะถดถอยนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี 2008 เลยละ


ตรงนี้ถามว่ามีผลอย่างไร? แน่นอนครับ ตอนนี้เราก็สามารถพูดได้เต็มปากแล้วครับว่าประเทศไทยไม่ตกเทรนนะ เพราะในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วในยุโรป อเมริกา ต่างทยอยกันออกจากสภาวะถดถอย ไทยเราก็ถดถอยแทน (ฮา)... ล้อเล่นนะครับ! ความจริงก็คือผมคิดว่าสถานการณ์มันยังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นดอก อย่าเพิ่งไปตื่นอกตกใจอะไรมากมาย (เป็นแค่ Technical Recession) เพราะถ้าดูตัวเลขไตรมาสสองเราก็ติดลบเพียง 0.3% QoQ เท่านั้น (คืออีกนิดเดียวมันก็จะบวกอยู่แล้ว) และถ้าสังเกตจากชาร์ตด้านบน ก็จะเห็นว่าเส้น GDP ที่เป็น QoQ ส่วนใหญ่มันก็เกาะๆอยู่ในช่วง 0-3 นี้แหละ มีน้อยครั้งที่ออกนอกลู่ไปบ้าง อีกทั้งด้วยอัตราว่างงานของไทยที่อยู่ต่ำเพียง 0.71% เพราะงั้นประเมินในเบื้องต้นเศรษฐกิจไทยก็น่าจะกลับมาเป็นบวกในไตรมาสถัดไปได้ไม่ยากหากมีการบริหารจัดการที่ดีครับ รวมถึงเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่เริ่มฟื้นก็น่าจะช่วยผลักดันให้ภาคการส่งออกของไทย (70% ของ GDP) ดูดีขึ้นได้บ้าง ประกอบกับค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี (เทียบ USD) ผมเลยเชื่อเหลือเกินว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยแม้จะไม่เฉิดฉาย แต่ก็จะไม่ตกหลุมดำเช่นกันครับ

ในส่วนของตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์เองก็ต้องยอมรับครับว่า ฝรั่งกลับมาเป็นตัวการทำให้ดัชนีลงอีกครั้ง.. ขาย ขาย ขาย เป็นคำตอบสุดท้ายที่ผมเปรยๆกับลูกค้าสถาบันต่างประเทศไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่อย่าเพิ่งไปถือโทษโกรธเค้านะครับ เพราะมันก็เป็นไปตามเกม และเค้าก็ขายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดฯเช่นกัน (หนึ่งในกลุ่ม TIPs) แต่อินโด มันมีประเด็นมากกว่าเราอยู่เล็กน้อย เพราะประเทศเค้าประสบกับภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง -4.4% ของ GDP ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 17 ปี (รูปล่าง) แถมเหล่า policy makers ก็ทำเปรี้ยวอีกด้วยการขึ้น reserve requirement ratio (RRR) และสร้างเงื่อนไขให้ธนาคารบางกลุ่มต้องกันสำรองเพิ่มหาก loan-to-deposit ratio ไม่ถึงเกณฑ์ ตรงนี้นักลงทุนกลัวครับ เพราะตีความได้ว่าเป็นการดึงเงินออกจากระบบ ทำให้สภาพคล่องภายในประเทศลดลง.. ในขณะที่ไทยเราแม้จะห่างไกลจากอินโดในเรื่องนี้ ก็แต่ประมาทไม่ได้นะครับ เพราะบัญชีเดินสะพัดเราก็กลับมาติดลบซะแล้ว (-5% ใน Q2 เทียบกับ GDP รายไตรมาส) ซึ่งปกติเราไม่ค่อยจะลบกับเค้าหรอก (หยวนให้ก็เฉพาะ Q2 เพราะวันหยุดเยอะ) สาเหตุหลักก็น่าจะมาจากเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งโป๊ะในช่วงครึ่งปีแรกที่กดดันให้การส่งออกชะลอตัวนั่นละครับ แต่หลังจากที่บาทเริ่มกลับมาอ่อนในช่วงนี้ ผมก็เดาว่าครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นนะ

 

Wednesday, August 14, 2013

เตรียมตัวไปกับคุณชายหมอ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 14 สิงหาคม 2556

