Wednesday, November 21, 2012

AEC.. ยืดได้ หยุ่นได้~


สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2555

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (ASEAN Economic Community) กำลังอยู่ในกระแสที่นักธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตามองในปัจจุบัน.. ถามว่าทำไม? ในแง่นักธุรกิจ.. ถ้ามองจากมุมประเทศไทย ก็ต้องตอบว่า เพราะเราจะมีตลาดที่โตขึ้น 10 เท่านะสิ.. กำลังซื้อจะเพิ่มจาก 66 ล้านคนในประเทศไปเป็น 600 ล้านคนทั่วทั้งอาเซียน (ว้าว) หรือถ้ามองจากประเทศอินโดนิเซีย ก็ต้องตอบว่า เพราะเขาจะมีตลาดที่โตขึ้น 3 เท่านะสิ.. จากประชากร 240 ล้านคน ไปเป็น 600 ล้านคนทั่วทั้งอาเซียน.. ตรงนี้สำคัญครับ! เพราะเมื่อรวมกันเป็นกลุ่มแล้ว นั่นหมายถึงอำนาจการต่อรองรวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของเราบนเวทีโลกจะเพิ่มขึ้นด้วย.. ส่วนในแง่นักลงทุน.. ก็เป็นผลดีเช่นกัน เพราะเขาจะสามารถซื้อหุ้นดีมีศักยภาพสูงในตลาดหุ้นทั้งอาเซียนได้ง่ายขึ้น.. ซึ่งแน่นอน หุ้นไทยย่อมได้รับผลประโยชน์ไปด้วย โดยเฉพาะหุ้นใหญ่ศักยภาพดี 10 อันดับแรกนั่นละครับ

อย่างไรก็ดีประเด็นที่ผมจะพูดถึงในวันนี้อาจจะแตกต่างจากที่ท่านเคยอ่านจากที่อื่นอยู่มากโข.. เพราะส่วนใหญ่จะกล่าวถึงข้อดี.. แต่วันนี้ ผมจะมาในอีกมุมหนึ่ง.. มุมมืด!? ใช่ครับ ผมกำลังสงสัยว่าการมาของ AEC ในอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีผลเสียบ้างรึป่าว? เพราะในฐานะที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงตลาดทุนมาซักพัก ก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับข่าวของกลุ่มหนึ่ง นั่นคือ กลุ่มสหภาพยุโรปหรือ EU (European Union).. ลองคิดดูซิครับ ขนาดเค้าเป็น Monetary Union (การรวมกลุ่มที่สูงกว่า AEC ไปอีกขั้น) ยังมีปัญหาคาราคาซังขนาดนี้ แล้ว AEC ที่ยังเป็นแค่ Common Market จะไม่มีปัญหาบ้างหรือ? ฮ่าๆ ยิ่งคิดยิ่งสนุก.. อย่ากระนั้นเลย.. แม่นาง.. จะตอบตรงนี้มันต้องย้อนไปที่จุดเริ่มต้น!

การเริ่มต้นของอาเซียนกับอียูไม่เหมือนกันครับ.. อาเซียนเริ่มจากจุดเล็กๆ แต่ละประเทศมีขนาดไม่ใหญ่มาก (ยกเว้นอินโดนิเซีย) เราไม่มีมหาอำนาจเหมือนกับกลุ่มอียู ที่จุดเริ่มมาจากประเทศยักษ์ใหญ่อย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี.. โดยเราใช้วิธีที่ว่า.. เมื่อเรารวมกันได้ดีแล้ว ก็ค่อยดึงประเทศยักษ์ใหญ่ให้เข้ามามีส่วนร่วมภายหลัง.. อีกทั้งอาเซียนยังเป็นการรวมตัวแบบหลวมๆ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาเราจึงยืดหยุ่นได้ ตรงกันข้ามกับอียูที่รวมกันแบบ solid.. เวลามีปัญหาจึงน่าตกใจมากกว่า.. ซึ่งจุดด้อยข้อหนึ่งของ EU (ที่แรกเริ่มตั้งใจให้เป็นจุดเด่น) ก็คือ การใช้เงินสกุลเดียวกันนี่แหละครับ.. อียูไม่สามารถใช้วิธีลดค่าเงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบที่เราเคยทำเมื่อปี 40 ได้.. ถึงได้เป็นปัญหาเยื้อยืดว่าจะเตะกรีซออกจากยูโรหรือไม่? ต้องกลับไปใช้ Drachma (ค่าเงินเดิมของกรีซ) ตามเดิมไหม? แต่ผมว่าลองคิดเล่นๆนะครับ.. แทนที่จะเตะกรีซออก ลองเตะเยอรมันออกเป็นไง? เพราะเยอรมันอยู่เองได้อยู่แล้ว.. ค่าเงินยูโรจะได้อ่อน ประเทศอื่นที่มีปัญหารวมทั้งกรีซจะได้ survive.. ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลยละ 

