Wednesday, December 17, 2014

แรงกระเพื่อม

สวัสดีครับ,

DECEMBER 17, 2014


ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคมที่ตลาดหุ้นไทยได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปีที่ 1603.89 นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้พบกับสีเขียวอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม ที่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้นั่งรถไฟเหาะตีลังกาแปดสิบตลบ เพราะตลาดลงไปทำจุดต่ำสุดของวันถึง 1375.99 แล้วก็แล่นทะยานขึ้นมาปิด 1478.49 ได้อย่างไรก็ไม่รู้ (คือลงไปมากกว่า 130 จุด แล้วก็เด้งกลับมากว่า 100 จุดโอ้แม่เจ้า) ผมเลยอยากจะแนะนำเพื่อนนักลงทุนให้ซื้อแว่นดังรูปด้านล่างนี้มาเตรียมใส่ไว้ก่อนครับ เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกอย่างไร เวลามอง พอร์ตท่านยังไงก็ยังคงเป็นสีเขียว  


แล้วยิ่งเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม หากท่านใดติดตามตลาด TFEX หรือ ตลาดอนุพันธ์สะบั้นหัวใจ เจ้า S50Z14 เปิดวันอังคารฟ้าใหม่ที่ราคา 971.3 เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ทันใดนั้นอุ้ยว้ายตาเถรแตกครับ ใครก็ไม่รู้มาทุ่มขายเจ้า S50Z14 ทำให้ราคาลงไปทำจุดต่ำสุดของวันที่ 921.6 ภายในไม่ถึง 5 นาทีนับจากตลาด TFEX เปิด ย้ำอีกครั้ง ภายในไม่ถึง 5 นาทีนับจากตลาด TFEX เปิด คือลงไปเกือย 50 จุด! จากนั้นก็ค่อยๆ ค่อยๆ ขึ้นมายืน แต่ผันผวนมากระหว่างวัน แล้วก็กลับไปปิดใกล้ราคาเปิดที่ 969.9 ตอนสิ้นวันจนได้

ประเด็นคือความผันผวนในตลาดไทยมีมากเหลือเกินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัปดาห์นี้ แต่ข่าวดีคือ ผมคิดว่ามันจะค่อยๆ ลดลงครับ เหมือนกับคุณโยนลูกปิงปองลงพื้นครั้งแรกจะเด้งขึ้นมาแรงหน่อย ครั้งที่สองเด้งแต่จะไม่เกินครั้งแรก แล้วก็ค่อยเด้งลดลงไปเรื่อยๆ หรือ เปรียบได้กับการกระเพื่อมของน้ำนั่นละครับ ในเชิง Quantitative model เองทางนักวิเคราะห์บัวหลวงเราก็ได้ประเมินไว้แบบนั้นเช่นกัน โดยดูจากเจ้าเครื่องมือที่เรียกว่า E-GARCH Vol ที่มันขึ้นมาทำหัวชี้ ประกอบกับเจ้าตัว E-GARCH Vol Forecast ที่ความชันมันลดลง แปลว่า ความผันผวนได้เจอจุดสูงสุดไปแล้วและจากนี้น่าจะค่อยๆ ลดลงครับ



ล่าสุด ตลาดหุ้นไทย ณ เวลาที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ (14.41) ก็บวกไปกว่า 20 จุด ขอแสดงความยินดีกับผู้กล้าทุกท่านด้วยนะครับ

Wednesday, December 3, 2014

เรื่องของน้ำมัน

สวัสดีครับ,

December 3, 2014


นับจากต้นปี ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ลงมาแล้วกว่า 30% และทำจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปีเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สาเหตุหลักๆ เกิดจากภาวะอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม Non-OPEC และการคงระดับการผลิตของกลุ่ม OPEC ไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน อีกทั้งยังมีข่าวการผลิตน้ำมันจากหินดินดาน (Shale) ในอเมริกาและแคนาดามากดดันเพิ่มเติม อย่างไรก็ดีสถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าแตกต่างจากช่วงปี 2008-09 (ที่น้ำมันลงจาก 140 เหรียญต่อบาร์เรล เป็น 30 เหรียญต่อบาร์เรล) อย่างสิ้นเชิงครับ ช่วงนั้นสภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงถดถอยจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เป็นเรื่องของ Demand Shock ผลประกอบการของบริษัทลดลงพรวด แต่ครั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทไม่ได้ลดลง แต่แค่ปริมาณการผลิตน้ำมันเกินกว่าความต้องการใช้ เป็นเรื่องของ Supply Shock ซึ่งผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วพอราคาน้ำมันลงไปถึงจุดหนึ่ง ความต้องการซื้อก็จะกลับมาและทำให้ราคาเข้าสู่จุดดุลยภาพในที่สุด (Equilibrium Price) ผู้บริโภคทั่วโลกจะเป็นผู้ได้ประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ เพราะต้นทุนการผลิตลดลงไปเยอะและประเทศที่เป็น Net oil importer อย่างไทยจะได้รับประโยชน์แบบจัดเต็ม



อย่างไรก็ดี ส่วนตัวแล้วผมไม่คิดว่าน้ำมันจะอยู่ที่ระดับต่ำแบบนี้ได้นานครับ เพราะต้นทุนการผลิตน้ำมันของหลายๆ เหมืองอยู่ที่ราว 60-70 เหรียญต่อบาร์เรล แปลว่าถ้าราคาน้ำมันลงต่ำกว่านี้ไปมากๆ เหมืองบางแห่งอาจต้องปิดตัวลงเพราะขาดทุนบักโกรก ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ Supply ลดลงและราคาน้ำมันก็จะกลับมาในที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำนายราคาน้ำมันซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ชนิดหนึ่ง มันเป็นอะไรที่พูดยากและยากมากครับ (มันก็คือการเดาดีๆ นิแหละ) แต่หากนำข้อมูลเชิงสถิติมาประกอบจะพบว่า ราคาน้ำมันตอนนี้ได้ลงมาต่ำกว่าระดับ 2SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นระดับเดียวกับช่วงปี 2008-09 (เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนหน้านั้น) แปลว่าโอกาสที่น้ำมันจะลงต่ำกว่านี้มากๆ เริ่มมีน้อยแล้วละครับ
   
ผมเขียนถึงราคาน้ำมัน เพราะเห็นว่ามันสนุกดี นานๆ จะได้เห็นสินทรัพย์ที่ลงแรงๆ พรวดๆ แบบนี้ซักที (ยกเว้นหุ้นปั่นบ้านเรา) แต่หากไปดูสัดส่วน GDP ไทยจะพบว่า 2 อุตสาหกรรมแรกที่มีสัดส่วนสูงสุดคือ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (14.6%) ตามมาด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (10.7%) ไม่ใช่พลังงานหรือธนาคารพาณิชย์เหมือนในตลาดหุ้น แปลว่าราคาน้ำมันที่ลงอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นบ้าง แต่ในเชิงพื้นฐานหรือเศรษฐกิจประเทศภาพใหญ่แล้ว เราได้ประโยชน์นะ และยิ่งมีเรื่อง Energy reform ที่จะช่วยปลดแอกภาระขาดทุนบักโกรกในบางธุรกิจของเจ้าหุ้นพลังงานตัวใหญ่อย่าง PTT รวมถึงหุ้นโรงกลั่นบางตัวอยู่ ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะทรงๆ และอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นได้ไปจนถึงสิ้นปีครับ

Wednesday, November 26, 2014

พร้อมทะยานสู่ฟ้า

สวัสดีครับ,

NOVEMBER 26, 2014


หากจำกันได้ผมได้เขียนสรุปไว้ในบทความ “ทำธุรกิจด้วยกฎ 9 ข้อสไตส์ Buffett” เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนครับว่า หุ้นใน SET50 จะกลับเป็นคีย์สำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดจากนี้ไป และก็เป็นอย่างที่คาด เพราะเมื่อหุ้นเล็ก-หุ้นจิ๋วโดนมาตรการสกัดความร้อนแรงจากตลาดหลักทรัพย์ (แม้จะมีผลจริงในปีหน้า) ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้นดังส้มหล่นทับ ซึ่งหากดูจากกราฟจะเห็นชัดเจนครับว่า ดัชนี SET50 ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ของปีไปก่อนแล้วเรียบร้อยในขณะที่ดัชนี SET ยัง (ณ เวลา 10.50 วันที่ 26 พ.ย.)