มีเวลาอีกราว 1 เดือนครับก่อนจะถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในวันที่ 17 - 18 ก.ย.นี้ [จริงๆสัปดาห์นี้เรามีเรื่องพ.ร.บ.งบประมาณปี 57 เข้าสภา แต่ผมไม่คิดว่าจะมีประเด็นอะไรร้อนแรง ส่วนสัปดาห์หน้ามีเรื่องพ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าจะไม่ผ่านอีกเช่นกัน.. ไปว่ากันต่ออีกทีในศาลรัฐธรรมนูญโน่น] ซึ่งผมขอเรียกเลยว่ามันเป็นการประชุมหยุดโลก! เพราะมีนักวิเคราะห์ กูรู ปรมาจารย์ นักเศรษฐศาสตร์อีกหลายท่านมองว่าเพลานี้น่าจะเหมาะที่สุดที่จะลดขนาด QE ลงมาบ้าง.. อีกทั้งเหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้ผมต้องมาเขียนล่วงหน้าก่อนเป็นเดือน นับว่าไม่ธรรมดา เราควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนจะถึงวันนั้น มีข้อแนะนำ (แต่ไม่จำเป็นต้องทำตาม) ดังนี้

           1. ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด (เพราะถ้าดีขึ้นเยอะๆ โอกาสที่จะยก QE ออกบ้างก็มีสูง) โดยล่าสุดตัวเลข Retail sales ในเดือนก.ค.ปีนี้ขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 บอกเป็นนัยๆครับว่าการจ้างงานดีขึ้นอีกแล้ว เศรษฐกิจอเมริกาไม่แจ่มให้มันรู้ไป
           2. ตามข่าวผู้ว่าธนาคารกลางคนใหม่ของสหรัฐฯจักกะหน่อย แม้ว่าผมจะเคยเขียนไปแล้วเมื่อเดือนก่อนที่นี่ http://nakkanaayok.blogspot.com/2013/07/blog-post_17.html แต่ก็มีความคาดหมายใหม่ออกมาครับว่า คุณ Lawrence Summers ได้มาแรงแซงโค้งขึ้นเป็นตัวเกร็งแทนคุณ Janet Yellen เรียบร้อยแล้ว โดยคุณ Lawrence หรือ Larry นิเป็นตัวดีเลยละครับ เพราะถึงแม้แกจะชอบนโนบายดอกเบี้ยต่ำ แต่ก็ชอบที่จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคุณ Janet ซึ่งหากมีความคาดหวังว่าแกจะได้เป็นผู้ว่าฯเพิ่มขึ้น ก็น่าจะไม่ค่อยดีกับหุ้นในตลาดเกิดใหม่เท่าไหร่ครับ
           3. เตรียม list รายชื่อหุ้นที่พื้นฐานดี (บริษัทดี) แต่ราคาตอนนี้ไม่ถูกไว้ซัก 5-10 บริษัท (หรือจะมากกว่านั้นก็ตามแต่ศรัทธา) เผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจะได้พร้อมเลือกสอยตอนราคาถูกๆ
           4. หาจังหวะเหมาะๆ รอตลาดหุ้นเด้งดีดๆ Short Futures ซักนิดเพื่อป้องกันความเสี่ยงซักหน่อย
           5. เตรียมเงินสดให้พร้อม

ทั้งนี้และทั้งนั้นอะไรก็ไม่แน่นอนครับ เกิดผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯคนปัจจุบันเกิดทำอะไรแผลงๆขึ้นมาเป็นการทิ้งทวนก่อนอำลาตำแหน่งในต้นปีหน้า เช่น เพิ่มขนาด QE ซะเลย ไหนๆเศรษฐกิจอเมริกามันกำลังดีกำลังมันส์ก็ให้มันดีมันส์ๆด้วยอัตราเร่งไปเล้ยย... ถ้าเป็นงั้นจริงผมคงจนปัญญายอมศิโรราบขอกราบงามๆซัก 3 จบ และหุ้นในตลาดเกิดใหม่ก็คงทะยานทะลุเพดานไป แต่หากลืมตาตื่นขึ้นมาในชีวิตจริงไม่อิงอะไรก็จะพบว่ามันแทบจะเป็น Mission Impossible ครับ.. เพราะถ้าคิดตามเหตุและผลแล้วในเมื่อคนไข้(กรองแก้ว)เริ่มฟื้น คุณ(ชาย)หมอจะให้ยาโด๊ปฉีดๆๆเข้าไปเหมือนตอนอาการโคม่าได้หรือ? รังแต่จะทำให้อาการที่ดีขึ้นแล้วกลับแย่ลงครับ ฉันใดก็ฉันนั้น เศรษฐกิจที่ดีขึ้นแล้วหากยังกระตุ้นด้วยการอัดฉีดเงินในปริมาณที่สูงเท่าเดิม เผลอๆจะเป็นอันตรายเอา (Balance sheet ของ Fed เต็มไปด้วยเหล่าพันธบัตรและ MBS หมดแว้ว อ่ะจ๊าก!) ไม่แน่นะ เราจะเห็นการ Exit strategies เร็วกว่าที่คิดไว้ก็ได้ใครจะรู้

