เขียนเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2555
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ไปเดินงาน SET in the City ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอนมาครับ..
มีเรื่องเก็บตกที่น่าสนใจมาฝากเล็กน้อย..
เรื่องแรก: ผมรู้สึกว่ามีผู้คนให้ความสนใจงานนี้ค่อนข้างเยอะกว่าปีที่แล้วนะ..
ทั้งนักศึกษา คุณลุงคุณป้า อาม่าอากง.. อาจจะเป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มมีความแน่นอนมากขึ้น
(โดยเฉพาะหลังจากการยุติการชุมนุมขององค์กรพิทักษ์สยามเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา..
ต่างชาติก็ใจชื้นไปด้วย) รวมถึงรายได้ของคนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (เพราะไม่มีเหตุการณ์น้ำท่วม)
ตรงนี้บอกถึงเม็ดเงินส่วนเพิ่มที่น่าจะไหลมาที่ตลาดหุ้น.. รวมถึงซื้อกองทุน LTF และ
RMF มากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน..
ผมจึงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะมี downside
ที่จำกัดจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะที่ลุ่มๆดอนๆก็ตาม
สำหรับมุมมองของผม (อันนี้แถม) ในฐานะที่ดูแลลูกค้าสถาบันต่างประเทศ.. ก็รู้สึกว่าช่วงนี้ความ bullish ในการซื้อหุ้นหรือตราสารอนุพันธ์ของเค้ากับตลาดไทยลดลงเมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ..
อาจจะเป็นเพราะ valuation ตลาดเราปีนี้ไม่ถูกเหมือนเมื่อก่อน..
หรืออาจเป็นเพราะเงินทุนบางส่วนอาจไหลไปที่ตลาดหุ้นจีนหรือฮ่องกงบ้างอะไรบ้าง เพราะ
underperform global markets มานานก็เป็นได้.. ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเองก็น่าสนใจนะครับ
เพราะอย่างที่ทราบกันว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นถูกกดดันด้วยค่าเงินที่แข็งค่ามานาน
(อ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://nakkanaayok.blogspot.com/2012/07/4-plaza-accord.html) แต่จากนี้ไป ภาพอาจจะเปลี่ยน.. ด้วยเหตุผลที่ทราบกันดีว่า
ญี่ปุ่นเองมีหนี้ภายในประเทศที่สูงมาก (country debt/GDP อยู่ที่ 205.5% มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในขณะที่ของไทยอยู่ที่ 44.9%) ซึ่งตรงนี้จะกดดันค่าเงินเยนให้แข็งค่าไปกว่านี้ได้ยากขึ้นเรื่อยๆ.. และพิเศษ! หากค่าเงินเยนพลิกกลับมาอ่อนได้ เราอาจจะเห็นเศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมามีชีวิตชีวา
และตลาดหุ้น (ซึ่งธุรกิจส่งออกมีสัดส่วนในการคำนวณดัชนีสูง)
อาจจะกลับมาหวือหวากระชุ่มกระชวยได้อีกครั้ง..
ทั้งหมดนี้เลยนำมาสู่ข้อสรุปทางโหราศาสตร์ฉบับนักค้าแบบไม่ฟันธงที่ว่า..
อะไรที่ขึ้นมานาน ก็ต้องมีพักบ้างอะไรบ้าง (ก่อนจะไปต่อ)..
อะไรที่ซึมแย่มานาน ก็อาจถึงคราวของเขาซักที.. โชคดีเด้อ
No comments:
Post a Comment