Wednesday, November 21, 2012

AEC.. ยืดได้ หยุ่นได้~


สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2555

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (ASEAN Economic Community) กำลังอยู่ในกระแสที่นักธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตามองในปัจจุบัน.. ถามว่าทำไม? ในแง่นักธุรกิจ.. ถ้ามองจากมุมประเทศไทย ก็ต้องตอบว่า เพราะเราจะมีตลาดที่โตขึ้น 10 เท่านะสิ.. กำลังซื้อจะเพิ่มจาก 66 ล้านคนในประเทศไปเป็น 600 ล้านคนทั่วทั้งอาเซียน (ว้าว) หรือถ้ามองจากประเทศอินโดนิเซีย ก็ต้องตอบว่า เพราะเขาจะมีตลาดที่โตขึ้น 3 เท่านะสิ.. จากประชากร 240 ล้านคน ไปเป็น 600 ล้านคนทั่วทั้งอาเซียน.. ตรงนี้สำคัญครับ! เพราะเมื่อรวมกันเป็นกลุ่มแล้ว นั่นหมายถึงอำนาจการต่อรองรวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของเราบนเวทีโลกจะเพิ่มขึ้นด้วย.. ส่วนในแง่นักลงทุน.. ก็เป็นผลดีเช่นกัน เพราะเขาจะสามารถซื้อหุ้นดีมีศักยภาพสูงในตลาดหุ้นทั้งอาเซียนได้ง่ายขึ้น.. ซึ่งแน่นอน หุ้นไทยย่อมได้รับผลประโยชน์ไปด้วย โดยเฉพาะหุ้นใหญ่ศักยภาพดี 10 อันดับแรกนั่นละครับ

อย่างไรก็ดีประเด็นที่ผมจะพูดถึงในวันนี้อาจจะแตกต่างจากที่ท่านเคยอ่านจากที่อื่นอยู่มากโข.. เพราะส่วนใหญ่จะกล่าวถึงข้อดี.. แต่วันนี้ ผมจะมาในอีกมุมหนึ่ง.. มุมมืด!? ใช่ครับ ผมกำลังสงสัยว่าการมาของ AEC ในอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีผลเสียบ้างรึป่าว? เพราะในฐานะที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงตลาดทุนมาซักพัก ก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับข่าวของกลุ่มหนึ่ง นั่นคือ กลุ่มสหภาพยุโรปหรือ EU (European Union).. ลองคิดดูซิครับ ขนาดเค้าเป็น Monetary Union (การรวมกลุ่มที่สูงกว่า AEC ไปอีกขั้น) ยังมีปัญหาคาราคาซังขนาดนี้ แล้ว AEC ที่ยังเป็นแค่ Common Market จะไม่มีปัญหาบ้างหรือ? ฮ่าๆ ยิ่งคิดยิ่งสนุก.. อย่ากระนั้นเลย.. แม่นาง.. จะตอบตรงนี้มันต้องย้อนไปที่จุดเริ่มต้น!

