Wednesday, April 10, 2013

หมีคน


สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 10 เมษายน 2556

ช่วงนี้ใกล้วันหยุดยาว ตลาดหุ้นก็เริ่มซบเซา.. พร้อมๆกับที่นักลงทุนหลายท่านเริ่มกังวลกับการมาของ ตลาดหมีว่าเป็นหมีตัวใหญ่แค่ไหน? น่ากลัวมั้ย? และจะอยู่กับเราไปอีกนานรึป่าว? ใจเย็นๆครับ บทความวันนี้ชิลๆต้อนรับเทศกาลสงกรานต์.. ลองมาทำความรู้จักกับหมีกัน


หมี (Bear, Arctos) จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ ออกลูกเป็นตัว กินได้ทั้งพืชและสัตว์ มีประสาทการดมกลิ่นดีกว่าประสาทตาและหู.. โดยปัจจุบันได้มีการจำแนกหมีออกเป็น 8 ชนิดหลัก ได้แก่ หมีแพนด้า หมีแว่น หมีดำ หมีสีน้ำตาล หมีคน หมีขั้วโลก หมีควาย และ หมีสล็อธ แต่ในประเทศไทยเรามีหมีเพียง 2 ชนิดเท่านั้นครับ คือ หมีควาย (รูปซ้าย) ตัวใหญ่ มีขนยาวดำ พบได้ในป่าทั่วประเทศ และ หมีคน (รูปขวา) ตัวเล็กกว่าหมีควาย มีขนสั้นดำ พบได้ตั้งแต่คอคอดกระลงไป.. ว่าที่จริงด้วยลักษณะนิสัยเวลาที่หมีโจมตีคู่ต่อสู้ จะใช้กรงเล็บตะปบจากด้านบนลงล่าง.. ทำร้ายคู่ต่อสู้อย่างเลือดเย็น! จึงเปรียบได้กับช่วงเวลาที่กราฟหุ้นดิ่งต่ำลง นักลงทุนจึงเรียกขานตลาดหุ้นในช่วงนั้นว่า bear market นั่นเองครับ

หากถามว่า ตลาดหุ้นไทยที่ลงในช่วงที่ผ่านมาคล้ายกับหมีชนิดใด ผมก็ขอตอบว่า หมีคนครับ.. เนื่องหมีคนเป็นหมีที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ลำตัวยาวประมาณ 1 เมตรเท่านั้น.. แต่ด้วยนิสัยที่ดุร้าย โมโหง่าย จึงดูเหมือนตลาดหุ้นรอบนี้ ที่ขึ้นลงดุ กระชาก ร้าวฉาน ระราน เร้าใจ.. อย่างไรก็ดีอย่าลืมครับว่า อากาศเมืองไทยมันร้อน หมีอยู่ได้ไม่นานหรอก แป๊ปๆ เดี๋ยวมันก็หลบเข้าป่าไปครับ

ดังนั้น ข้อสรุปของผมสำหรับนักลงทุนในช่วงนี้ก็คือ เน้นถือลงทุนหุ้นที่มีอยู่แล้วต่อไป (เน้น defensive) ดีกว่าไปไล่ซื้อหุ้นตัวใหม่ๆ เว้นเสียแต่ว่าเจอหุ้นที่ถูกใจและราคาลงมาจนมี margin of safety สูง.. สำหรับนักเก็งกำไร คงมีได้มีเสียกันละครับเพลานี้  

Wednesday, April 3, 2013

สัญญาณบอก สัญญาณหลอก?


สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 3 เมษายน 2556

ช่วงนี้มีคำถามเข้ามาเยอะว่าตลาดเสียเทรนขาขึ้นแล้วหรือยัง? หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร? แล้วถ้ายังไม่เคยลงทุน.. ช่วงนี้สามารถลงทุนได้ไหม? บ่องตง.. ผมก็บ่ฮู้ดอกครับ แต่ถ้าวิเคราะห์ในเชิงเทคนิคแล้ว...

