Wednesday, August 14, 2013

เตรียมตัวไปกับคุณชายหมอ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 14 สิงหาคม 2556

มีเวลาอีกราว 1 เดือนครับก่อนจะถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในวันที่ 17 - 18 ก.ย.นี้ [จริงๆสัปดาห์นี้เรามีเรื่องพ.ร.บ.งบประมาณปี 57 เข้าสภา แต่ผมไม่คิดว่าจะมีประเด็นอะไรร้อนแรง ส่วนสัปดาห์หน้ามีเรื่องพ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าจะไม่ผ่านอีกเช่นกัน.. ไปว่ากันต่ออีกทีในศาลรัฐธรรมนูญโน่น] ซึ่งผมขอเรียกเลยว่ามันเป็นการประชุมหยุดโลก! เพราะมีนักวิเคราะห์ กูรู ปรมาจารย์ นักเศรษฐศาสตร์อีกหลายท่านมองว่าเพลานี้น่าจะเหมาะที่สุดที่จะลดขนาด QE ลงมาบ้าง.. อีกทั้งเหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้ผมต้องมาเขียนล่วงหน้าก่อนเป็นเดือน นับว่าไม่ธรรมดา เราควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนจะถึงวันนั้น มีข้อแนะนำ (แต่ไม่จำเป็นต้องทำตาม) ดังนี้

           1. ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด (เพราะถ้าดีขึ้นเยอะๆ โอกาสที่จะยก QE ออกบ้างก็มีสูง) โดยล่าสุดตัวเลข Retail sales ในเดือนก.ค.ปีนี้ขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 บอกเป็นนัยๆครับว่าการจ้างงานดีขึ้นอีกแล้ว เศรษฐกิจอเมริกาไม่แจ่มให้มันรู้ไป
           2. ตามข่าวผู้ว่าธนาคารกลางคนใหม่ของสหรัฐฯจักกะหน่อย แม้ว่าผมจะเคยเขียนไปแล้วเมื่อเดือนก่อนที่นี่ http://nakkanaayok.blogspot.com/2013/07/blog-post_17.html แต่ก็มีความคาดหมายใหม่ออกมาครับว่า คุณ Lawrence Summers ได้มาแรงแซงโค้งขึ้นเป็นตัวเกร็งแทนคุณ Janet Yellen เรียบร้อยแล้ว โดยคุณ Lawrence หรือ Larry นิเป็นตัวดีเลยละครับ เพราะถึงแม้แกจะชอบนโนบายดอกเบี้ยต่ำ แต่ก็ชอบที่จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคุณ Janet ซึ่งหากมีความคาดหวังว่าแกจะได้เป็นผู้ว่าฯเพิ่มขึ้น ก็น่าจะไม่ค่อยดีกับหุ้นในตลาดเกิดใหม่เท่าไหร่ครับ
           3. เตรียม list รายชื่อหุ้นที่พื้นฐานดี (บริษัทดี) แต่ราคาตอนนี้ไม่ถูกไว้ซัก 5-10 บริษัท (หรือจะมากกว่านั้นก็ตามแต่ศรัทธา) เผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจะได้พร้อมเลือกสอยตอนราคาถูกๆ
           4. หาจังหวะเหมาะๆ รอตลาดหุ้นเด้งดีดๆ Short Futures ซักนิดเพื่อป้องกันความเสี่ยงซักหน่อย
           5. เตรียมเงินสดให้พร้อม