การเริ่มต้นของอาเซียนกับอียูไม่เหมือนกันครับ.. อาเซียนเริ่มจากจุดเล็กๆ แต่ละประเทศมีขนาดไม่ใหญ่มาก (ยกเว้นอินโดนิเซีย) เราไม่มีมหาอำนาจเหมือนกับกลุ่มอียู ที่จุดเริ่มมาจากประเทศยักษ์ใหญ่อย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี.. โดยเราใช้วิธีที่ว่า.. เมื่อเรารวมกันได้ดีแล้ว ก็ค่อยดึงประเทศยักษ์ใหญ่ให้เข้ามามีส่วนร่วมภายหลัง.. อีกทั้งอาเซียนยังเป็นการรวมตัวแบบหลวมๆ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาเราจึงยืดหยุ่นได้ ตรงกันข้ามกับอียูที่รวมกันแบบ solid.. เวลามีปัญหาจึงน่าตกใจมากกว่า.. ซึ่งจุดด้อยข้อหนึ่งของ EU (ที่แรกเริ่มตั้งใจให้เป็นจุดเด่น) ก็คือ การใช้เงินสกุลเดียวกันนี่แหละครับ.. อียูไม่สามารถใช้วิธีลดค่าเงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบที่เราเคยทำเมื่อปี 40 ได้.. ถึงได้เป็นปัญหาเยื้อยืดว่าจะเตะกรีซออกจากยูโรหรือไม่? ต้องกลับไปใช้ Drachma (ค่าเงินเดิมของกรีซ) ตามเดิมไหม? แต่ผมว่าลองคิดเล่นๆนะครับ.. แทนที่จะเตะกรีซออก ลองเตะเยอรมันออกเป็นไง? เพราะเยอรมันอยู่เองได้อยู่แล้ว.. ค่าเงินยูโรจะได้อ่อน ประเทศอื่นที่มีปัญหารวมทั้งกรีซจะได้ survive.. ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลยละ 

ท่านเลขาธิการอาเซียน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เคยกล่าวไว้ครับว่า.. ในอนาคตสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย (ไม่ใช่เฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ก็คือคนจะเริ่มเชื่อมั่นใจสกุลหยวนของจีน ริงกิตของสิงคโปร์ และวอนของเกาหลีเป็นสกุลเงินกลางมากขึ้น.. สกุลเงินของเอเชียจะมีความสำคัญมากกว่ายุโรปและดอลลาร์ในอนาคต.. แต่ถึงกระนั้นเราจะยังไม่ใช้เงินสกุลเดียวแบบอียู.. เพราะประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศมีความแตกต่างกันสูงมาก ทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคม และศาสนา.. ดังนั้นเมื่อมีการพูดถึงเศรษฐกิจของเอเชีย เราจะข้ามเรื่องเงินสกุลเดียวกันไปก่อน เอาเรื่องการเปิดตลาดเข้าหากัน การเพิ่มการลงทุนระหว่างกัน และการประสานงานกันด้านนโยบายให้เรียบร้อยก่อน.. ส่วนถ้าพูดถึงกลุ่มอียู เหล่ากูรูเค้าบอกไว้เลยครับว่า.. เงินยูโรเนี่ยใช้ได้อีกไม่นานหรอก! เพราะที่ผ่านมาเป็นการรวมเฉพาะนโยบายด้านการเงิน ให้สมาชิกกู้เงิน พิมพ์ธนบัตรใช้ร่วมกันได้ แต่ไม่ได้รวมเรื่องการคลัง หรือเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีเข้าไปด้วย.. พูดง่ายๆว่าดูแลเฉพาะนโยบายการใช้จ่ายแต่ไม่ได้ดูแลเรื่องการเก็บ.. ระบบเศรษฐกิจอียูถึงมีช่องโหว่ อุดอย่างไรก็เอาไม่อยู่ (ใครว่าเอาอยู่ก็ลองอุดดู!) ในอนาคตท่านอาจจะเห็นแต่ละประเทศหันมาดูแลตัวเอง และใช้สกุลเงินเดิมของตัวเอง เช่น เยอรมนีใช้ Deustch Mark อิตาลีใช้ Lira ก็เป็นได้.. โจ้ยย!

กล่าวโดยสรุป.. ดังที่ท่านทราบกัน เป้าหมายหลักของ AEC ก็คือ 1. เพื่อสร้างตลาดและฐานการเดียวที่มีเสถียรภาพ มั่งคั่ง และมีความสามารถในการแข่งขันสูง (Single Production and Market Base) และ 2. เพื่อบรรเทาความยากจนและลดช่องว่างการพัฒนาภายในอาเซียน.. แต่ภายใต้ข้อกำหนดเหล่านี้ AEC ก็ยังเป็นการรวมตัวแบบหลวมๆครับ.. ยังสามารถยืดได้หยุ่นได้ (ไม่ใช่ปีโป้!) ไม่เหมือนกับกลุ่มอียู.. เรามีการพึ่งพากันเองภายในกลุ่มมากขึ้น อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับตลาดสำคัญของโลกอย่างจีนและอินเดียมากที่สุด.. ดังนั้นหากเกิดปัญหาขึ้นมา ผมเชื่อว่าพวกเราจะเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

Is '...' the Primary Cause?