ก่อนอื่นต้องขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักรูปแบบแท่งเทียนใน 2 ลักษณะก่อน แบบแรกเราเรียกว่า สามทหารเสือสู้เพื่อขึ้น (Three White Solders) เป็นรูปแบบที่แท่งเทียนทำสวยยาว ปิดสูงกว่าวันก่อนหน้า 3 แท่งติด (รูปซ้าย) ซึ่งถ้าท่านพบรูปแบบนี้เมื่อไหร่ ให้เข้าใจว่านี่เป็นสัญญาณกลับทิศในตลาดขาลงครับ ฮู้เล่.. ส่วนแบบที่สองเรียกว่าอีกาน้อยลอยละล่อง (Three Black Crows) โดยเป็นรูปแบบที่แท่งเทียนทำสีดำทึบ ปิดต่ำกว่าวันก่อนหน้า 3 แท่งรวด.. และเช่นกัน ถ้ารูปแบบนี้ผ่านมาเมื่อใด ให้เธอเข้าใจว่าตลาดขาขึ้นอันยาวนานได้กลับทิศลงเสียแล้ว
คำอธิบายด้านบนคือว่ากันในเชิงทฤษฎีครับ ในทางปฏิบัติเราควรจะประเมินจากเครื่องมืออื่นๆประกอบ.. ผมขออนุญาตยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้สัญญาณจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อน.. ในช่วงเวลาที่หุ้นไทยลงกว่า 130 จุด


จากกราฟจะเห็นว่าตรงที่ผมวงสีเหลืองไว้เกิดรูปแบบอีกาน้อยลอยละล่อง (Three Black Crows) นั่นหมายถึง สัญญาณกลับทิศในตลาดขาขึ้น.. ซึ่งดัชนี SET ก็ได้ลงต่อจริงอีกกว่า 60 จุดในวันถัดมาอย่างที่สัญญาณบอก แต่หลังจากนั้นดัชนีได้ rebound ขึ้นมาแรงผิดหูผิดตา จึงเกิดคำถามขึ้นว่า สัญญาณนี้ผิดหรือป่าว? กลับทิศจริงหรือ? ผมอยากให้มองอย่างนี้ครับ.. อย่างที่เกริ่นไว้ช่วงต้นว่า การวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างมีประสิทธิภาพเราจำเป็นต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือหลายอย่างประกอบ.. ผมจึงได้ลองลากเส้นค่าเฉลี่ย (Exponential moving average) ไว้ 2 เส้น เส้นแรก คือ เส้น 10 วัน (สีเขียว) เส้นที่ 2 คือเส้น 60 วัน (สีชมพู).. ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วงกว่า 6 เดือนที่ผ่านมาดัชนีไม่เคยหลุดทั้งเส้น 10 วัน และ 60 วัน แบบเต็มๆ เลยซักครั้ง (บ่งบอกถึงการเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน) ซึ่งจากตรงนี้! ถ้าสังเกตดีๆแล้ว เราจะสามารถคาดการณ์การลงของตลาดได้ก่อนเกิดรูปแบบอีกาเสียอีกครับ เพราะดัชนีหลุดเส้น 10 วันลงมาก่อนเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ตั้งแต่แท่งที่ 2 (ในวงกลม).. แต่หลังจากที่ลงต่อจนหนำใจแล้ว ดัชนีก็สามารถยืนได้ที่เส้น 60 วัน แล้วไม่ทำ low ใหม่ในวันถัดมา.. นั่นเป็นสิ่งยืนยันว่า แม้ว่าสัญญาณอีกายังอยู่ แต่ดัชนีถูกรับไว้ได้ที่เส้นนี้ ทำให้โอกาส rebound ในช่วงเวลาถัดไปมีสูง และก็เป็นเช่นนั้นจริงครับ