ความจริงอีกข้อก็คือ นักลงทุนไทยยังต้องซื้อ LTF อีกเยอะครับโดยเม็ดเงิน LTF ที่คาดว่าจะเข้ามาในตลาดหุ้นปีนี้ทั้งปีอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาท (ปีที่แล้ว 4.3 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจนถึงตอนนี้ผ่านไปเกือบ 11 เดือน คาดว่ามียอดซื้อ LTF รวมเพียงประมาณกึ่งหนึ่งเท่านั้น เพราะคนส่วนใหญ่รอ เพื่อซื้อในช่วงสุดท้ายของปีโดยหวังว่าหุ้นจะลงแต่จริงๆ ดันไม่ลง (หุ้นขึ้นด่ะตั้งแต่ต้นปี) ดังนั้นเดือนธ.ค.ปีนี้น่าจะมีเฮโลนะครับ ตลาดหุ้นไทยเตรียมพร้อมรับเม็ดเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาทได้เลย

สุดท้าย เพื่อยืนยันกันอีกครั้ง ทางทีม Quantitative Model ของเราก็ได้ทำนายไว้ครับว่า เดี๋ยวเถอะ เดือนหน้านิแหละ จะมี Flows จากทั้งนักลงทุนสถาบันและต่างชาติทยอยกันเข้ามา สังเกตได้จากเจ้า Volume Flow Indicator ที่กำลังฟอร์มตัวสวยพร้อมทะยานสู่ฟากฟ้า ดังนั้น ใครที่เทรด SET50 Index Futures อยู่ด้วยแล้วถือหน้า Short ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นนะครับ

Wednesday, November 12, 2014

ทำธุรกิจด้วยกฎ 9 ข้อสไตส์ Buffett

สวัสดีครับ,

วันนี้มีประเด็นที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังก่อนกระโดดจะไปสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยครับ จริงอยู่ เรารู้จัก Warren Buffett ในฐานะตำนานนักลงทุนเน้นคุณค่าของโลก แต่ในแง่การทำธุรกิจแล้ว Buffett ก็ถือเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ และนี่ก็คือ กฎ 9 ข้อในการทำธุรกิจของเขา (จากบทความของ Alex Crippen ในเว็บไซต์ CNBC) ซึ่งผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ จึงเรียบเรียงมาให้อ่านดังนี้

กฎข้อแรก เงียบสงบสยบความเคลื่อนไหว อย่าไปตื่นตระหนกกับความผันผวนของกำไร Buffett บอกว่าเค้ายอมให้กำไรของบริษัทผันผวนปรู๊ดปร๊าดแต่เฉลี่ยระยะยาวแล้วได้ 15% ดีกว่ากำไรอยู่นิ่งแต่เฉลี่ยระยะยาวแล้วได้ 12%

กฎข้อสอง ยาวดีกว่าสั้น Buffett ยกตัวอย่างว่าเค้าไม่เคย split หุ้นบริษัท (Class A) ของเค้าเลย ด้วยเหตุนี้ราคาหุ้น Berkshire จึงสูงถึง USD217,000 หรือ 7 ล้านกว่าบาทต่อหุ้น ที่ทำเช่นนี้เพราะเค้าต้องการให้นักลงทุนถือหุ้นยาวๆ ไม่ซื้อขายสั้นๆ (สังเกตว่าหุ้นที่ราคาต่ำๆ จะมีการซื้อขายหมุนเวียนเพื่อเก็งกำไรบ่อยครั้งกว่าหุ้นที่มีราคาสูงๆ)

กฎข้อสาม เน้นเข้าไว้ บริษัทไม่ว่าจะดีสุดยอดแค่ไหนก็ต้องมีช่วงเวลาที่ซบเซาด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งนั่นอาจทำให้เราเลิกสนใจมันและหันไปสนใจธุรกิจธรรมดาๆ แทน Buffett เลยบอกว่าอย่ากระนั้นเลยให้เน้นของเดิมที่เจ๋งๆ ไว้ดีกว่า อย่าปล่อยให้ของดีหลุดมือไปเพียงเพราะเหตุการณ์ร้ายเพียงชั่วคราว

กฎข้อสี่ ขอถูกๆ Buffett บอกว่าต้นทุนที่ถูกนิแหละที่เป็น Key Success Factor ของ GEICO (บริษัทประกันรถที่ใหญ่อันดับ 2 ในอเมริกา และเป็นบริษัทลูกของ Berkshire) พอต้นทุนถูก ก็ตั้งราคาถูกได้ซึ่งนั่นก็เป็นการรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราได้นาน และเมื่อลูกค้าประทับใจก็จะเกิดการบอกต่อนั่นยิ่งทำให้ต้นทุนถูกลงไปอีก

กฎข้อห้าจ่ายเงินพนักงานด้วยวิธีง่ายๆ Buffett บอกว่าเค้าไม่ชอบจ่ายผลตอบแทนพนักงานด้วยเครื่องมือที่ต้องมานั่งลุ้น (Buffett ใช้คำว่า Lottery ticket) อย่างเช่น Stock options ซึ่งมูลค่าสุดท้ายเป็นได้ตั้งแต่ 0 จนถึงสูงมาก แถมเค้ายังไม่สามารถควบคุมได้ (ว่าพนักงานจะใช้สิทธิ์เมื่อไหร่) ความจริงก็คือหลักการจ่ายมันควรเป็นไปตามผลประกอบการของธุรกิจ วัดได้ง่าย และเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งที่พนักงานปฏิบัติ

กฎข้อหก อยู่ไกลๆ กับปัญหา Buffett บอกว่าเค้าชอบ “วางแผนกลับด้าน” (Reverse engineer) หมายถึง ถ้าเรารู้ว่าทำอะไรลงไปแล้วผลลัพธ์ที่จะเกิดเราไม่สามารถรับได้ ก็อย่าคิดแม้จะไปเริ่มทำมัน เหมือนอย่างที่คู่หูเค้า Charlie Munger ชอบบอกว่า “ถ้ารู้ว่าไปที่ไหนแล้วผมต้องจะตาย ผมก็จะไม่ไปที่นั่น แค่นั้น”
 
กฎข้อเจ็ด ถ้าหุ้นคุณถูก.. เก็บมันไว้เอง พูดง่ายๆ เมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นบริษัทของคุณในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ให้ซื้อมันเก็บไว้เองเลย! (ซื้อหุ้นคืน) Buffett ถึงกับกร้าวว่าในช่วงเวลานั้น แม้จะเจอธุรกิจที่สุดยอดที่ราคาสมน้ำสมเนื้อ เค้าก็ไม่เอา
 
กฎข้อแปด เล็กเข้าไว้ Buffett เชื่อว่าองค์กรยิ่งใหญ่ ยิ่งเยอะ ยิ่งทำให้คิดช้า ทำงานยาก จึงเป็นสาเหตุให้สำนักงานใหญ่ของ Berkshire มีจำนวนพนักงานแค่หยิบมือ และงานในการบริหารจัดการส่วนใหญ่ไปอยู่ในมือผู้จัดการส่วน ซึ่งผู้จัดการส่วนเหล่านั้นก็ทำงานทุ่มเทเสมือนกับว่าเค้าเป็นเจ้าของบริษัทยังไงหยั่งงั้นเลย
 
กฎข้อเก้า รักษาชื่อเสียงยิ่งชีพ กฎข้อนี้สำคัญที่สุด*** Buffett เคยถึงกับพูดกับพนักงานบริษัทของเค้าว่า “หากคุณทำบริษัทเสียเงิน ผมจะยอมเข้าใจ แต่หากทำบริษัทเสียชื่อเสียง แม้เพียงเล็กน้อย ผมก็จะไม่ปรานี” เหมือนกับที่เค้าเคยย้ำอยู่เสมอครับว่า “ชื่อเสียงนั้นใช้เวลา 20 ปีสร้างขึ้นมา แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีทำลายมัน”
 
ดูเหมือนผมจะไม่มีพื้นที่เหลือให้สรุปภาพรวมตลาดมากนัก แต่ก็หวังว่า 9 ข้อที่นำมาฝากจะหนำใจคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ดี ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการเคลื่อนไหวของหุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัว เช่น กลุ่ม PTT, CPALL, ADVANC ซึ่งผมเชื่อว่าอาจจะเป็นแบบนี้ต่อไปจนถึงสิ้นปี ในช่วงที่พลังเม็ดเงิน LTF และ RMF เข้าสู้ตลาดหุ้นผ่านทางนักลงทุนสถาบันในประเทศ และหุ้นใน SET50 ก็น่าจะเป็นคีย์สำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดจากนี้ไป

Monday, November 10, 2014

พี่ Mark พระโขนง !?