ทั้งนี้และทั้งนั้นอะไรก็ไม่แน่นอนครับ เกิดผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯคนปัจจุบันเกิดทำอะไรแผลงๆขึ้นมาเป็นการทิ้งทวนก่อนอำลาตำแหน่งในต้นปีหน้า เช่น เพิ่มขนาด QE ซะเลย ไหนๆเศรษฐกิจอเมริกามันกำลังดีกำลังมันส์ก็ให้มันดีมันส์ๆด้วยอัตราเร่งไปเล้ยย... ถ้าเป็นงั้นจริงผมคงจนปัญญายอมศิโรราบขอกราบงามๆซัก 3 จบ และหุ้นในตลาดเกิดใหม่ก็คงทะยานทะลุเพดานไป แต่หากลืมตาตื่นขึ้นมาในชีวิตจริงไม่อิงอะไรก็จะพบว่ามันแทบจะเป็น Mission Impossible ครับ.. เพราะถ้าคิดตามเหตุและผลแล้วในเมื่อคนไข้(กรองแก้ว)เริ่มฟื้น คุณ(ชาย)หมอจะให้ยาโด๊ปฉีดๆๆเข้าไปเหมือนตอนอาการโคม่าได้หรือ? รังแต่จะทำให้อาการที่ดีขึ้นแล้วกลับแย่ลงครับ ฉันใดก็ฉันนั้น เศรษฐกิจที่ดีขึ้นแล้วหากยังกระตุ้นด้วยการอัดฉีดเงินในปริมาณที่สูงเท่าเดิม เผลอๆจะเป็นอันตรายเอา (Balance sheet ของ Fed เต็มไปด้วยเหล่าพันธบัตรและ MBS หมดแว้ว อ่ะจ๊าก!) ไม่แน่นะ เราจะเห็นการ Exit strategies เร็วกว่าที่คิดไว้ก็ได้ใครจะรู้

สุดท้ายนี้ไหนๆสภาก็กำลังถกกันเรื่องงบประมาณ ผมเลยนำ breakdown งบประมาณปี 56 มาให้ดูกัน.. โชคดีทุกท่านครับ

Wednesday, August 7, 2013

แวะพักที่โอเอซิส

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 7 สิงหาคม 2556

หากเปรียบการเล่นหุ้นเหมือนดั่งการเดินเท้งเต้งในทะเลทราย สองสามวันที่ผ่านมาก็เหมือนได้เข้าพักที่โอเอซิสละครับนะ ก็แหม! วอลุ่มเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาปาเข้าไปกระจึ๋งที่ 2 หมื่นล้านต้นๆ น้อยที่สุดในรอบกว่า 8 เดือน ในขณะที่วอลุ่มเจ้า S50U13 (SET50 Index Futures) ก็เบาบางสเลนเดอร์ไม่แพ้กัน มูลค่าเหลือเพียง 1.5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น งี้ไม่ให้หลับยังไงไหวละครับพี่น้อง


ว่าแล้วก็ขอแนะนำโอเอซิสที่สวยงามนาม Huacachina ตั้งอยู่ที่เมือง Ica ประเทศเปรู หรือที่ขนานนามกันว่า โอเอซิสของอเมริกา (ดังรูป) ผมเองเคยรู้สึกสงสัยครับว่า.. ท่ามกลางทะเลทรายที่เร่าร้อนซะขนาดนั้น แดดก็แผดเผา อูฐก็มี 2 โหนก ไหงมีสถานที่ที่สวยงามนามโอเอซิสตั้งอยู่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ท่ามกลางเหตุการณ์ทางการเมืองที่วุ่นวาย ข่าวร้ายก็ถาโถม เสียงโห่ร้องก็โครมๆ หุ้นก็อาจจะเด้งได้อย่างไม่มีเหตุผลเช่นกัน เพราะงั้นอย่าลืมกำหนดจุด stop loss ในการ trading (โดยเฉพาะ SET50 Index Futures) ทุกครั้งนะครับ!!


ถัดมาผมเอารูปพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปีมาให้ดู.. จะเห็นว่าช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา yield กลับขึ้นมาสูงอีกครั้ง จากราว 3.6% เมื่อกลางเดือนที่แล้ว มาอยู่ที่ 3.95% ณ บัดนาว ตรงนี้สะท้อนอะไร? สะท้อนว่าความเสี่ยงประเทศเริ่มมากขึ้นอะครับ จากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองนิแหละ ซึ่งอาจกระทบประมาณการหรือ Target price ของหุ้นในอนาคตได้ (Risk free ที่สูงขึ้นเมื่อใส่ใน model แล้วจะทำให้ Target price ลดลง) อย่างไรก็ดี เนื่องจากนักวิเคราะห์บัวหลวงเราใช้ค่า Risk free ที่ราว 4% ในการ pricing อยู่แล้ว (มองการณ์ไกลโฮกๆ) จึงยังไม่กระทบกับ Target price ของหุ้นในตอนนี้ครับ