 แน่นอนครับว่า ผมกำลังบอกเล่าถึงอดีต ซึ่งใครๆก็พูดได้.. แต่จากนี้ไปละ เป็นอย่างไร? ผมอยากให้สังเกตอย่างนี้ครับว่า ที่เส้น 60 วัน (สีชมพู) ซึ่งหมายถึงระยะเวลา 1 ไตรมาสนั้นค่อนข้างมีนัยสำคัญ ถ้าดัชนีหลุดเส้นนี้ลงมาแบบเต็มๆ นั่นละจะเป็นเครื่องยืนยันว่าสัญญาณอีกา (Three Black Crows) ได้แผลงฤทธิ์อย่างเต็มรูปแบบเสียแล้ว และขาขึ้นของตลาดที่มีมานานก็อาจเป็นอันต้องจบลง.. แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ก็ขอเชิญทุกท่าน enjoy กันต่อไป

Wednesday, March 27, 2013

ท่ามกลางผู้คนมากล้นในคืนหลอกลวง


สวัสดีครับ
เขียนเมื่อ 27 มีนาคม 2556,

ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเหมือนตลาดหุ้นไทยโดนลวงตบซ้ายตบขวาแล้วพาไปปู้ยี่ปู้ยำ.. หลอกจะขึ้น เอ๊ะ เดี๋ยวลง.. หลอกจะลง เอ๊ะ เดี๋ยวขึ้น.. ยังไงนิ? อย่าไปคิดมากครับ ยึดหลักเดิมของท่านไว้ เช่น ถ้าท่านเข้ามาเพราะอยากเก็งกำไร stop loss ต้องมีและห้ามลืม.. ไม่ใช่พอติด.. ก็แปลงร่างเป็น VI man/woman ซะงั้น! อย่างนี้ไม่ดีครับ

เมื่อต้นสัปดาห์มีข่าวหนึ่งที่สะดุ้งตาผมก็คือ ประเทศเพื่อนบ้านข้างคูจู้ฮุกกรูชื่อว่าเวียดนามได้ประกาศเฉือนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเค้าลง 1% (โดย Refinance rate เหลือ 8% และ Discount rate เหลือ 6%) ตรงนี้ธนาคารกลางเค้าทำเพื่อกระตุ้นการกู้ยืมและการบริโภคในประเทศ หลังจากที่แรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อลดลง.. แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนามได้ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 13 ปีครับ.. กระต๊าก! สาเหตุหนึ่งก็เพราะภาคธนาคารของเวียดนามมีระดับหนี้เสียที่สูงโฮกๆ.. ลองเคาะตัวเลขกันหน่อย.. เศรษฐกิจเวียดนามโต 5.03% ในปี 2555 (ไทยโต 6.4%) ในขณะที่ปีนี้คาดการณ์ว่าจะโต 5.5% (ไทยคาดโตราว 4.9%) ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงสิบปีที่ผ่านมาจนถึงปี 2551 ที่โตเกือบปีละ 7% แล้ว ถือว่าลดลงไปพอสมควรเลยครับ

ตรงนี้เลยทำให้ผมกังวลใจเล็กๆ ว่าเศรษฐกิจบ้านเรามีโอกาสชะลอตัวแบบเพื่อนบ้านบ้างรึป่าวนะ (แม้จะมีโปรเจคใหญ่กระตุ้นการลงทุนรออยู่) เพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าต้องส่งผลกระทบผู้ส่งออก (โดยเฉพาะขนาดกลาง-เล็ก) ซึ่งมีสัดส่วนราว 70% ของ GDP อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก.. อีกทั้งเมื่อเหลือบมองเพื่อนบ้านอีกประเทศอย่างอินโดนิเซียก็มีสัญญาณไม่ค่อยดีออกมาเช่นกัน เช่นในปี 2555 ที่เค้าขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกนับจากวิกฤติการเงินต้มยำรสแซ่บเมื่อปี 2540 จากการนำเข้าน้ำมัน (จากเมื่อก่อนที่เป็นผู้ส่งออกน้ำมัน) และมีแนวโน้มที่จะขาดดุลต่ออีกในปีนี้.. หนทางบางทีมันก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปครับ


Wednesday, March 20, 2013

ความหด ถด และถอย(ของยุโรป)


สวัสดีครับ,
  
บทความนี้ผมเขียนไว้เมื่อช่วงเย็นวันจันทร์ที่ 18 มี.ค. ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมหุ้นกลาง-เล็กในตลาดหุ้นไทย.. วินาทีคงต้องบอกกับพี่น้องครับว่า Stay calm, stay invested   

ผมละเห็นใจชาวไซปรัสจริงๆ เมื่อทราบข่าวเมื่อวันก่อนว่าประชาชนตาดำๆของเค้าที่หวังผลตอบแทนเล็กๆน้อยๆจากการฝากเงินอาจต้องเสียภาษีพิเศษให้กับรัฐบาลในอัตรา 6.75%-9.9% (แม้ว่าผลการประชุมรัฐสภาล่าสุดประกาศไม่รับรองมาตรการหักภาษีเงินฝากก็ตาม) นั่นหมายถึงถ้าใครมีเงินฝาก 100 บาท รัฐบาลจะหักออกไปทันทีอย่างน้อย 6.75 บาท.. โอ้แม่เจ้า (ทำกับติ๋มได้) ตรงนี้รัฐบาลเค้าทำเพื่อแลกกับมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินวงเงิน 1 หมื่นล้านยูโรครับ หลังจากที่ไซปรัสได้รับความเสียหายทางการเงินจากการที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านของกรีซ! ตรงนี้ผมขอขยายความนิดหนึ่งละกัน ถึงแม้ไซปรัสเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจต่ำกว่า 0.25% ของยูโรโซน แต่ปัญหาคือภาคธนาคารมีขนาดค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ แล้วดันไปมี exposure กับกรีซรวมถึงหนี้ภาครัฐเยอะอีก.. ดังนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นกับภาคธนาคาร เศรษฐกิจก็อาจจะ.. ตะลุ่งตุ้งแช่ (+ +) อย่างไรก็ดีไซปรัสกำลังจะเป็นประเทศที่ 5 ในยูโรโซนที่เข้าคิวรับความช่วยเหลือแล้วครับ



ด้านตลาดหุ้นเค้าก็.. หลับตาเถอะนะ.. ผมละเห็นแล้วเศร้าหดหู่ใจจริงๆ คือมูลค่าตลาดหุ้นไซปรัส (The Cypress Stock Exchange) ลดลงถึง 98% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หรือพูดง่ายเหลือเพียง 2% ณ บัดนาว.. ไม่รู้จะพูดยังไง ไม่รู้จะบอกยังไง.. เพราะตรงนี้ก็เหมือนตอกย้ำถึงความถด หด และถอยของยุโรปนั่นแล


แน่นอนมันไม่กระทบอะไรหุ้นไทยในเชิงพื้นฐานหรอกครับ เพียงแต่ในเชิง sentiment คนเค้าก็มองกันว่ามาตรการแบบนี้ (ครั้งแรกที่ให้ผู้ฝากเงินต้องรับภาระโดยตรง) อาจถูกนำไปใช้กับประเทศอื่นในยุโรปที่กำลังมีปัญหาเหมือนกันรึป่าว? อาจจะทำให้ประชาชนแห่ไปถอนเงินรึป่าว (Bank run) ซึ่งตรงนี้ถ้าเกิดอย่างรุนแรงและลุกลามผมว่าจะยุ่งเอาครับ.. เพราะเมื่อใดที่สถาบันการเงินมีปัญหาหนัก สถานการณ์มักจะบานปลายทุกครั้ง.. ยิ่งกว่านั้นสถานการณ์ในตลาดหุ้นบ้านเราก็มีสัญญาณหลายอย่างที่ต้องระวัง เช่น จำนวนคนเปิดบัญชีใหม่ในเดือนก.พ.ที่เพิ่มถึง 4 หมื่นบัญชี (จากปกติทั้งปีเปิดเพียง 8 หมื่นบัญชี) ปริมาณการซื้อขายหุ้นที่ขึ้นถึง 80% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือจะเป็นสัดส่วนการซื้อขายของรายย่อยที่ขึ้นไปเกือบ 70%.. แม้จะยังไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงเกิดขึ้น แต่ผมแนะนำให้นักเก็งกำไรใส่เกียร์ถอยก่อนดีกว่าครับ เหลือแต่นักลงทุนเพียวๆไว้ก่อนละกัน