8 พ.ย. 2557


โพสต์เรื่องพี่ Mark (พระโขนง?... ไม่ใช่!) เมื่อวานได้รับความสนใจมากทีเดียวครับ วันนี้เลยขอเก็บตกอีกประเด็นที่น่าสนใจ นำมาฝากกัน

มีคนถามพี่ Mark ต่อว่า "แล้ว Facebook ตอนนี้ดูขาดสีสัน หรือ เริ่มขาดความน่าสนใจแล้วรึป่าวครัช ?"

พี่ Mark ตอบว่า..

"บ่องตง เป้าหมายของพี่ไม่เคยคิดที่จะทำให้ Facebook ดูเฟี้ยวครับน้อง พี่เองก็ไม่ใช่คนเฟี้ยว (Cool) และไม่เคยพยายามที่จะทำให้ตัวเองดูเฟี้ยว"

"เป้าหมาย (ในการทำธุรกิจของพี่) ไม่จำเป็นจะต้องทำให้สินค้าหรือบริการดูเฟี้ยวฟ้าวน่าตื่นเต้นที่จะใช้ เพียงแค่เราทำให้ให้มันมีประโยชน์ที่จะใช้.. ก็พอ (คำนี้ขีดเส้นใต้เลยนะครับ)"

พี่ Mark เปรียบเทียบการใช้ Social network กับการใช้ไฟฟ้าหรือน้ำประปาครับ เค้าบอกว่า เราคงไม่แบบกลับถึงบ้านปุ๊ปเปิดไฟแล้วร้อง wow อะไรแบบนี้ เพียงแต่มันจำเป็นต้องเปิดต้องใช้ แม้จะไม่ wow ก็ตาม ซึ่งประเด็นนี้ผมว่าสำคัญเลย จึงขอสรุปเป็นคำพูดของตัวเองง่ายๆ ครับว่า

"ในการทำธุรกิจให้สุดยอด คุณต้องเปลี่ยนความรู้สึกลูกค้าต่อสินค้าและบริการของคุณจาก 'ใช้หรือไม่ใช้ก็ได้' ให้เป็น 'ไม่ใช้ไม่ได้' เท่านี้แหละ เฟี้ยวที่สุดแล้น!"


Friday, November 7, 2014

Mark Zuckerberg: First public Q&A

7 พ.ย. 2557



พี่ Mark Zuckerberg ได้จัด first public Q&A บน Facebook (เรียกพี่เพราะอายุมากกว่าผม 3 ปี แต่เกิดเดือนเดียวกัน) โดยให้คนเข้าไปคอมเม้นถามอะไรก็ได้ หรือไป vote คำถามที่ชอบโดยการกด Like แล้วเค้าจะมาตอบแบบสดๆ

มีอยู่คำถามนึงผมชอบมากครับ มีคนถามพี่ Mark ว่า “Why do you wear the same T-shirt every day?”

ไอคนฟังก็คิดว่า เอ๊ะ เฮียจะหยอดมุกอะไรกลับมานะ.. แต่ป่าวครับ พี่ Mark ตอบแบบซีเรียสกลับมาว่า (ขออนุญาตแปลเอง)

“เอิ่ม คือมันมีทฤษฎีทางจิตวิทยาบอกไว้อะนะว่าไอการตัดสินใจจุกจิกหยุมหยิม เช่น วันนี้จะใส่ชุดอะไรดี หรือจะกินข้าวเช้าอะไรดีนะ พวกนี้ มันทำให้เราเสียเวลา เสียพลังงานไปมาก ผมไม่อยากจะไปเสียเวลากับการคิดอะไรพวกนี้”

“บอกตรง ผมโชคดีแค่ไหนที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ได้ตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วแบบว่าได้ดูแลคนมากกว่าพันล้านคนบนโลกออนไลน์แห่งนี้ ดังนั้น ผมจึงอยากจัดการชีวิตของผมให้มันแบบมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจน้อยที่สุด โดยเฉพาะเรื่องโง่ๆ หรือเรื่องที่ไม่สำคัญในชีวิต บ่องตง เรื่องเดียวตอนนี้ที่ผมแคร์ คือ How to best serve this community (Facebook) !!”

“ผมว่าอย่าง Steve Jobs หรือ Barack Obama เองก็ใช้ทฤษฎีเดียวกับผม ถ้าสังเกตส่วนใหญ่ทุกวันเค้าก็ใส่เสื้อรูปแบบเดิมๆ นั่นละ ยิ่ง Jobs เนี่ยนะ เค้าบอกเลยว่าอยากให้ทุกคนใน Apple ใส่เสื้อตัวเดียวกันด้วยซ้ำ กระต๊ากก!!”

“สุดท้าย ผมอยากบอกว่าผมมีเสื้อสีเทานี้หลายตัว ไม่ได้ใส่ซ้ำนะคร้าบบ 55+”

ที่มาเล่า เพราะผมเองก็มีแนวคิดเรื่องนี้คล้ายๆ พี่ Mark ครับ ผมมักจะกินข้าวเช้าร้านเดิมๆ เพราะขี้เกียจมาเสียเวลาคิดว่าจะกินอะไร การแต่งตัวผมแต่ละวันก็เพลนๆ ใส่ชุดรูปแบบเดิมๆ นิละไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง

ส่วนใครอยากดูคลิปที่เฮียพูด ตามลิ้งค์ล่างนี้เลยครับ นาทีที่ 42 นะ https://www.facebook.com/video.php?v=828790510512059&set=vb.823440467713730&type=2&theater


Wednesday, October 29, 2014

แนวต้านสำคัญ

สวัสดีครัชชช
เขียนเมื่อ 29 ตุลาคม 2557

หากจำกันผมได้เขียนไว้ในบทความ “ยืนหัวโด่”เมื่อต้นเดือน พร้อมกับตอกย้ำในบทความ “มีเสียว” เมื่อกลางเดือนไว้ว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะยืนได้ที่ระดับ 1520-1530 ก่อน ซึ่งเป็น gap ที่ดัชนีเคยเปิดเอาไว้เมื่อครั้งกระโน้น ซึ่ง SET ก็ทำให้เราไม่ผิดหวังครับเพราะได้ทำจุดต่ำสุดของเดือนไว้แค่ที่ 1519.76 จากนั้นก็ซิกแซกขึ้นเรื่อยๆ มาจนถึงระดับ 1560 ในปัจจุบัน

ตรงนี้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative model) ของหลักทรัพย์บัวหลวงก็คอนเฟิร์มครับเพราะไอเจ้า Medium-term Bull2Bear ratio ได้ตกจากพื้นที่เสี่ยงสูง (High risk zone) มาอยู่ต่ำกว่าพื้นที่ปกติ (Neutral zone) เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายถึงความเสี่ยงขาลงจำกัด และตลาดพร้อมปรับตัวขึ้น



อีกทั้งหากเหลือบไปดูเจ้า Yield spread ระหว่างพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี กับอัตราเงินปันผลล่วงหน้าของตลาดหุ้น จะพบว่ามันตกจากพื้นที่แพงมาอยู่ในพื้นที่ปกติเรียบร้อยแล้ว แบบนี้ถึงตลาดหุ้นไทยอาจจะยังไม่ได้ขึ้นแรงจากนี้ไป แต่ผมว่าโอกาสลงแรงๆ ในช่วงนี้ถือว่าค่อนข้างน้อยแล้วละ 