สุดท้าย เนื่องจากผมเคยเอาแต่รูป Fund flows มาให้ดู วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศนำรูปกำไรต่อหุ้น (EPS) มาให้ดูบ้างครับ จากรูปจะเห็นว่า อเมริกา อังกฤษ และกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ กำไรต่อหุ้นกลับขึ้นมาพอๆกับช่วงก่อนวิกฤต Subprime ละ (EM ดูหล่อสุด) ในขณะที่ญี่ปุ่น และยุโรป (ไม่รวมอังกฤษ) ยังต่ำกว่าอยู่เลย.. ตรงนี้บอกอะไร? ทิ้งท้ายไว้ให้คิดต่อเล่นๆครับ.. แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า

Thursday, August 1, 2013

ครบรอบ 4 ปี

วันที่ 1 สิงหาคม 2556

วันนี้ถือว่าเป็นวันครบรอบ 4 ปีที่ผมได้ทำงานในสายธุรกิจการเงินครับ และเป็นวันที่ผมจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรมหาบัณฑิต ในช่วงบ่ายนี้^^

ดีใจครับ เผลอแป๊บๆเวลาผ่านไป 4 ปีแล้ว (ไม่รวมเวลาที่ได้ทำงานในสายวิศวะอีกเล็กน้อย) ซึ่งผมถือว่ามันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในชีวิตการทำงาน มีอะไรอีกเยอะแยะมากมายเป็นภูเขาเลากาที่ผมยังไม่รู้และใคร่อยากจะรู้ เรียนรู้.. ความจริงผมคิดว่าผมโชคดีมากที่ได้รับ “โอกาส” ให้เข้าทำงานที่บริษัทที่ผมทำอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ได้มีโอกาสดูแลลูกค้าสถาบันที่เป็น “ระดับโลก” ได้มีโอกาสทำงานกับหัวหน้าที่มีความสามารถสูง มีความเป็นผู้นำ และเป็นกลางในการทำงาน ได้มีโอกาสทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่มีศักยภาพ มีความรับผิดชอบสูง ได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้บริหารระดับสูงที่เก่งและมีวิสัยทัศน์กว้างไกล สิ่งเหล่านี้ผมถือว่าเป็น “ความโชคดี” อย่างมากในชีวิตผม

สิ่งต่อมา เมื่อมีความโชคดี มันก็ย่อมมาคู่กับ“ความโชคร้าย”หรือ“ความล้มเหลว” ซึ่งผมขอเรียกมันว่า “ความล้มเหลวชั่วข้ามคืน”.. ชีวิตผมเจอความล้มเหลวไม่บ่อยครับ เนื่องด้วยเป็นคนที่ตั้งใจเรียนตั้งใจทำงานมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่า คะแนนอยู่ในอันดับต้นๆของห้องมาตลอดจนกระทั่งจบม.6 เคยเรียนได้ที่ 2 ของชั้นสมัยอยู่ม.5 ตอนนั้นดีใจมว้าก.. แต่ผมว่าชีวิตคนเราล้มบ้างก็ได้ การที่ไม่เคยล้มเลยมันทำให้ตอนล้มครั้งแรกเจ็บสุดๆ ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่อาจกระทบจนทำให้เรื่องอื่นเสียเอา ผมคิดว่าหากเราเจอความล้มเหลว ก็ขอให้เราคิดว่าเป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วครั้งชั่วคืนครับ ท่องคาถา “This too, shall pass” ไว้ “แล้วมันจะผ่านไป” เพราะบางครั้งแม้เราจะตั้งใจทำอะไรแบบสุดๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจไม่เป็นอย่างที่คิด (ซึ่งมันก็เกิดขึ้นกับผมในชีวิต 1-2 ครั้ง) ถึงตอนนั้นเราต้องไม่ท้อครับ ต้องสู้ ซึ่งผมเชื่อว่าหากเราผ่านไปได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นจะเป็นภูมิคุ้มกันต่ออุปสรรคใหม่ๆที่จะเข้ามาหาเราในชีวิต นั่นแหละคือ“ความโชคร้าย”ได้กลายสภาพเป็น“ความโชคดี”แล้วครับ

ความจริงมีอีกหลายเรื่องอยากจะกล่าวถึง แต่เหลือบมองนาฬิกาอุ้ยเที่ยงกว่าแล้ว เดี๋ยวไปไม่ทันถ่ายรูป.. ก็เอาเป็นว่าขอจบภาคแรกแต่เพียงเท่านี้ อย่าลืมนะครับ! หน้าที่ของเราคือต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ อย่ารอ เพราะเมื่อโอกาสเข้ามาต้องอย่าปล่อยให้หลุดมือไป และหากพบกับความโชคร้าย ก็ขอให้เชื่อว่าสุดท้ายมันจะกลายเป็นความโชคดีในที่สุดครับ สวัสดี : )