Written on Nov 21, 2012

So much for the rally. US stocks ended flat after a choppy trading session yesterday, amid a sharp sell-off in HP shares (to a 10-year low) and renewed worries about Europe. The Fed chief’s reiteration of the threat and his repeating his assertion that the central bank does not have the tools to cushion a series of mandatory tax increases and spending cuts scheduled to go into effect early next year is a reminder once again that last night was a hope trade. Global bourses including Thai stocks will remain under pressure and trading will likely be jerky until an actual fiscal cliff is finalized.


Interesting stuffFear of higher dividend-tax rates in the US was one of the primary causes of the stock market’s weakness over the last month? You may doubt that, and it seems plausible as high-dividend-paying stocks presumably will be less charming on an after-tax basis if the rate were to go up. However, this argument is hard to square with history. There is no obvious correlation between the past changes in the dividend tax and the stock market’s performance (see pic). As such, it is difficult to argue that the changes will have a big negative impact on the stock market. What we know at this moment is only this could lead to an increase of special dividends before year-end in order to sidestep possibly higher tax rates, and that could help protect the downside of share prices through the end of this year.

Thursday, November 15, 2012

No Torpedo.. Just Tapeworm

Good morning,
Written on Nov 15, 2012



Following the two celebs saying on press yesterday, it’s time for the world most influential investors - Warren Buffet - to speak something. Whilst it’s not ideal, the founder of Berkshire Hathaway thinks that Obama must be willing to keep pushing for higher taxes on the wealthy, even if it triggers the fiscal cliff. He shrugged off any gurus’ warnings that failure to address the cliff by Dec 31 could torpedo the US economy. Also, he laughed off concerns that higher capital gains taxes could change how individuals invest in stocks or bonds. “Never in 60 years of managing money have I come up with an idea and had someone say ‘I’d do it but the tax rates are too high’.” Well, that’s ironic but true! However, he pointed that the biggest drain on the US economy and US growth going forward is healthcare. “It’s the tapeworm of our economy,” Buffet said, noting that health care costs currently account for 17% of US GDP. In a nutshell, Buffet insisted that he sees the economy improving and that jobs will eventually follow. “We will gain a lot of jobs in the next four years. I can promise you that.”

Meanwhile, at home, although the World Bank is bullish on Thailand’s prospects for 2013 foreseeing the economy could grow by 5% and exports could grow by 8%, I still worry given several risks we have to face onward, i.e. lower commodity prices – esp. for rice – slow disbursement of the government budget, the increase in the daily minimum wage, and the continuing euro-zone crisis. If you read my notes ceaselessly for a month, you would realize the bearish tone I have espoused so far saying that the SET's upside would be limited accompanied by many reasons. Still, I don’t anticipate much downside for 2012 thanks to the traditional desire of tax payers to purchase long term equity fund and retirement mutual fund to reduce their taxes before the end of this year.

Wednesday, November 14, 2012

คุยโขมงเรื่อง Gap

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2555


ผมเคยนึกสงสัยสมัยเริ่มศึกษา Technical Analysis ใหม่ๆว่า.. เอ๊ะ เมื่อกราฟราคาของสินทรัพย์ทางการเงินที่เรากำลังเล็งอยู่ เช่น หุ้น ทองคำ หรือตราสารอนุพันธ์ มีการเปิดช่องว่างหรือ gap ทิ้งไว้.. มันจำเป็นรึป่าวนะที่ราคาจะต้องกลับมาปิด gap นั้นๆ? จริงหรือไม่.. ใช่รึเปล่า.. วันนี้ผมจะมาขยายความให้ฟังกันครับ