สุดท้ายนี้ไหนๆสภาก็กำลังถกกันเรื่องงบประมาณ ผมเลยนำ breakdown งบประมาณปี 56 มาให้ดูกัน.. โชคดีทุกท่านครับ

Wednesday, August 7, 2013

แวะพักที่โอเอซิส

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 7 สิงหาคม 2556

หากเปรียบการเล่นหุ้นเหมือนดั่งการเดินเท้งเต้งในทะเลทราย สองสามวันที่ผ่านมาก็เหมือนได้เข้าพักที่โอเอซิสละครับนะ ก็แหม! วอลุ่มเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาปาเข้าไปกระจึ๋งที่ 2 หมื่นล้านต้นๆ น้อยที่สุดในรอบกว่า 8 เดือน ในขณะที่วอลุ่มเจ้า S50U13 (SET50 Index Futures) ก็เบาบางสเลนเดอร์ไม่แพ้กัน มูลค่าเหลือเพียง 1.5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น งี้ไม่ให้หลับยังไงไหวละครับพี่น้อง


ว่าแล้วก็ขอแนะนำโอเอซิสที่สวยงามนาม Huacachina ตั้งอยู่ที่เมือง Ica ประเทศเปรู หรือที่ขนานนามกันว่า โอเอซิสของอเมริกา (ดังรูป) ผมเองเคยรู้สึกสงสัยครับว่า.. ท่ามกลางทะเลทรายที่เร่าร้อนซะขนาดนั้น แดดก็แผดเผา อูฐก็มี 2 โหนก ไหงมีสถานที่ที่สวยงามนามโอเอซิสตั้งอยู่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ท่ามกลางเหตุการณ์ทางการเมืองที่วุ่นวาย ข่าวร้ายก็ถาโถม เสียงโห่ร้องก็โครมๆ หุ้นก็อาจจะเด้งได้อย่างไม่มีเหตุผลเช่นกัน เพราะงั้นอย่าลืมกำหนดจุด stop loss ในการ trading (โดยเฉพาะ SET50 Index Futures) ทุกครั้งนะครับ!!


ถัดมาผมเอารูปพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปีมาให้ดู.. จะเห็นว่าช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา yield กลับขึ้นมาสูงอีกครั้ง จากราว 3.6% เมื่อกลางเดือนที่แล้ว มาอยู่ที่ 3.95% ณ บัดนาว ตรงนี้สะท้อนอะไร? สะท้อนว่าความเสี่ยงประเทศเริ่มมากขึ้นอะครับ จากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองนิแหละ ซึ่งอาจกระทบประมาณการหรือ Target price ของหุ้นในอนาคตได้ (Risk free ที่สูงขึ้นเมื่อใส่ใน model แล้วจะทำให้ Target price ลดลง) อย่างไรก็ดี เนื่องจากนักวิเคราะห์บัวหลวงเราใช้ค่า Risk free ที่ราว 4% ในการ pricing อยู่แล้ว (มองการณ์ไกลโฮกๆ) จึงยังไม่กระทบกับ Target price ของหุ้นในตอนนี้ครับ


สุดท้าย เนื่องจากผมเคยเอาแต่รูป Fund flows มาให้ดู วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศนำรูปกำไรต่อหุ้น (EPS) มาให้ดูบ้างครับ จากรูปจะเห็นว่า อเมริกา อังกฤษ และกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ กำไรต่อหุ้นกลับขึ้นมาพอๆกับช่วงก่อนวิกฤต Subprime ละ (EM ดูหล่อสุด) ในขณะที่ญี่ปุ่น และยุโรป (ไม่รวมอังกฤษ) ยังต่ำกว่าอยู่เลย.. ตรงนี้บอกอะไร? ทิ้งท้ายไว้ให้คิดต่อเล่นๆครับ.. แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า