Wednesday, July 31, 2013

เดอะแก๊งค์สี่โมง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 31 กรกฎาคม 2556

สัปดาห์ที่ผ่านมามีนักลงทุนหลายท่านได้บอกกับผมว่าชอบข้อมูลในส่วนของ Flows Fund เอ้ย Fund Flows (:P) วันนี้เลยนำข้อมูลมาอัพเดทให้ครับ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาฝรั่งเป็นยอดซื้อสุทธิเบาๆในตลาดหุ้นไทย 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, หนักหน่อยใน Philippines 164 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ขายใน Indonesia 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความจริงผมเริ่มรู้สึกว่าตลาดหุ้นปีนี้มันชักจะเล่นยากขึ้นไปทุกที (เพิ่งจะรู้สึกเรอะ!) เรื่องที่ไม่มีเหตุผลมักเกิดขึ้นได้เสมอๆ ดังเช่นช่วงเวลา 4 โมงเย็นของทุกวัน ที่ตลาดหุ้นมักถูกทำมิดีมิร้ายอย่างไม่ทราบสาเหตุโดยกลุ่มคนต้องสงสัยที่ผมขอขนานนามว่า “The 4 PM-Gang” หรือชื่อเป็นภาษาไทยว่า เดอะแก๊งค์สี่โมง.. ไม่รู้อัดอั้นตันใจมาจากไหนสี่โมงทีไรหุ้นดิชั้นโดนเสยทุกที!” สาวน้อยเพียงดอยท่านหนึ่งบ่นงุบงิบ .. เห็นเนิบๆมาทั้งวังไม่น่ามีอังไล วอลุ่งก็น้อยขนาดนั้น ไหงทิ้งพรวดๆๆไม่ให้อั๊วะตั้งตัวเบยอาม่าอินเทรนกล่าวอย่างหัวเสีย

ผมก็ไม่แน่ใจนะครับว่าในต่างประเทศจะมีช่วงเวลาต้องระวังแบบเมืองไทยหรือไม่ แต่เรื่องของเรื่องก็คือฝรั่งเค้าก็แปลกใจกับช่วงเวลา 4 pm ไม่น้อยไปกว่าคนไทย.. หยั่งล่าสุดเมื่อวานก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเองก็พยายามหาสาเหตุต่างๆนานามาอธิบาย เช่น นักลงทุนขายเพื่อลดความเสี่ยงรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในวันที่ 30-31 กรกฎาคม รวมถึง ECB meeting ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ไง แล้วก็มี การเมืองไทย! เพราะเค้าจะเปิดประชุมสภาในอีกวันสองวันนี้แล้ว ก็กลัวว่าจะมีชุมนุมอะไรรุนแรง (แม้ปัจจัยการเมืองจะไม่ได้กระทบตลาดหุ้นในระยะยาว แต่หากเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นมา มันก็มีผลในระยะสั้นนะ) และอีกเรื่องที่สำคัญก็คือเรื่องโครงการ 2 ล้านล้าน ถ้าไม่ผ่านนิ catalyst ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยก็แทบจะไม่เหลือ (exports ก็หด การบริโภคกำลังซื้อก็ลด การลงทุนภาคเอกชนก็ถดถอย) ดูญี่ปุ่นซิ เค้ามีรถไฟความเร็วสูงตั้งกะปี 1964 จึงทำให้เกิดการพัฒนา กระจายความเจริญของสังคมเมืองสู่จังหวัดต่างๆ (Urbanization) และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาแล้ว.. ส่วนไทย ประเทศกำลังพัฒนา อดีตเสือตัวที่ห้าของเอเชีย และเป็นผู้ที่ถูกคาดหวังว่าจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการเชื่อมโยง (Connectivity) เมื่อเกิด AEC ก็ตามหลังญี่ปุ่นอยู่ 50 ปีเองง..