ช่องว่างหรือ gap นั้นเกิดจาก การที่มี demand หรือ supply ค่าใดค่าหนึ่งมากกว่าอีกค่าหนึ่งมากๆ.. ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาในวันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง หรือมีช่องว่างเกิดขึ้น.. ซึ่งปกติมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่มีเหตุการณ์หรือข่าว surprise เช่น การประกาศงบที่ดีหรือแย่กว่าคาดมากๆของบริษัทจดทะเบียน, ข่าวไฟไหม้โรงงานผลิต, โรงกลั่นน้ำมันระเบิด, หรือการประกาศมาตรการ QE ของอเมริกา เป็นต้น.. ซึ่งหากเราเป็นนักพื้นฐาน ก็ต้องกลับไปเช็คว่า.. ข่าวนั้นๆ มีผลกระทบต่อผลประกอบการบริษัทในระยะยาวหรือไม่? หรือทำให้ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไปรึป่าว? ถ้าใช่ก็ควรจะขายหุ้นนั้นออกไปซะ (ในกรณีที่เป็นข่าวลบ) หรือซื้อตาม (ในกรณีที่เป็นข่าวบวก) ถ้าไม่ใช่.. ก็ถือว่าเป็นจังหวะในการซื้อของถูกเพิ่ม (ในกรณีที่เป็นข่าวลบ) หรือจังหวะขายของได้ราคาดี (ในกรณีที่เป็นข่าวบวก).. แต่หากถ้าท่านเป็นนักเทคนิค.. ก็ต้องมาวิเคราะห์กันครับว่า gap ที่เกิดนั้นเป็นแบบใด? มีโอกาสจะมาปิด gap หรือไม่? และแนวโน้มหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร?

จากรูปด้านบน เพื่อนๆลองเบิ่งดูจะเห็นครับว่า.. gap ถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามรูปแบบการเคลื่อนตัวของแท่งเทียน ได้แก่
  1. Common Gap: gap ประเภทนี้ผมมักจะไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก.. เพราะมักจะเกิดในช่วงที่ตลาด Sideways และมีปริมาณการซื้อขายไม่เยอะ.. ช่องว่างที่เกิดขึ้นจึงไม่ค่อยมีนัยสำคัญ.. ผมเรียก gap ประเภทนี้ว่า gap แบบเบาๆ เกิดได้บ่อยๆ
  2. Breakaway Gap: gap ประเภทนี้จี๊ดครับ.. เพราะมักจะเกิดหลังจากการฟอร์มตัวของราคา (สะสมพลัง) อยู่พักใหญ่.. เมื่อสุกได้ที่ ก็จะกระโดดจู๊ด (ขึ้นหรือลงว่าไป).. ที่สำคัญคือต้องมี Volume support ด้วยนะ (แม้ RSI หรือ STO อาจจะส่งสัญญาณตามไม่ทัน) ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณที่บอกถึงแนวโน้มหลังจากนั้นครับ.. เช่นจากรูป ถ้ามีการเปิด gap ไว้แล้วราคาวิ่งขึ้นต่อ แสดงว่าสินทรัพย์นั้นอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น.. โดย gap ประเภทนี้ การเคลื่อนไหวของราคาจะไม่สามารถปิด gap ได้ครับ.. แต่หากถูกปิดลง นั่นหมายถึงสัญญาณนั้นเป็นสัญญาณหลอกนั่นเอง
  3. Runaway Gap: gap ประเภทนี้มักเกิดหลัง Breakaway Gap ครับ.. ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงบริเวณกึ่งกลางของการเคลื่อนไหว.. พูดง่ายๆ คือ เป็น gap ลูกต่อ.. ดังนั้นเราจึงสามารถคาดการณ์ราคาจากนี้ไปได้ไม่ยาก เช่น ถ้าราคาหุ้นอยู่ที่ 10 บาท (หลัง Breakaway gap) และเกิด Runaway Gap ที่แถว 15 บาท.. หุ้นนั่นก็น่าจะขึ้นไปได้ถึงที่บริเวณ 20 บาท (บวกไปอีก 5 บาท).. และนี่ก็เป็นที่มาของอีกฉายาของ Runaway Gap ที่ถูกเรียกว่า Measuring Gap ครับ อ่อ! อีกอย่าง.. gap นี้จะไม่ถูกปิดลง หากสัญญาณที่เกิดเป็นสัญญาณจริงนะ
  4. Exhaustion Gap: gap นี้จะเกิดในช่วงปลายๆของการเคลื่อนไหวแล้วครับ.. โดยเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนั้นใกล้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เช่น ถ้าเกิดในช่วงปลายขาขึ้น ก็เป็นการเตือนว่าราคาอาจจะเริ่มปรับลงแล้วนะ.. หรือถ้าเกิดในปลายขาลง ก็หมายถึงราคาอาจจะเริ่มปรับขึ้นแล้ว.. ซึ่ง gap ประเภทนี้จะถูกปิดหรือไม่ก็ได้ครับผม
เป็นอย่างไรบ้างครับ? มาถึงจุดนี้เพื่อนๆคงรู้จัก gap มากขึ้นอีกหน่อย.. ซึ่งคำตอบของคำถามข้างต้นก็คือ ไม่จำเป็นเสมอไปที่ gap จะต้องถูกปิดลง ขึ้นกับเงื่อนไขต่างๆที่ได้กล่าวไว้.. ก็ลองไปปรับใช้ดูนะครับ ไม่ว่าจะเป็นกราฟหุ้น กราฟทองคำ หรือแม้แต่กราฟตราสารอนุพันธ์ที่ท่านชอบ.. ลองนะ