สุดท้ายขอแวะมาแตะเจ้าอนุพันธ์สะบั้นหัวใจซะหน่อยครับ เจ้า SET50 Index Futures !!! คือตอนนี้ มันหล่อมากอะ บอกเลย แต่ผมอยากให้ดูอย่างนี้ครับว่า ในช่วงที่ดัชนีปรับฐานลงมา หากลากเส้นแนวโน้มขาลงก็จะได้กรอบดังรูป โอเคละการที่ดัชนีไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ก็ถือได้ว่าแนวโน้มขาลงได้ถูกสกัดไปแล้วระดับหนึ่ง แต่สัญญาณที่จะคอนเฟิร์มนั้นผมอยากให้ดูว่ามันจะสามารถเบรกและขึ้นมาปิดสวยเหนือกรอบนั้นได้รึป่าว (แถว 1036-1040) ถ้าได้ ดัชนีก็มีลุ้นขึ้นสวรรค์อีกรอบ แต่ถ้าไม่ได้ตรงนี้ละที่เค้าเรียกว่า“แนวต้านสำคัญ” 



Wednesday, October 15, 2014

มีเสียว

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 15 ตุลาคม 2557

เห็นช่วงนี้ฮิตกันเหลือเกินเรื่องน้ำมันโลกลงรุนแรงก็เลยเอากราฟตั้งกะปีมะโว้มาให้ดูแล้วก็ขอพูดถึงซักกะหน่อย



จริงๆ แล้วน้ำมันโลกลงรุนแรงหนะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมครับเนื่องจากเราเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันสุทธิ (Net oil importer) เพราะงั้นเวลาน้ำมันลง จะหมายถึงต้นทุนนำเข้าถูกลง ซึ่งนักวิเคราะห์ของบัวหลวงเราได้ทำประมาณการไว้แล้วว่าทุกๆ 5% ของราคาน้ำมันที่ลงจะส่งผลให้ GDP บวกประมาณ 0.45% แต่ (ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจดีๆ) จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมลดลงเล็กน้อย ประมาณ 0.1% (เนื่องจากกลุ่มพลังงานมีสัดส่วนค่อนข้างมากใน SET Index ถึง 1/5)
   
ผมคงไม่ล้วงลึกไปกว่านี้ในเรื่องราคาน้ำมัน ด้วยความรู้เพียงผิวเผิน แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของ demand supply นั่นละครับ รวมถึงมีเรื่องของต้นทุนการผลิตเข้ามาเกี่ยวด้วย ซึ่งโดยประมาณแล้วน่าจะอยู่ที่ราว 80 เหรียญต่อ 1 บาร์เรล (แต่มัน vary มากนะครับ บางแหล่งขุดเจาะต้นทุนการผลิตแค่ 30 เหรียญก็มี)
  
กลับมาที่ภาพตลาดเราก็เป็นไปอย่างที่เดาไว้ในสัปดาห์ที่แล้วครับว่าระดับ 1520-1530 น่าจะยังเอาอยู่ก่อน แต่ความเสียวหลังจากนี้น่าจะเริ่มเพิ่มขึ้นแล้วละ เพราะทั้งเจ้าแท่งเทียนรายสัปดาห์ของ SET และ SET50 ได้ออกมาโชว์เดี่ยวอยู่นอกกรอบขาขึ้นที่ลากไว้ตั้งต้นปีซะแล้น แบบนี้คงต้องพึ่งพลังนักลงทุนสถาบันในประเทศ พลังกองทุน LTF, RMF และพลังรายย่อยว่าจะดันกันไปได้ถึงไหน เพราะฝรั่งหัวเขียวคงจะไม่เข้ามาหนักๆ ในช่วงนี้เป็นแน่แท้กระมัง


Wednesday, October 8, 2014

ยืนหัวโด่

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2557

ไม่ได้เจอกัน 2 สัปดาห์กลับมาอีกที ดัชนี SET ลงจากจุดสูงสุดที่ 1602 เมื่อวันที่ 29 ก.ย. มาแชแม้อยู่แถว 1530-1540 ซะแล้น ซึ่งรอบนี้ถือว่าเป็นการปรับตัวลงราว 4% ครับ ทำให้ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยลงมาอยู่ที่ราว +18% นับจากต้นปี

อย่างไรก็ดี หากท่านสังเกตจากกราฟ จะเห็นว่าดัชนี SET50 ออกอาการทรงเสียก่อน (คือหลุดจากกรอบขาขึ้นก่อนดัชนี SET) แสดงว่าต้องเกิดจากหุ้นใหญ่แน่ๆ ที่พัดพาเราลงมา ซึ่งพอไปดูแล้วก็จริงครับ เป็นกลุ่ม Bank และ ICT นั่นละที่ลงมากกว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่หุ้นพลังงานตัวใหญ่อย่าง PTT ยังยืนหัวโด่อยู่ได้ 


นัยของผมก็คือ หุ้นตัวใหญ่ๆ เวลาลงแรงๆ หากพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ ประเดี๋ยวมันก็มีแรงซื้อกลับเข้ามา (ทั้งจากนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศ) แล้วยิ่งชำเลืองไปเห็นว่าเมื่อวันที่ 13 สิงหา ทั้งดัชนี SET และ SET50 ได้เปิด gap ไว้แถว 1520-1530 และ 1020-1025 ..เอ๊ะ มันช่างใกล้กับดัชนีที่ระดับปัจจุบันซะเหลือเกิน ผมก็เลยเดาว่าด่านแถว 1530 น่าจะเอาอยู่ก่อนรึป่าวนะ? อาจจะมีเด้งก่อนไหม? แล้วจะขึ้นจะลงอย่างไรก็ว่ากันอีกทีดีมั้ย?

แต่ที่ต้องย้ำก็คือ เนื่องจากตลาดได้หลุดจากกรอบขาขึ้น (ที่ผมลากจากต้นปี) ไปแล้วเรียบร้อย ตรงนี้แปลว่าถึงจะมีการรีบาวด์ แต่โอกาสที่จะขึ้นทางเดียวเหมือนเดิมนั่นท่าจะยากซะแล้วละครับ จากนี้ ตลาดน่าจะอยู่ในรูปแบบไซด์เวย์ไปเรื่อยๆ และความผันผวนในช่วงที่เหลือของปีน่าจะมีมากขึ้นหากเทียบกับช่วงต้นปีครับ 

Wednesday, September 24, 2014

แก๊งค์ขาซิ่ง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 24 กันยายน 2557

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านจะเห็นขาใหญ่แต่ละกลุ่มที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาช่วยพยุงตลาด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงานนำโดยพี่ใหญ่ PTT กลุ่มธนาคารนำโดยแบงค์ดอกบัว BBL และล่าสุดก็กลุ่ม ICT นำซิ่งโดย 3 โจ๋ ADVANC DTAC INTUCH
  
โดยเฉพาะกลุ่ม ICT และ พลังงานที่ยัง underperform ดัชนี SETอยู่ราว 4% และ 9% ตามลำดับหากนับจากต้นปีจนถึงปิดเช้าวันที่ 24 ก.ย. (กลุ่มธนาคารปล่อยไปเหอะเพราะ outperform แต่ยังช่วยพยุงอีก)



แม้ท่านกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯได้ออกมาเตือนแล้วว่าให้ดูดีๆนะ หุ้นบางตัวที่ PE หลายร้อยเท่าราคามันอาจไม่สมเหตุสมผลต้องระวัง ต้องวิเคราะห์ให้ดีก่อนลงทุน แต่หากมองในภาพรวมแล้ว ก็นั่นละครับ หุ้นในกลุ่มใหญ่ยังช่วยพยุงตลาดไว้อยู่ดี
  
อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เมื่อเร็วๆ นี้ท่านนายกฯประยุทธ์ได้บัญชาให้จัดหนักจัดเต็มกับเงินงบประมาณเริ่มในไตรมาสสี่ปีนี้ครับ มูลค่าก็ไม่มากไม่น้อย 1.1 ล้านล้านบาทเท่านั้น.. หลักๆ ที่จะไปลงก็คือการลงทุนในประเทศนั่นละ ซึ่งถ้าคิดบวกลบคูณหารแบบง่ายๆ โดยให้ GDP ประเทศไทยเรา 14 ล้านล้านบาท แปลว่ามูลค่าตกประมาณ3 ล้านล้านบาทต่อ 1 ไตรมาส ท่านนายกฯให้จัด 1.1 ล้านล้านบาท นั่นหมายถึง 37%ของ GDP เลยเชียวนะ! เพราะงั้นไม่แน่ GDP ไตรมาส 4 ปีนี้อาจจะโตถึง 2 หลักก็เป็นได้ โฮะๆๆ
  
เอาละท้ายสุด ก็อยากฝากไว้ครับว่า หากท่านยังไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้จริงจังก็อย่าไปลงทุนในหุ้น PE หลักร้อยเลยครับ เสี่ยงไป ยังมีหุ้นดีๆ อีกหลายตัวที่พร้อมให้ท่านสอย หรือหากยังไม่เจอจริงก็ถือเงินสดไว้ก่อนก็ได้ไม่ต้องรีบ ตำนานนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ยังเคยบอกไว้เลยครับว่า “จริงๆ แล้วการถือเงินสดก็เหมือนกับการถืออนุพันธ์ประเภทหนึ่งที่ไม่มีวันหมดอายุ เพราะเราสามารถที่จะเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินชนิดใดและเมื่อไหร่ก็ได้” นั่นละครับไม่พร้อมก็รอ พร้อมเมื่อไหร่ ค่อยจัดหนักจัดเต็มไปเลย!

Wednesday, September 17, 2014

PTT และผองเพื่อน

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 17 กันยายน 2557

ในที่สุดเราก็ได้เห็นธนาคารชาติจีน (PBOC) จัดหนักจัดเต็ม ด้วยการอัดฉีดเงิน 5 แสนล้านหยวน (ราว 2.6 ล้านล้านบาท) เข้าสู่ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของเค้า 5 แห่ง (ตกธนาคารละ 1 แสนล้านหยวน) ผ่านโปรแกรมที่เรียกว่า Standing Lending Facility เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากตัวเลข Factory output และ Retail sales ของเค้าเมื่อเดือนก่อนประกาศออกมาโหลยโท่ย นักวิเคราะห์ต่างพากันคำนวณครับว่าการอัดฉีดครั้งนี้เทียบเท่ากับการลดอัตรากันสำรองของธนาคาร (RRR) ลงถึง 50 basis point เลยทีเดียวเชียว แต่ตลาดหุ้นจีนก็ไม่ได้ตอบสนองต่อข่าวนี้มากนัก เนื่องจากได้มีการคาดการณ์มาก่อนบ้างแล้ว อย่างไรก็ดี ผมมองว่าการลงไม้ลงมือของธนาคารแห่งชาติจีนครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่าเค้าพร้อมจัดหนักจัดเต็มนะหากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ยังไม่ดีขึ้น ซึ่งมันช่างคล้ายกับการจัดหนักจัดเต็มของธนาคารแห่งชาติอเมริกา (Fed) ยุโรป (ECB) ญี่ปุ่น (BOJ) รวมถึงอังกฤษ (BOE) ในช่วงที่ผ่านมาซะเหลือเกิน
  
ส่วนบ้านเรา ก็ไม่รู้ซินะ พอเห็นเรื่องการปฏิรูปราคาพลังงานในไทยแล้วก็พลันไปนึกถึงเหตุการณ์ปฏิรูปพลังงานที่เกิดขึ้นในประเทศจีนและอินเดียในช่วงปี 2008-14 ซะอย่างนั้น Morgan Stanley เค้าได้ประเมินไว้ครับว่า หากยึดหุ้นพลังงานอย่าง PetroChina, Sinopec, BPCL, และ ONGC เป็นหลักในการคำนวณ หุ้นกลุ่มพลังงานของจีนและอินเดียในช่วงนั้นได้ถูก Re-rate P/E ขึ้น จาก 8-9 เท่า เป็น 11-12 เท่าเลยเชียวละ โอ้วว แล้วบ้านเราละ.. เอากะเค้าบ้างไหม?



พอเป็นซะแบบนี้ เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานในบ้านเรามีขนาดใหญ่ถึง 1/5 ของมูลค่าตลาดหุ้นไทย ผมก็เลยคิดว่าโอกาสที่ตลาดจะลงแรงๆ แบบเทกระจาดในช่วงนี้น่าจะ ‘ยากส์’ เพราะข่าวเรื่องการปฏิรูปราคาพลังงานนี้คงทำให้หุ้นอย่าง PTT และผองเพื่อนช่วยกันพยุงตลาดเอาไว้อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง อย่างดีตลาดหุ้นไทยก็อาจลงมาพักฐานแถวเป้า Base-case ปีนี้ของหลักทรัพย์บัวหลวงที่ 1530 เว้นซะเสียว่ารัฐบาลจะมีเซอร์ไพรส์ออกนโยบายใหม่ในทางตรงกันข้ามกับที่ตลาดคาดการณ์หรือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ แย่งเซอร์ไพรส์ก่อนด้วยการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้นั่นละครับ 



Wednesday, September 10, 2014

ยุ่นปี่

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 10 กันยายน 2557

ผมเคยเขียนถึงการลงทุนในตลาดหุ้นจีนในบทความเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้เชียร์ให้ซื้อ แต่ก็แอบดีใจว่าตลาดหุ้นจีนก็ได้ขึ้นมาราว 6%จากวันนั้นถึงวันนี้.. คราวนี้เลยจะพาคุณผู้อ่านไปเที่ยวประเทศอื่นในแถบเอเชียเหนืออีกดูบ้าง ประเทศนั้นคือประเทศยุ่นปี่ ญี่ปุ่นครัช
  
Morgan Stanley ยักษ์ใหญ่การเงินชื่อดังของโลกได้ออกบทวิเคราะห์สะท้านทรวงเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาครับว่า ตอนนี้เค้าชอบหุ้นญี่ปุ่นที่ซู้ดด เหตุผลก็เพราะว่าการส่งออกของญี่ปุ่นจะค่อยๆ ดีขึ้นจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดี แม้ว่าการบริโภคในประเทศจะยังอ่อนแอ แต่นั่นจะทำให้ธนาคารกลางของเค้า (BOJ) ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก (ลุ้นผลประชุมปลายเดือนตุลาฯ) เอ้า งี้เยนก็ยิ่งอ่อน ส่งออกก็ยิ่งดีนะซิ!



ยิ่งไปกว่านั้น หันไปดูในแง่ผลประกอบการบ้าง Morgan Stanley บอกว่าบริษัทในญี่ปุ่นอ่ะประกาศผลกำไรมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ถึง 7 ไตรมาสติดกันแล้วนะ แม้กระนั้น PE ก็ยังถูกอยู่เลย.. ทีมวิเคราะห์เค้าเลยคาดการณ์กันว่า ROE ของบริษัทจะโตอีก 50 bps ในปีปฏิทิน 2015 เลยเชียวละ (อ๊ะๆ เหลือบไปดู upside จาก Target price เฮียเค้าให้ไว้ถึง 15% เลย)



หันกลับมาบ้านเรา ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ควรจะมีการปรับตัวบ้างเล็กน้อยเช่นเดียวกันกับตลาดอนุพันธ์ละครับ หลังจากเกิดสัญญาณ Bearish Divergence บนตัวเจ้า SET50 Futures ในภาพรายวันเมื่อสิ้นวันที่ 9 ก.ย. ที่ระดับ RSI เข้าใกล้เขตซื้อมาก (ใกล้ 70) อย่างไรก็ดีผมคิดว่าการปรับตัวรอบนี้จะไม่ได้รุนแรงอะไร (ไม่น่าหลุดกรอบขาขึ้น) แนะนำให้ลองดู RSI ประกอบ ถ้าถอยลงมามากเท่าใดดีกรีการปรับตัวน่าจะค่อยๆเบาลงมากเท่านั้นครับ