Thursday, August 1, 2013

ครบรอบ 4 ปี

วันที่ 1 สิงหาคม 2556

วันนี้ถือว่าเป็นวันครบรอบ 4 ปีที่ผมได้ทำงานในสายธุรกิจการเงินครับ และเป็นวันที่ผมจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรมหาบัณฑิต ในช่วงบ่ายนี้^^

ดีใจครับ เผลอแป๊บๆเวลาผ่านไป 4 ปีแล้ว (ไม่รวมเวลาที่ได้ทำงานในสายวิศวะอีกเล็กน้อย) ซึ่งผมถือว่ามันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในชีวิตการทำงาน มีอะไรอีกเยอะแยะมากมายเป็นภูเขาเลากาที่ผมยังไม่รู้และใคร่อยากจะรู้ เรียนรู้.. ความจริงผมคิดว่าผมโชคดีมากที่ได้รับ “โอกาส” ให้เข้าทำงานที่บริษัทที่ผมทำอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ได้มีโอกาสดูแลลูกค้าสถาบันที่เป็น “ระดับโลก” ได้มีโอกาสทำงานกับหัวหน้าที่มีความสามารถสูง มีความเป็นผู้นำ และเป็นกลางในการทำงาน ได้มีโอกาสทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่มีศักยภาพ มีความรับผิดชอบสูง ได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้บริหารระดับสูงที่เก่งและมีวิสัยทัศน์กว้างไกล สิ่งเหล่านี้ผมถือว่าเป็น “ความโชคดี” อย่างมากในชีวิตผม

สิ่งต่อมา เมื่อมีความโชคดี มันก็ย่อมมาคู่กับ“ความโชคร้าย”หรือ“ความล้มเหลว” ซึ่งผมขอเรียกมันว่า “ความล้มเหลวชั่วข้ามคืน”.. ชีวิตผมเจอความล้มเหลวไม่บ่อยครับ เนื่องด้วยเป็นคนที่ตั้งใจเรียนตั้งใจทำงานมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่า คะแนนอยู่ในอันดับต้นๆของห้องมาตลอดจนกระทั่งจบม.6 เคยเรียนได้ที่ 2 ของชั้นสมัยอยู่ม.5 ตอนนั้นดีใจมว้าก.. แต่ผมว่าชีวิตคนเราล้มบ้างก็ได้ การที่ไม่เคยล้มเลยมันทำให้ตอนล้มครั้งแรกเจ็บสุดๆ ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่อาจกระทบจนทำให้เรื่องอื่นเสียเอา ผมคิดว่าหากเราเจอความล้มเหลว ก็ขอให้เราคิดว่าเป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วครั้งชั่วคืนครับ ท่องคาถา “This too, shall pass” ไว้ “แล้วมันจะผ่านไป” เพราะบางครั้งแม้เราจะตั้งใจทำอะไรแบบสุดๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจไม่เป็นอย่างที่คิด (ซึ่งมันก็เกิดขึ้นกับผมในชีวิต 1-2 ครั้ง) ถึงตอนนั้นเราต้องไม่ท้อครับ ต้องสู้ ซึ่งผมเชื่อว่าหากเราผ่านไปได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นจะเป็นภูมิคุ้มกันต่ออุปสรรคใหม่ๆที่จะเข้ามาหาเราในชีวิต นั่นแหละคือ“ความโชคร้าย”ได้กลายสภาพเป็น“ความโชคดี”แล้วครับ

ความจริงมีอีกหลายเรื่องอยากจะกล่าวถึง แต่เหลือบมองนาฬิกาอุ้ยเที่ยงกว่าแล้ว เดี๋ยวไปไม่ทันถ่ายรูป.. ก็เอาเป็นว่าขอจบภาคแรกแต่เพียงเท่านี้ อย่าลืมนะครับ! หน้าที่ของเราคือต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ อย่ารอ เพราะเมื่อโอกาสเข้ามาต้องอย่าปล่อยให้หลุดมือไป และหากพบกับความโชคร้าย ก็ขอให้เชื่อว่าสุดท้ายมันจะกลายเป็นความโชคดีในที่สุดครับ สวัสดี : )