Tuesday, November 13, 2012

Lengthening or Reducing

Hello,
Written on Nov 13, 2012

Investors are staying on the sidelines awaiting the results of European finance chiefs meeting in Brussels today as well as budget talks in Washington this week. If Congress doesn’t act by the end of the year, USD607 billion in automatic spending cuts and tax increases are programmed to take effect starting in Jan, with a potentially devastating impact on the world’s largest economy. While the ministers in Brussels will probably not approve USD40 billion of financial aid to Greece, despite Athens passing a new austerity budget, they will agree to prevent the nation from defaulting on EUR5 billion of bills that mature on Nov 16, maybe, by lengthening the maturities or reducing interest rates. Whatsoever it means Europe will just give Athens more time, again.


Politics: The PAD (Yellow shirts) has cancelled its political activities for the weekend of Nov 24-25 to allow its supporters to participate the anti-government rally planned by the Pitak Siam group, a regrouping of the anti-Thaksin yellow shirts, the multi-coloured shirts, and supporters of the Democrat Party. The leader, Gen Boonlert, has vowed to mobilise at least 1 million people for this time rally. He aims too high… Still, I just hope no violence happens, as if so, it will inevitably affect the stock market.

Monday, November 12, 2012

Concern for Thailand

Good morning,
Written on Nov 12, 2012

The Thai market is expected to slope downward following regional bourses after Japan’s economy shrank at the fastest pace since last year’s earthquake, adding to signs that slowing global growth and tensions with China are poking the world’s third-largest economy into recession. Many gurus thus predict the BOJ could leave policy unchanged at a review next week, but some expect the central bank to spur stimulus again at a Dec 19-20 meeting, shortly after the US Federal Reserve is due to meet. However, what concerns me is not the way things in Japan are, but rather the way it could happen in Thailand. As you may know, Japan’s economy outperformed most of its Group of Seven peers in the first half of this year on healthy private consumption and spending for reconstruction from last year’s catastrophe. But growth has stalled since then as the effect of rebuilding has faded. The Japanese government last week acknowledged that its index of leading indicators gauge fell to a level indicating the onset of a recession. So what’s about Thailand? I personally think we are quite in the same situation as the country faced major floods in Q4 last year, and the effect of reconstruction is gradually fading as well. Nonetheless, I’m not saying Thailand will encounter a recession but possibly meet an economic slowdown next year.