ท่านเลขาธิการอาเซียน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เคยกล่าวไว้ครับว่า.. ในอนาคตสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย (ไม่ใช่เฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ก็คือคนจะเริ่มเชื่อมั่นใจสกุลหยวนของจีน ริงกิตของสิงคโปร์ และวอนของเกาหลีเป็นสกุลเงินกลางมากขึ้น.. สกุลเงินของเอเชียจะมีความสำคัญมากกว่ายุโรปและดอลลาร์ในอนาคต.. แต่ถึงกระนั้นเราจะยังไม่ใช้เงินสกุลเดียวแบบอียู.. เพราะประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศมีความแตกต่างกันสูงมาก ทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคม และศาสนา.. ดังนั้นเมื่อมีการพูดถึงเศรษฐกิจของเอเชีย เราจะข้ามเรื่องเงินสกุลเดียวกันไปก่อน เอาเรื่องการเปิดตลาดเข้าหากัน การเพิ่มการลงทุนระหว่างกัน และการประสานงานกันด้านนโยบายให้เรียบร้อยก่อน.. ส่วนถ้าพูดถึงกลุ่มอียู เหล่ากูรูเค้าบอกไว้เลยครับว่า.. เงินยูโรเนี่ยใช้ได้อีกไม่นานหรอก! เพราะที่ผ่านมาเป็นการรวมเฉพาะนโยบายด้านการเงิน ให้สมาชิกกู้เงิน พิมพ์ธนบัตรใช้ร่วมกันได้ แต่ไม่ได้รวมเรื่องการคลัง หรือเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีเข้าไปด้วย.. พูดง่ายๆว่าดูแลเฉพาะนโยบายการใช้จ่ายแต่ไม่ได้ดูแลเรื่องการเก็บ.. ระบบเศรษฐกิจอียูถึงมีช่องโหว่ อุดอย่างไรก็เอาไม่อยู่ (ใครว่าเอาอยู่ก็ลองอุดดู!) ในอนาคตท่านอาจจะเห็นแต่ละประเทศหันมาดูแลตัวเอง และใช้สกุลเงินเดิมของตัวเอง เช่น เยอรมนีใช้ Deustch Mark อิตาลีใช้ Lira ก็เป็นได้.. โจ้ยย!

กล่าวโดยสรุป.. ดังที่ท่านทราบกัน เป้าหมายหลักของ AEC ก็คือ 1. เพื่อสร้างตลาดและฐานการเดียวที่มีเสถียรภาพ มั่งคั่ง และมีความสามารถในการแข่งขันสูง (Single Production and Market Base) และ 2. เพื่อบรรเทาความยากจนและลดช่องว่างการพัฒนาภายในอาเซียน.. แต่ภายใต้ข้อกำหนดเหล่านี้ AEC ก็ยังเป็นการรวมตัวแบบหลวมๆครับ.. ยังสามารถยืดได้หยุ่นได้ (ไม่ใช่ปีโป้!) ไม่เหมือนกับกลุ่มอียู.. เรามีการพึ่งพากันเองภายในกลุ่มมากขึ้น อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับตลาดสำคัญของโลกอย่างจีนและอินเดียมากที่สุด.. ดังนั้นหากเกิดปัญหาขึ้นมา ผมเชื่อว่าพวกเราจะเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

No comments:

Post a Comment