แล้วพบกันใหม่บทความหน้าครับ : )

Wednesday, September 3, 2014

10 ปีที่ผ่านมา

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2557

ผมรู้สึกว่าประเทศไทยเรากำลังวิ่งเข้าหาประเทศตะวันตกหรือประเทศพัฒนาแล้วในหลายๆ เรื่องครับ ลองนึกย้อนไปเมื่อซัก 10 กว่าปีก่อน ไม่ค่อยเห็นหรอกที่คนหนุ่มสาวหรือเด็กในวัยเรียนจะแยกจากพ่อแม่มาอยู่เอง ในขณะที่การทำแบบนั้นเป็นเรื่องปกติของฝรั่งมาช้านานแล้ว หันกลับมาดูปัจจุบัน การเดินทางในกรุงเทพฯ เริ่มสะดวกมากขึ้น มีคอนโดฯ ผุดขึ้นเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่รถไฟฟ้าผ่าน เราเริ่มจะรู้สึกว่าไม่แปลกแฮะที่เด็กสมัยนี้จะย้ายมาอยู่คอนโดฯ เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ในขณะที่ผู้ปกครองก็อาจมองว่าเป็นการฝึกให้ลูกๆ ได้รู้จักใช้ชีวิต และยืนได้ด้วยลำแข้งตนเอง มีการซื้อคอนโดฯ ไว้เพื่อเป็นแหล่งพักพิงแหล่งที่ 2 หรือบ้างก็ไว้เก็งกำไร.. ลองคิดเล่นๆ ครับว่าหากอนาคต 10-20 ปีข้างหน้ามีการเดินทางสะดวกสบายทั่วประเทศ พฤติกรรมคนต่างจังหวัดก็ต้องเปลี่ยน สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ต้องผุดตาม แล้วใครบ้างละที่ได้ประโยชน์?



อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเปลี่ยนไปค่อนข้างชัดก็คือ “ความรู้สึกคนไทยกับการทำประกัน” ผมว่า 10 ปีที่ผ่านมานี้ภาพลักษณ์ธุรกิจประกันดูดีขึ้นนะ คนไทยเริ่มเห็นว่าการทำประกันไม่ว่าจะประกันชีวิตหรือประกันภัยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันช่วย “ปิดความเสี่ยง” ในขณะที่แท้จริงแล้วถ้ามองย้อนไปชาวตะวันตกเค้ารู้สึกแบบนี้มาช้านานแล้ว (ปัจจุบันคนอเมริกาถือประกันเฉลี่ยคนละ 5-6 ฉบับ คนไทยถือเฉลี่ยคนละไม่ถึง 1 ฉบับ!) ซึ่งแนวโน้มนี้ผมคิดว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตเพียงแต่อัตราเร่งจะมากจะน้อยก็ขึ้นกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ลองนึกดูว่าในอดีตจากที่คนเบือนหน้าหนีเลยเวลาใครมาเสนอขายประกัน อาจจะเปลี่ยนเป็นฟังซักหน่อยก่อนแล้วค่อยหนี หรือฟังนานขึ้นหน่อยแล้วหยวนๆ ซื้อ.. ไม่แน่ในอนาคตอาจจะเปลี่ยนเป็นเราที่ต้องวิ่งเข้าหาคนขายประกันก็เป็นได้ครับ

สรุป หากลองนึกๆ ดีก็จะพบครับว่าพฤติกรรมคนไทยที่กำลังเปลี่ยนไปนั้น ได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนนานแล้วในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สาเหตุก็ง่ายๆ “เพราะมนุษย์เรามียีนเดียวกัน” ยังไงพฤติกรรมพื้นฐานควรจะต้องไม่ต่างกัน.. ความจริงมีอีกหลายเรื่องที่ผมรู้สึกว่าเปลี่ยนไปในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ไว้จะทยอยเล่าให้ฟังนะครับ (ใครนึกออกอีกก็แชร์กันก่อนได้) ส่วนภาพตลาดในสัปดาห์นี้ต้องบอกว่าเหนียวแน่นหนึบ มาจากความเชื่อมั่นที่มากขึ้นจากการที่ได้เห็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ผมมองว่าข้อดีอีกข้อหนึ่งของการที่เรามีรัฐบาลทหารก็คือสามารถลดขั้นตอนในการอนุมัติโครงการต่างๆ ออกไปได้ พูดง่ายๆ นโยบายใดที่ดีในรัฐบาลก่อนๆ ที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รับการอนุมัติ น่าจะได้นำมาใช้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในรัฐบาลนี้ด้วยครับ  

Wednesday, August 27, 2014

Chandelier Stop

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 27 สิงหาคม 2557

ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมายังคงไต่ผาสูงชันขึ้นมาเรื่อยๆ จนทำจุดสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งในวันนี้ แต่ผมกลับรู้สึกว่าหุ้นขนาดใหญ่กลับไม่ค่อยขึ้นมากเท่าไหร่ เป็นหุ้นขนาดกลาง-เล็กซะมากกว่าที่ช่วยกันดันดัชนี (จำได้ว่าอาทิตย์ก่อนหุ้นอะไรนะ ABCDE ตัวเดียวมีผลทำให้ดัชนีในวันนั้นบวก 2-3 จุด!) ซึ่งตรงนี้ก็ไปสอดคล้องกับสัญญาณเตือนที่นักวิเคราะห์ของเราแจ้งมาครับว่าปริมาณการซื้อขายของหุ้นนอก SET100 ณ ขณะนี้อยู่ที่ 43% ของปริมาณการซื้อขายทั้งตลาดแล้วนะ! ซึ่งนี่เป็นระดับที่สูงผิดปกติ บอกเลย เพราะทุกครั้งที่ตัวเลขนี้เกิน 40% ตลาดจะมีการพักตัวหรือปรับฐาน เว้นอยู่ครั้งเดียวเมื่อเดือนมกราปี 2012 เพราะตอนนั้นตลาดยังไม่แพงมาก (ดูรูปประกอบ)




อย่างไรก็ดี ตรงนี้ก็เป็นแค่สัญญาณเตือนครับ ไม่ได้บอกว่าหุ้นจะต้องลงกระฉูดอย่าเพิ่งตกใจ เอางี้ละกัน สำหรับนักลงทุนเล่นรอบ นักเก็งกำไร หรือนักใช้ใจเทรด TFEX ผมขอแนะนำให้รู้จักกับเจ้า Trailing Stop หรืออีกชื่อหล่อๆว่า Chandelier Stop
  
(หลายท่านคงรู้จักดีอยู่แล้ว) หลักการของเจ้า Trailing Stop หรือ Chandelier Stop ก็ไม่มีอะไรมากครับ เพียงแค่หากท่านมีหุ้นก็ถือหุ้น หากมี Futures ก็ถือ Futures ต่อไปตราบเท่าที่ยังไม่หลุดจุดที่เราตั้งไว้ (โดยไม่ต้องสนที่คนคาดว่าตลาดจะขึ้นหรือจะลงเพียงใด) และเราก็ปรับจุดนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามดัชนีหรือหุ้นที่เพิ่มขึ้น.. พูดง่ายๆ มันเป็นจุดที่เอาไว้ protect gains นั่นละครับ
   
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณซื้อ S50U14 ได้ที่ราคา 1020 ในขณะที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1049 คุณก็อาจจะตั้ง Trailing Stop ไว้ที่ 1040 หมายถึง ตราบใดที่ S50U14 ยังไม่หลุด 1040 เราก็ถือเจ้า S50U14 ต่อไปเรื่อยๆ ยังไม่ขายทำกำไร หากในวันต่อมาเจ้า S50U14 ขึ้นต่อไปที่ 1060 คุณก็อาจจะขยับ Trailing Stop ตามมาที่ 1050 จุด (แม้เจ้า S50U14 จะแกว่งผันผวนเพียงใดขอเพียงแต่ไม่หลุด 1050 คุณก็ถือต่อ ถ้าหลุดก็ขาย) และถ้าวันถัดมาเจ้า S50U14 ยังขึ้นต่ออีก คุณก็แค่ขยับ Trailing Stop ตามไปอีกก็แค่นั้น

เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยลดโอกาสในการตื่นตกใจขายหมูของคุณไปได้เกือบครึ่งแล้วละครับ ลองดูนะ ไม่ยาก 

Wednesday, August 13, 2014

นอกกรอบ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2557

ผ่านพ้นช่วงวันหยุดยาวกันไปกลับมาเริ่มงานใหม่ ตลาดหุ้นไทยก็ขึ้นให้ชื่นใจไล่ตามตลาดภูมิภาคในช่วงที่ปิดไปอย่างน่าเกรงขาม จากรูป จะเห็นว่า SET Index วิ่งเลี้ยงตัวสวยในกรอบขาขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีและก็ยังไม่มีท่าทีจะหลุดนอกกรอบให้วุ่นวายใจ แถมยังยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน (สีฟ้า) ได้อย่างสวยหรูอีก แบบนี้ก็คงไม่ต้องสืบละนะครับว่าเชียลงไปก็มีแต่ปวดร้าว เว้นเสียแต่มันจะหลุดกรอบขาขึ้นนี้แบบหมดจดเท่านั้น   



ในขณะที่ เหลือบไปมองเจ้ากองตุน เอ้ย กองทุนไทย ก็แหมขยันออกกันจัง Trigger funds เนี่ย ผุด ผุด ผุด รวมๆกันในช่วงนี้ก็กว่า 3 พันล้านบาทเข้าให้ ตลาดหุ้นไทยเลยเหนียวซะยิ่งกว่าตังเมซะอย่างนั้น



ถัดมาลองมาดูตัวเลขสัดส่วนการซื้อขายของฝรั่งกันครับ จะเห็นว่าลดลงพรวดในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ (จาก 30.1% ในไตรมาส 1 เป็น 18.9% ในไตรมาส 3) ในขณะที่รายย่อยอย่างเราๆ นั่นละครับ ตัวดี ซื้อขายกันจัง สัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเห็นๆ (จาก 47.5% ในไตรมาส 1 เป็น 61.7% ในไตรมาส 3) บ้างก็เลยเอามาสรุปกันว่าฝรั่งเค้ารอจังหวะเป้งๆอยู่ตลาดหุ้นไทยลงเมื่อไหร่ สอยแหลกแน่... มันก็เลยไม่ลงซักทีนะซิ ฮือๆ

สุดท้ายของบทความนี้แต่ไม่ท้ายสุด ผมนำเรื่องของเพดานการคุ้มครองเงินฝากมาฝากครับ เพราะว่ามันกำลังจะถูกลดลงครึ่งหนึ่งจากที่คุ้มครอง 50 ล้านบาท เหลือ 25 ล้านบาทในวันที่ 11 สิงหาคมปีหน้า และจะเหลือคุ้มครองเพียง 1 ล้านบาท ในวันที่ 11 สิงหาคมอีกปีถัดไป ตรงนี้ก็เป็นที่คาดการณ์กันว่าอาจจะมีเงินบางส่วนวิ่งวนไปเข้าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่หุ้น (เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ราว 10 ล้านล้านบาท ถ้าปีหน้าลดการันตีลงมาครึ่งหนึ่งก็อาจจะมีสภาพคล่องราว 5 ล้านล้านบาทที่จะวิ่งไปหาสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้น)



บทสรุปของผมก็คือ ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้น่าจะยัง resilient อยู่ครับ หมายถึง แม้จะมีปัจจัยภายนอกและภายในมากระทบทำให้หุ้นตกซักเพียงใด หุ้นไทยก็น่ามีแรงซื้อเข้ามาช่วยพยุงอยู่ได้ตลอด..แต่จะเป็นแบบนี้ไปได้อีกนานซักแค่ไหน อันนี้ก็ต้องติดตามตอนต่อไปละครับ!

Wednesday, July 30, 2014

ประเทศจีน

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 30 กรกฎาคม 2557

ตลาดหุ้นไทยดูเหมือนจะเริ่มห่อเหี่ยวหลังจากปรับตัวขึ้นติดต่อกันมาถึง 6 สัปดาห์ (มีขึ้นมีลงเป็นสัจธรรม) 
  
ความจริงเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนทีมนักวิเคราะห์เชิงปริมาณของบัวหลวงเราได้ออกมาคอลว่าตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับลงแรง (ณ ช่วงเวลานั้น SET Index อยู่ที่ราว 1530-1540) แต่ดัชนีก็ได้ปรับตัวสวนทางเล็กน้อยโดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1548 ในสัปดาห์ถัดมา

อย่างไรก็ดี ถือว่ามี error นิดหน่อยไม่ได้น่าเกลียดครับ เพราะวันนี้ทีมเดิมก็ได้ออกมาย้ำอีกครั้งครับว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานได้อยู่ (สัญญาณต่างๆ ยังบ่งบอกว่าแพง) ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ ในสัปดาห์นี้ตลาดเริ่มปรับฐานจริงบ้างละโดยล่าสุดดัชนีลงมาปิดที่ 1512.41 ณ ครึ่งเช้าของวันที่ 30 ก.ค.



ช่วงเวลาแบบนี้ ผมเลยอยากพักผ่อนพาทุกท่านแวะไปเที่ยวเอเชียเหนือกันดีกว่า โดยจุดหมายปลายทางแรกก็คือ ประเทศจีน โดยมีผลสำรวจที่น่าสนใจจาก Morgan Stanley ที่เค้าได้ทำการสำรวจความคิดเห็นนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนทั่วโลกผลปรากฎว่า ท่านเหล่านั้นเชื่อว่าตลาดหุ้นจีน (MSCI China) จะให้ผลตอบแทนที่ดีถึง 6.8% ในช่วงเวลา 12 เดือนจากนี้ครับ (เพิ่มขึ้นจาก 3.9% ที่สำรวจเมื่อเดือนก่อน)
  
เหตุผลหลักๆ ก็คือเรื่องของการปฏิรูปนโยบายต่างๆ ของจีนเค้านั่นละครับ โดยหากลงไปดูให้ลึกซักนิดก็จะพบว่าจีนกำลังใช้นโยบายการคลังขาดดุล (Fiscal deficit) ซึ่งสูงสุดในรอบ 4 ปี รวมถึงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Targeted monetary easing measures: IR/RRR cuts) ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเค้านั่นละ
  
กลุ่มที่ได้รับ Top vote ว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดใน 12 เดือนจากนี้ก็คือเทคโนโลยี (Technology) และการเงิน (Financials) ส่วนกลุ่มที่ได้รับ Bottom vote ก็คือ กลุ่มวัสดุ (Materials) ครัช



สุดท้าย พูดถึงผลตอบแทนจะไม่พูดถึงความเสี่ยงก็ไม่ได้ จากผลสำรวจ เรื่องที่เป็นที่น่ากังวลที่สุดของประเทศจีน ณ ขณะนี้ก็คือ หนี้เสียของภาคธนาคาร (Bank NPLs) และเรื่องอัตราการขยายต่อของเศรษฐกิจที่อาจเติบโตได้ช้าลง (GDP growth deceleration)
  
นิเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เป็นน้ำจิ้มเผื่อท่านใดอยากจะกระจายการลงทุนไปต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยง แต่ขอย้ำท่านต้องศึกษาข้อมูลให้มากและลึกซึ้งกว่านี้นะครับ! รู้แค่นี้ไม่พอหรอก สู้ๆ 

Wednesday, July 16, 2014

หล่อ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 16 กรกฎาคม 2557

ต้องบอกว่าตลาดหุ้นไทยหนังเหนียวฝุดๆ เพราะไม่ว่าค่ายไหน โบรกไหน คนไหน จะเชียร์ให้ตลาดลงเทกระจาดซักเพียงใด ม้านก็ไม่ยอมลง ซึ่งหากใครจำกันได้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน หลักทรัพย์บัวหลวงเราได้ “หล่อ” โดยปรับเป้าสิ้นปี SET Index จาก 1480 ขึ้นไป 1530 (ตอนนั้น SET Index อยู่ที่ 1470) โดยให้เหตุผลแบบฮาๆ ว่ากลัวถึงเป้า 555
  
แต่จากนี้ไปเนี่ยสิ ยังไง ผมก็ได้สอบถามบุรุษท่านเดิมผู้ซึ่งเป็นคนปรับเป้า SET Index เมื่อครั้งก่อน บุรุษท่านนั้นบอกว่า มันก็ขึ้นกับ Regional อะนะ ถ้าตลาดภูมิภาคขึ้น เราก็ยังขึ้นตามได้อีก แล้วไอ 1530 ที่ให้นะ มันเป็น base-case แต่ถ้า bull-case อะมันได้ถึง 1580 !!
  