Politics: The anti-government Pitak Siam group has confirmed it will hold its second mass rally on Nov 24 at the Royal Plaza and insisted the gathering will not be protracted. Moreover, according to an Abac Poll, it showed 61.7% of surveyed people were more interested in the rally than the debate and subsequent no-confidence vote. Finger crossed.

Thursday, November 8, 2012

An Obama Victory

Good morning,
Written on Nov 8, 2012

I’m re-posting the excerpt from our strategist’s note for you after repeatedly highlighting on the Bloomberg chats yesterday. So far, he has almost been halfway right.

Downside of 3-4% in short-term in the case of an Obama victory 
In the absence of changes to the status quo, market concerns over legislative dysfunctionality could return. If the Republican-controlled House of Representatives refused to increase the federal deficit ceiling in Jan (it increased it seven times with no argument when Bush was president) and Obama declined to use an emergency order to get around the blockage, the US Federal government would seize up. That would hit not just the equity markets, but the economy as a whole.


The Energy and Petrochemical sectors should still be avoided under the case of slowing global growth. Our focus remains domestically-driven stocks with good earnings visibility, given Thailand’s healthy consumption trend. Our YE12 target of 1275 also reflects softening global growth in the approach to New Year.

My view: His ideas pointing that upside could be limited given the Thai market’s current high PER (14.1x for 2012E, and 11.8x for 2013E) and downside could be shielded thanks to the robust earnings growth profile (19% YoY for 2013E vs a 15% regional avg) along with a sexy dividend yield (3.8% for 2013E vs a 3% regional avg) are quite similar as what I told you the past few weeks. Only a catastrophic reversal in the macro view could prompt a deep de-rating of the market, in our view. Good luck.


Wednesday, November 7, 2012

9 อรหันต์นิรมิต..พิชิตใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์(DW)

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555


เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานักค้ารู้สึกตงิดสะกิดใจ เมื่อเหลือบไปเห็นอะไรยั้วเยี้ยวิ่งฉับไวอยู่ในตลาดหุ้น.. ช้ะช้า.. มันคือเจ้า ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือ Derivative Warrants (DW) นั่นเอง.. อะโจ้ย (วิ่งมานานละเพิ่งจะเห็น..) วัยรุ่นบางท่านอาจจะสงสัยว่าเอ๊ะ! เจ้า DW นิมันต่างกับ Warrant ทั่วไปอย่างไร? แล้วจะเทรด DW ต้องรู้อะไรบ้างนะ? วันนี้นักค้าจะมาไขให้กระจ่างขึ้นละกัน


Derivatives Warrant (DW) มีข้อแตกต่างจาก Warrant ทั่วไปที่วิ่งไฉไลอยู่ในตลาดหุ้นอยู่ 3 ประการครับ 1. DW ถูกออกโดยบริษัทหลักทรัพย์.. ในขณะที่ Warrant ถูกออกโดยบริษัทเจ้าของหุ้นนั้นๆ 2. DW มีทั้งแบบ put และ call ให้เลือกสอย.. ส่วน Warrant มีแต่ call อย่างเดียวให้เลือกสรร และ 3. DW ชำระเพียงเงินสดส่วนต่าง ณ วันส่งมอบ.. ในขณะที่ Warrant ณ วันส่งมอบ ต้องชำระทั้งเงินสดและส่งมอบหุ้นจริง.. ฮึ่มๆ
เอาละทีนี้จะเข้าเนื้อละนะครับ.. มาดูกันว่า 9 อรหันต์ที่เหล่ากูรูเค้าใช้ดูใช้คิดเพื่อพิชิตใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) มีอะไรบ้าง.. ยากหน่อยนะ.. พร้อม.. 3 2 1 ไป!