ตรงนี้ถามว่าเราเองมีตัวอย่างที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมไหม.. มีครับ ลองดู GDP เมื่อปี 2003-2006 การเจริญเติบโต GDP เชียงใหม่เทียบกับลำปางพบว่า GDP เชียงใหม่พุ่งสูงกว่าประเทศปรี๊ดๆ เพราะในปี 2003 เป็นปีที่มี Low-cost airline ที่เชียงใหม่เป็นครั้งแรก! พอมีระบบการบินภายในก็ทำให้ผู้โดยสารเพิ่มขึ้น เกิดการสร้างงาน ความเจริญก็กระจาย ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นเป็นลำดับ

เอ้านอกเรื่องไปตั้งไกล ขอกลับมาที่เดอะแก๊งค์สี่โมงครับ เอาเป็นว่า เวลาสี่โมงเย็นของทุกวันทำการตลาดหุ้นไทย.. ระวังหลังกันให้ดีนะทุกคน!!

Wednesday, July 24, 2013

เคล็ดไม่ลับของ Buffett

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 24 กรกฎาคม 2556

สัปดาห์ที่ผ่านมามีกี่นิ้วก็ต้องขอยกให้ทีม Tactical Research แห่งค่ายบัวหลวง นำโดยเซียนนิด ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ และกูรูตุ๊ ชาญณรงค์  มีชัยเจริญยิ่ง (สังเกตนะครับว่าชื่อและนามสกุลของพี่ทั้งสองมีทั้ง ชัย(ชนะ)และ เจริญ .. ช่างมงคลจริงๆ) ที่คาดกันตั้งแต่เดือนที่แล้วครับว่า หุ้นไทยในเดือนก.ค.นี้จะกลับมาสวีวี่วีได้จนถึง 1500++ จุด ซึ่งจากนี้ไปพี่เค้าก็ยังคาดครับว่า momentum น่าจะเดินเครื่องต่อ อาจมีลุ้นแถว 1530++ จุด ซึ่งถ้าดูประกอบกับผลสำรวจโดย Bloomberg ก็ชี้ว่า นักเศรษฐศาสตร์ทุกคน (ที่ทำ poll) เชื่อว่า การประชุม FOMC ในวันที่ 30-31 กรกฎาคมนี้ จะไม่มีการถอน QE แน่ๆ แต่ กว่าครึ่ง! เชื่อว่า Fed จะลดขนาด QE ลงในเดือนก.ย.ที่จะถึงนี้ (จำนวนเพิ่มขึ้นจาก 44% ที่สำรวจเมื่อเดือนที่แล้ว) โดยมีการคาดการณ์กันครับว่าจะลดจาก 85,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน เหลือ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน แบ่งเป็น Treasuries 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Mortgage-backed security 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความจริงแล้วก็ไม่อยากจะให้ไปยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องถอนไม่ถอน QE มากไปครับ เพราะมันเป็นเครื่องกำหนดราคาหุ้นในระยะสั้น-กลาง (แต่เราจะไม่รู้เลยก็ไม่ได้) ซึ่งในระยะยาวแล้วราคาหุ้นก็วิ่งตามผลประกอบการของบริษัทเท่านั้น ไม่ใช่ปัจจัยเรื่องสภาพคล่องเหล่านี้.. ในวันนี้ผมเลยมีเคล็ดไม่ลับของ Buffett มาฝากแฟนๆปิดท้ายสั้นๆครับ

Warren Buffett ลงทุนในบริษัท Washington Post ด้วยเงิน 11 ล้านเหรียญตั้งกะปี 1973 และถือมาจนถึงตอนนี้โดยไม่เคยขายซักกะหุ้น! ทราบมั้ยครับเงิน 11 ล้านเหรียญ ในตอนนั้น ผ่านมาถึงตอนนี้ขึ้นมาเป็น 900 ล้านเหรียญ กว่า 8000% !!! "เวลาในการถือหุ้น" เป็นหนึ่งในเคล็ดไม่ลับที่ทำให้ Buffett รวยเป็นอันดับต้นๆของโลก ดังที่อดีตลูกสะใภ้ Mary Buffett กล่าวไว้ครับว่า "Warren has learned that time will make him superrich when he invests in a company that has a durable competitive advantage working in its favor." .. แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ


Wednesday, July 17, 2013

ฤาเหยี่ยวกำลังจะกินพิราบ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 17 กรกฎาคม 2556

