Wednesday, November 28, 2012

เก็บตกงาน SET แบบค้าๆ

สวัสดีครับ,,, 
เขียนเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2555

 
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ไปเดินงาน SET in the City ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอนมาครับ.. มีเรื่องเก็บตกที่น่าสนใจมาฝากเล็กน้อย..

เรื่องแรก: ผมรู้สึกว่ามีผู้คนให้ความสนใจงานนี้ค่อนข้างเยอะกว่าปีที่แล้วนะ.. ทั้งนักศึกษา คุณลุงคุณป้า อาม่าอากง.. อาจจะเป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มมีความแน่นอนมากขึ้น (โดยเฉพาะหลังจากการยุติการชุมนุมขององค์กรพิทักษ์สยามเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา.. ต่างชาติก็ใจชื้นไปด้วย) รวมถึงรายได้ของคนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (เพราะไม่มีเหตุการณ์น้ำท่วม) ตรงนี้บอกถึงเม็ดเงินส่วนเพิ่มที่น่าจะไหลมาที่ตลาดหุ้น.. รวมถึงซื้อกองทุน LTF และ RMF มากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน.. ผมจึงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะมี downside ที่จำกัดจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะที่ลุ่มๆดอนๆก็ตาม


เรื่องที่สอง: ผมเองไปงานนี้จะให้เดินเฉยๆก็กระไรอยู่.. ขอชะแว้ปไปฟังงานสัมมนาซักหน่อย ซึ่งหัวข้อวันนั้นเป็นเรื่อง เล็งหุ้นขนาดกลาง กองทุนต่างชาติจ้องลงทุนมีพี่นิด บอดี้แสลม เอ้ย! พี่นิด ชัยพร ของหลักทรัพย์บัวหลวงเป็นวิทยากรร่วมด้วยครับ.. ประเด็นที่น่าสนใจที่ได้จากผู้บรรยายทั้งสามท่านก็คือ 1. ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา กองทุนต่างชาติที่ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางทำผลงานได้ outperform กองทุนอย่าง Value fund (กองที่ลงในหุ้นถูกๆ) และ Growth fund (กองที่ลงในหุ้นเติบโตแต่มูลค่าหุ้นอาจไม่ถูก เช่น CPALL) 2. หุ้นขนาดกลางที่กองทุนฝรั่งสนใจ อย่างน้อยควรจะมีมูลค่าซื้อขายต่อวันราว 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐนะ (30 ล้านบาท) และ 3. แม้ว่าความสนใจจะเบนไปที่หุ้นขนาดกลางมากขึ้น แต่หุ้นใหญ่บ้านเราก็ยังถือว่ายังไม่แพง อาทิ หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ หรือหุ้นพลังงานบางตัวที่ปันผลยังดี, P/E ยังต่ำ (ถ้าเทียบกับ regional), growth ยังมี.. เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ใจเย็นถือได้ถือดีถือไปนานๆ

สำหรับมุมมองของผม (อันนี้แถม) ในฐานะที่ดูแลลูกค้าสถาบันต่างประเทศ.. ก็รู้สึกว่าช่วงนี้ความ bullish ในการซื้อหุ้นหรือตราสารอนุพันธ์ของเค้ากับตลาดไทยลดลงเมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ.. อาจจะเป็นเพราะ valuation ตลาดเราปีนี้ไม่ถูกเหมือนเมื่อก่อน.. หรืออาจเป็นเพราะเงินทุนบางส่วนอาจไหลไปที่ตลาดหุ้นจีนหรือฮ่องกงบ้างอะไรบ้าง เพราะ underperform global markets มานานก็เป็นได้.. ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเองก็น่าสนใจนะครับ เพราะอย่างที่ทราบกันว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นถูกกดดันด้วยค่าเงินที่แข็งค่ามานาน
(อ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://nakkanaayok.blogspot.com/2012/07/4-plaza-accord.html) แต่จากนี้ไป ภาพอาจจะเปลี่ยน.. ด้วยเหตุผลที่ทราบกันดีว่า ญี่ปุ่นเองมีหนี้ภายในประเทศที่สูงมาก (country debt/GDP อยู่ที่ 205.5% มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในขณะที่ของไทยอยู่ที่ 44.9%) ซึ่งตรงนี้จะกดดันค่าเงินเยนให้แข็งค่าไปกว่านี้ได้ยากขึ้นเรื่อยๆ.. และพิเศษ! หากค่าเงินเยนพลิกกลับมาอ่อนได้ เราอาจจะเห็นเศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมามีชีวิตชีวา และตลาดหุ้น (ซึ่งธุรกิจส่งออกมีสัดส่วนในการคำนวณดัชนีสูง) อาจจะกลับมาหวือหวากระชุ่มกระชวยได้อีกครั้ง.. ทั้งหมดนี้เลยนำมาสู่ข้อสรุปทางโหราศาสตร์ฉบับนักค้าแบบไม่ฟันธงที่ว่า.. อะไรที่ขึ้นมานาน ก็ต้องมีพักบ้างอะไรบ้าง (ก่อนจะไปต่อ).. อะไรที่ซึมแย่มานาน ก็อาจถึงคราวของเขาซักที.. โชคดีเด้อ

No comments:

Post a Comment