1) Effective Gearing (อัตราทดจริง) หมายถึง ค่าที่บอกเป็นนัยว่าราคา DW จะเปลี่ยนไปกี่ % เมื่อราคาหุ้นอ้างอิงเปลี่ยนแปลง 1% เช่น ถ้า Effective Gearing ของ DW เท่ากับ 2.6 เท่า หมายความว่า ถ้าหุ้นอ้างอิงขึ้น 1% DW จะขึ้น 2.6% นะ.. (หมายเหตุ: โดยทั่วไป Out-of -the-Money DW จะมีค่า Effective Gearing สูงกว่า In-the-Money DW ครับ.. ดังนั้นหากใครใจเปรี้ยว ชอบเสียว.. ก็ลอง DW แบบ OTM ได้.. แต่อย่าลืม High Return ก็ High Risk นะจ๊ะ)

2) 1-Day Time Decay (การเสื่อมค่าตามเวลา) หมายถึง ค่าที่บ่งชี้ว่าราคา DW จะลดลงกี่บาทเมื่อเวลาผ่านไป 1 วัน หากราคาหุ้นอ้างอิงไม่เปลี่ยนแปลง.. เช่น 1-Day Time Decay ของ DW เท่ากับ -0.05 หมายความว่า ถ้าราคาเจ้าหุ้นอ้างอิงราคาอยู่นิ่ง 1 วัน.. ราคาของ DW จะลดลง 0.05 บาท.. คืองี้ครับ ค่านี้ถ้ายิ่งมาก.. ต้องยิ่งเล่นสั้น.. เพราะราคาของ DW จะยิ่งลงเร็ว (หมายเหตุ: ยิ่งใกล้วันหมดอายุเท่าใด ผลของ 1-Day Time Decay จะยิ่งมีนัยมากขึ้น.. เนื่องจาก Time Value ของ DW จะลดลงอย่างรวดเร็วมาก.. หากราคาหุ้นอ้างอิงอยู่คงที่)

3) Implied Volatility (ค่าความผันผวนแฝง) หมายถึง ค่าที่บอกถึงความถูกแพงของ DW โดยเปรียบเทียบกับ DW ที่มีหุ้นอ้างอิงเดียวกัน.. แต่มีวันหมดอายุ, ราคาใช้สิทธิ, และอัตราใช้สิทธิต่างกัน.. สรุปง่ายๆคือ DW ไหนมี Implied Volatility ต่ำกว่า.. ตัวนั้นก็ถูกกว่า.. จบป้ะ? (หมายเหตุ: ตรงนี้ตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าบริษัทหลักทรัพย์ที่ออก DW ที่นำมาเปรียบเทียบกัน มี Credit Rating เท่ากัน.. หากไม่เท่า ผู้ออกที่มี Credit Rating ต่ำกว่าก็ควรขาย DW ที่ราคาถูกกว่า เพราะมี Default Risk สูงกว่า.. ซึ่ง! ทาง TRIS Rating ก็เพิ่งปรับเพิ่มอันดับเครดิตหลักทรัพย์บัวหลวงจาก A-/Positive เป็น AA-/Stable เมื่อเร็วๆนี้เองครับ.. โฮะๆๆ)

*ข้อ 4-6 นักค้าขอ assume อัตราการใช้สิทธิต่อ 1 หุ้นอ้างอิง (Conversion ratio) เท่ากับ 1 DW ต่อ 1 หุ้น* 
4) All-in-Premium หมายถึง ค่าที่บ่งชี้ว่าราคาหุ้นต้องเปลี่ยนไปกี่ % จึงทำให้การลงทุนใน DW คุ้มทุน หากถือจนหมดอายุ.. ค่านี้ยิ่งต่ำยิ่งดีครับ.. แต่ต้องใช้เปรียบเทียบบนสินค้าอ้างอิงตัวเดียวกันและอายุคงเหลือใกล้เคียงกันนะ ตัวอย่างเช่น ค่า All-in-Premium เท่ากับ 40% หมายถึง ราคาหุ้นอ้างอิงต้องขึ้นถึง 40% (โอ้วว) การลงทุนใน DW ถึงจะคุ้มทุน