Wednesday, March 13, 2013

ฝรั่งกด like คนไทยกด love


สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 13 มีนาคม 2556


สัปดาห์นี้ต้องขอตะโกนดีใจไทยแลนด์ชะเอิงเอย~ เพราะ Rating agency นาม Fitch ได้ขยับอันดับเครดิตประเทศไทยขึ้นไปที่ BBB+ พร้อมกับปรับลดอิตาลีลงมาที่ BBB+ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันครับ.. อุ้ย! เท่ากันเลย ฮ่าๆ.. เหตุผลหนึ่งก็มาจากเรื่องการเมืองที่ไทยเราดูนิ่งขึ้นมาก ในขณะที่อิตาลีดูไม่แน่นอนตุ๊มๆต่อมๆเหลือเกิน (ตรงนี้ตอกย้ำมุมมองที่ผมเคยบอกว่าไทยเราเข้าสู่ยุคใหม่ ยุโรปเข้าสู่ยุคหด) อีกทั้งเช้านี้ก็เพิ่งมีข่าวว่า Moody’s อาจจะขยับ rating ประเทศไทยขึ้นตามอีก เย้ๆ.. ซึ่งถามว่าการเมืองนิ่งขึ้นแล้วดีอย่างไร ตอบ ดีตรงที่ความเสี่ยงในแง่ของนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ (Policy risk) มันลดลงครับ.. โดยเฉพาะแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาทในอีก 7 ปีข้างหน้าที่จะเป็นคีย์หลักในการผลักดันการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศจากนี้ไป.. ถามต่อ แล้ว rating ขึ้นมันดีอย่างไร? ตอบ ดีตรงที่ต้นทุนในการกู้ยืมของประเทศเราลดลง (ดอกเบี้ยลดลง) ภาครัฐและภาคเอกชนจึงสามารถลงทุนได้อย่างสบายแฮมากขึ้น.. อีกทั้งแน่นอน หมายถึงความเชื่อมั่นของประเทศที่มากขึ้นด้วย.. ตรงนี้ฝรั่งกด like และคนไทยกด love ครับ ดังนั้น liquidity จึงน่าจะยังวนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นได้อีกต่อไป

ด้านสถานการณ์ในตลาดอนุพันธ์ก็ต้องบอกว่า คนที่เข้าๆออกๆซื้อๆขายๆคงต้องเหนื่อยหน่อยนะครับนะ.. เพราะตลาดมี trend ที่ชัดเจน (หากใครติดตามบทความผมตั้งแต่ครั้งแรกๆ ก็จะทราบดีครับว่า ผมไกด์มาตลอดว่าตลาดไทยอยู่ในเทรนขาขึ้น) ดังนั้นกลยุทธ์ที่น่าจะใช้ได้ดีสำหรับ SET50 Futures ก็คือ รอ Long เมื่อตลาดย่อ ดีกว่ารอ short เมื่อตลาดเด้ง (เข้าใจว่ามันฝืนความรู้สึกหลายท่าน) แต่หากมีสัญญาณกลับทิศ (เป็นขาลง) ที่ชัดเจนเมื่อใด ผมจะมา update ให้อีกทีครับ 