แต่
  
ชะช้า เมื่อตลาดหุ้นขึ้นมาถึงเป้าแรกแล้วจะให้ขึ้นต่อพรวดๆๆ เลยก็กระไรอยู่ ทีมนักวิเคราะห์เชิงปริมาณหลักทรัพย์บัวหลวงจึงได้ฤกษ์ออกโรงออกเปเปอร์สะท้านพิภพตบตลาดให้ย่อก่อนซักนิดเพราะดัชนีมาถึง 1530 ตามที่คิดแล้วก็ควรจะพักบ้างอะไรบ้างซักกระติ๊ด



จากรูป ผมหยิบมาให้ดูเป็นน้ำจิ้ม จะเห็นว่า SET’s forward PE มันขึ้นมาอยู่ในโซนแพงซะแล้ว (รูปซ้าย) ซึ่งทุกครั้งที่มันอยู่ในโซนแพง แม้ว่าอาจจะยื้อจะยักจะนักจะนานซักเพียงไหนประเดี๋ยว มันก็ต้องมีลงมาหน่า.. ประกอบกับไปดูไอเจ้าค่าความผันผวน (E-GARCH Vol) ปรากฎว่ามันอยู่ในโซนต่ำมาเป็นเวลานาน (รูปขวา) นั่นหมายถึงโอกาสที่ความผันผวนจะขึ้นจากนี้ไป มีสูงมาก.. อันตราย?



ซึ่งถ้าลองดูในเชิงเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯก็อยู่ในโซนแพงเช่นกันครับ ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนดันเข้าใกล้โซนถูกซะงั้น
  
อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่าระยะยาวแล้วตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสอีกมากให้นักลงทุนได้จับจองเป็นเจ้าของบริษัทที่ดี ซึ่งจากนี้ไม่ว่าตลาดจะปรับฐานหรือไม่ หรือจะขึ้นพรวดๆไปไม่สนเป้าเลยก็ตาม สิ่งที่ต้องพึงระลึกไว้เสมอก็คือต้องศึกษาข้อมูลให้ดีทุกครั้งก่อนลงทุนนะครับ ต้องรอบคอบ และไม่ประมาทครับผม  

Wednesday, July 2, 2014

พลังคลื่นเต่า

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2557

ตลาดหุ้นไทยหลังจากไต่ๆ อยู่แถว 1470 ได้เกือบเดือนในที่สุดก็ปู๊ดขึ้นมาถึง 1490 ได้ในวันเปิดศักราชใหม่ของครึ่งปีหลังของปี 2014 พร้อมๆ ไปกับการปล่อยพลังคลื่นเต่าของเหล่าโบรกเกอร์ ที่มองว่าหุ้นไทยปีนี้น่าจะไปจบกันที่เกิน 1700 จุด



ในขณะที่บัวหลวงเรา ยังเก็บพลังเต่าไว้อยู่ไม่ได้ปล่อยครับเพราะเพิ่งปรับเป้าสิ้นปีขึ้นไปที่ 1530 จุด (จาก 1480 จุด) ไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน และเรายังไม่คิดว่ามันจะไปได้ไกลกว่านั้นในปีนี้ครับ

ส่วนตัวผมเองก็เริ่มตะหงิดๆ เพราะลองดูจากกราฟเจ้า S50U14 จะพบว่า เฮ้ย มันขึ้นมาใกล้ระดับสูงสุดที่ทำไว้เมื่อปีก่อนแล้วนิหน่า (แถวๆ 1010) เป็นไปได้ว่าจะมีปรับ มีพัก กันก่อนหรือเปล่า?



กระนั้นก็ยังไม่แน่ใจ เลยหันไปปรึกษา ทีมที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น ขาโหดของบัวหลวง นั่นก็คือ ทีม Quantitative Model



เลยได้ 4 กราฟหฤโหด ส่งมาให้แต่หัววันครับ (ดังรูปด้านบน) สรุปได้ว่าตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าสู่ จุดที่ความเสี่ยงสูง (Risky area) และเข้าสู่พื้นที่แพง (Expensive zone) ทำให้มีโอกาสที่ตลาดจะปรับฐานเบื้องต้นได้ราว 2-3% ในเร็วๆนี้ครับ
   
ก็ไม่รู้สินะ.. At the beginning of a bull market, few investors believed it has started. At the end of a bull market, few accept that it’s ending. ก็ต้องดูกันต่อไป ใครเล่าจะรู้จริง
  
โชคดีครับ

Wednesday, June 18, 2014

จะช้าอยู่ใย

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 18 มิถุนายน 2557

ตั้งแต่ทหารได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมาก็เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่ตลาดหุ้นไทยขึ้นปู๊ดๆ ตอบรับในเชิงบวก หลงจ้งก็ราว 5% มาเคาะใกล้ประตู1500 ได้อย่างไม่หวั่นเกรงฝรั่งหัวทอง
   
หลักทรัพย์บัวหลวงเราก็ไม่รอช้าครับ เพราะดัชนี SET ณ บัดนาว (สิ้นวัน 17 มิ.ย.) แถว 1470 ก็ใกล้เป้าหมายสิ้นปีเดิมที่ 1480 ซะเหลือเกิน จะช้าอยู่ใย ปรับหนีมันซะเลย! (แบบว่ากลัวถึง) โดยฝ่ายวิจัยได้ขยับเป้าหมายสิ้นปีขึ้นไปเป็น 1530 บ่งบอกถึง upside อีก (เพียง) ราว 4% เนื่องจากนโยบายต่างๆ ของคสช.ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นแต่ก็เตือนละครับว่า ความเสี่ยงจากนี้ไปอยู่ที่การฟื้นตัวของ 3 ใบเถา อย่างอเมริกา ยุโรป และจีน รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเลิกมาตรการ QE ภายในสิ้นปีนี้และขายคืนพันธบัตรและขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปีหน้า



ความชัดเจนเรื่องการแต่งตั้งรัฐบาลรักษาการณ์ในไทยก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องจับตามองครับ กรอบเวลาสำคัญ! จริงๆแล้วถ้าลองเปรียบเทียบกับเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปี 2006 ช่วงนั้นตลาดหุ้นไทยก็ขึ้นมาได้ราว 4-5% นับจากวันที่ประกาศแล้วก็พักฐาน ซึ่งถ้ายึดตัวเลขเดียวกัน ก็จะตรงกับดัชนีปัจจุบันที่ระดับ 1470-1480 พอดี แปลว่าแถวนี้อาจมีพักก่อนปรับฐานซักนิด แล้วจะขึ้นต่อหรืออย่างไร ค่อยว่ากัน
   
เหลือบมองตลาดอนุพันธ์ก็เอ่ะใจ เพราะเจ้า SET50 Futures (S50M14) ช่วงนี้มีราคาสูงกว่าเจ้า SET50 Index เสียอีก สภาวะแบบนี้เค้าเรียกว่า Contango ครับ บอกเป็นนัยๆ ว่าคนส่วนใหญ่มองว่าตลาดยังมีโมเมนตัมเชิงบวก เจ้าอนาคต (SET50 Futures) ถึงอยู่สูงกว่าเจ้าปัจจุบัน (SET50 Index) ซะแบบนั้น แต่ถ้าจะดูให้ละเอียดจริงๆต้องดูเปรียบเทียบกับมูลค่าทางทฤษฎีที่คำนวณโดย Cost of Carry Model ด้วยครับ.. เอิ๊กๆ บางท่านก็ว่า อย่าดูถึงกระนั้นเลย

เอาแค่ขึ้นหรือลงก็พอละ