5) Break-even point หมายถึง ค่าที่บ่งบอกว่าราคาหุ้นอ้างอิงต้องวิ่งไปปิดที่กี่บาท จึงทำให้การลงทุนใน DW คุ้มทุน หากถือจนหมดอายุ เช่น Break-even point เท่ากับ 100 หมายถึง หุ้นอ้างอิงต้องปิดที่ 100 บาทในวันซื้อขายสุดท้ายของ DW จึงจะทำให้ DW ที่ลงทุนไปคุ้มทุนนะ.. แต่เอาเข้าจริงนักค้าว่าค่านี้แค่รู้ไว้ใช่ว่าเฉยๆครับ เพราะส่วนใหญ่นักลงทุนไม่ค่อยถือ DW ไปจนถึงวันหมดอายุอยู่แล้ว

6) Doubling Factor หมายถึง ค่าที่บ่งชี้ว่าราคาหุ้นอ้างอิงต้องวิ่งไปกี่ % จึงจะทำให้ราคาของ DW ขึ้นได้ถึง 100% (กระต๊าก!) หากถือจนหมดอายุ ตัวอย่างเช่น Doubling Factor เท่ากับ 33% หมายถึง ราคาหุ้นอ้างอิงต้องขึ้นไป 33% ราคาของ DW ถึงจะขึ้นได้ 100% นะ.. แหะๆ

7) %Share Outstanding (รายงานการถือครอง DW โดยนักลงทุน).. ค่านี้ตลาดหลักทรัพย์จัดให้ทุกสิ้นเดือนครับ.. ดูได้ที่ลิ้งค์นี้ http://www.set.or.th/set/dwoutstanding.do?country=th&language=TH โดยนักค้าแนะนำให้เลือก DW ที่ค่านี้ไม่สูงจนเกินไปนัก

8) Indicative Price หมายถึง ราคารับซื้อ DW คืนโดย Market Maker (เฉพาะ DW01) โดยนักลงทุนควรเลือก DW ที่มี Indicative Price และราคาซื้อขายในกระดานปัจจุบันไม่แตกต่างกันมากครับ

9) Market Maker Behavior หมายถึง พฤติกรรมของผู้ดูแลสภาพคล่อง.. อันนี้จี๊ดนะ.. เพราะเพื่อนๆต้องคอยสังเกตกันเองว่า Market Maker เจ้าไหนดูแล DW ของตนเองดี.. ซึ่งสังเกตง่ายๆได้จาก เช่น ช่วง Bid-Ask Spread ไม่ห่างกันมากนัก, การเคลื่อนไหวของ DW สอดคล้องกับหุ้นอ้างอิงอยู่เสมอ, และที่สำคัญต้องมีสภาพคล่องสูง (จะได้ซื้อขายง่าย) หรือลองดูที่ลิ้งค์นี้เป็นข้อมูลประกอบก็ได้ครับ http://www.set.or.th/set/mmperformance.do?country=TH&language=th 

เอาละ.. เขียนเสร็จนักค้าก็ปาดเหงื่อแฮ่กๆ.. มันยากส์! ที่จะรู้จะเข้าใจหมด.. เข้าใจ! แต่มันจำเป็น! หากท่านจะลงทุนในใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ (DW) อย่างปลอดภัย ไม่เป็นเหงื่อของรายใหญ่รายโต.. ซึ่งหากท่านใดอ่านจบแล้วยังงงหรือสงสัยอะไรเพิ่มเติม เวปไซต์นี้ http://www.blswarrant.com/DW01_Home มีข้อมูลน่าสนใจให้ทุกท่านเข้าไปต่อยอดอ่านกันให้หนำใจครับ.. Fight!