Wednesday, March 6, 2013

ปู่บัฟเฟตต์เจ็ดย่านน้ำ ปะทะ ปรมาจารย์นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2556
 

และแล้วตลาดก็ทำ New High อีกครั้งในสัปดาห์นี้ สูงสุดในรอบ 19 ปีซะด้วย กระต๊าก! แว่วว่าแม้แต่ฝรั่ง (Morgan Stanley) เค้ายังมองว่าการเมืองเราดูดีขึ้นนะฮะ.. ถึงขนาดใช้คำว่า probability for political reconciliation remains high โอ้ ว้าว.. อ๊ะๆ นั่นใคร.. ปู่ Warren Buffett นิหน่า เค้าพูดอะไรไหนลองฟังซิ!

ปู่บัฟให้สัมภาษณ์ผ่าน CNBC เมื่อคืนวันจันทร์ครับว่า เค้ายังมองเห็น คุณค่าชั้นยอด ในหุ้น แม้ว่าตลาดหุ้นอเมริกาจะทำจุดสูงสุดใหม่ก็ตาม.. สิ่งที่กดดันนักลงทุนทั่วโลกตอนนี้อาจจะเป็นเรื่องการตัดลดการใช้จ่ายของภาครัฐ (Sequestration) แต่อย่าได้กังวล! เพราะการใช้จ่ายที่มีอยู่ ณ ตอนนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชุ่มฉ่ำแล้ว.. มันกำลังฟื้นๆ นอกจากนี้ปู่ยังมองไปในอนาคตว่า.. ไม่ช้าก็เร็วธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ก็ต้องปรับดอกเบี้ยขึ้น (จากปัจจุบันที่ 0.25%) ซึ่งแน่นอน ดอกเบี้ยที่สูงย่อมทำร้ายสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น.. แต่ปู่ก็ยังหาได้กังวลไม่ พร้อมให้เหตุผลว่า ทุกสินทรัพย์มันก็โดนกระทบทั้งนั้นแหละหนู เพราะงั้นหุ้นก็ยังเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ปู่จะซื้อตอนนี้อยู่ดี โอเคป่ะ.. ส่วนการลงทุนที่โง่เง่าเต่าตุ่นที่สุดในมุมมองของปู่ ก็คือ (อย่าไปบอกใครละ จุ๊ๆ) long-term government bond”

อย่างไรก็ดีปู่บัฟอาจจะต้องสะเทือนเมื่อเจอท่านปรมาจารย์นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Value Investor มือหนึ่งของเมืองไทย.. 

ดร.นิเวศน์ ท่านแสดงความเห็นผ่านทางบทความ
โลกในมุมมองของ Value Investor’ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาครับว่า.. ช่วงเวลาพิเศษสำหรับนักลงทุน 10 ปีที่ผ่านมา) นี้น่าจะใกล้จบลง และตลาดหุ้นไทยรวมถึงกลุ่ม VI กำลังจะกลับสู่สภาวะปกติ.. การลงทุนหลังจากนี้อย่าหวังผลเลิศจนเกินไป รักษาก้าวเล็กๆ ในการลงทุนไว้ แล้วจะเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตเอง.. เหตุผลก็อย่างที่ทราบกันครับคือ ดร.ท่านมองว่าหุ้นขึ้นมา เยอะ และไม่ถูกแล้ว 

จริงๆ ถ้าวิเคราะห์จากคำพูดของ
Warren Buffett ผมคิดว่าเค้าเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วครับ ซึ่งถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับขึ้นมาสูง แต่ Buffett ก็ยังเชื่อว่าไม่มีสินทรัพย์ใดให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นในช่วงเวลานี้.. อย่างไรก็ดีฟังหูไว้หูดีกว่าครับ กูรูก็อาจพลาดได้.. เหมือนอย่างที่ดร.นิเวศน์ท่านว่า รักษาก้าวเล็กๆในการลงทุนไว้ แล้วจะเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตเอง.. สู้ๆครับ