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสพบผู้จัดการกองทุนระดับแสนล้านในห้องลับแห่งหนึ่ง ผมได้เกริ่นกับท่านว่าเหมือนงบ Q2 ของสถาบันการเงินในอเมริกาจะดูดีกว่าที่คาดเยอะนะครับ (มาถึงก็เข้าเรื่องเลย คริคริ) -- Wells Fargo กำไรโต 19%, Citigroup โต 41%, JP Morgan โต 31% (ถ้าจำกันได้แบงค์นี้แหละที่ทำ Trading loss มูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อกลางปีก่อน) และล่าสุด Goldman Sachs (ชอบชื่อนี้มากไม่รู้ทำไม คริคริ) ประกาศกำไรโตเท่าตัว! -- ตรงนี้น่าจะเป็นสัญญาณชี้อย่างหนึ่งว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวใช่หรือไม่ เพราะภาคการเงินน่าจะเป็น Indicator ที่ดีอย่างหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ สังเกตจากวิกฤตครั้งใหญ่แทบทุกครั้งสาเหตุก็มาจากภาคการเงินทั้งนั้น.. ท่านไม่ได้ตอบผมตรงๆแต่แชร์มุมมองเพิ่มครับว่า จริงอยู่เราอาจเริ่มเห็นบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯทยอยประกาศผลประกอบการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ แต่มันจะกลายเป็นว่า เมื่อคนอเมริกามีความเชื่อมั่นมากขึ้น ภาคธุรกิจการเงินดูดีขึ้น สถาบันการเงินเหล่านั้นก็อาจดึงเงินที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่กลับไปเร็วขึ้น เพื่อไปเสริมสภาพคล่องหรือปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนรวมถึงภาคเอกชนเพื่อให้เกิดการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง (Real sector) ต่อไป ก็ความเชื่อมั่นมันสูงขึ้นนิ!


อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ บังเอิญผมไปเจอรูปนี้มาครับ คริคริ คงไม่ลงในรายละเอียด แต่ขอสรุปให้อ่านสั้นๆครับว่า จากรูป ได้แบ่งเหล่าผู้มีอิทธิพลกับการยก QE ออกไม่ออก เป็น 2 สาย คือ 1. สายเหยี่ยว (Hawk) – เห็นด้วยสุดๆจะให้ยก QE ออกแบบด่วนๆ 2.สายนกพิราบ (Dove) – ไม่เห็นด้วยสุดๆที่จะให้ยก QE ออก (คืออยากให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป) ส่วนระดับความร้อนแรงของแต่ละท่านก็ลดหลั่นกันไปตามรูปนะครับ.. สังเกตว่าคนที่อยู่ใน Board รวมถึง Bernanke (ผู้ว่า Fed คนปัจจุบัน) และ Yellen (ตัวเกร็งผู้ว่าคนถัดไป) ยังอยู่ในโซน Dove ซะส่วนใหญ่ แต่เมื่อดูโดยภาพรวมเทียบปีนี้กับปีหน้าแนวโน้มเริ่มเปลี่ยนไปทางเหยี่ยว (Hawk) มากขึ้น... เห็นแบบนี้แล้วเราก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม ลงทุนด้วยความระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้นครับ  


Wednesday, July 10, 2013

Fund Flows เปลี่ยนทิศ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 10 กรกฎาคม 2556

เมื่อย้อนไปดูตัวเลขภาคการผลิตและภาคการบริการของยุโรป (PMI) และอเมริกา (ISM) รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นของญี่ปุ่น (Tankan) ที่เพิ่งประกาศในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพรวมถือว่าดีขึ้นแม้จะยังไม่ฉูดฉาด แต่ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่าเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้วกำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆครับ ตรงนี้แท้จริงแล้วถือว่าดีต่อเศรษฐกิจโลก เพราะ 3 กลุ่มที่ว่านี้รวมกันขนาดเศรษฐกิจก็ปาไปเกือบ 60% ของโลกละ แต่ที่ผมรู้สึกกังวลก็คือ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยที่เป็นพระเอกเหนือประเทศพัฒนาแล้วมาโดยตลอด หลังจากนี้ช่องว่างตรงนั้นอาจจะค่อยๆแคบลงครับ หมายถึง เราน่าจะโตได้ดีอยู่ แต่อาจไม่ได้ด้วย speed เหมือนที่ผ่านมา (เว้นแต่โครงการ 2 ล้านล้านจะฉลุย ซึ่ง ณ ขณะนี้ถือว่ายังไม่แน่นอน) ขณะที่อเมริกา ซึ่งกำลังฟื้นอย่างช้าๆ ยุโรป ที่เชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และญี่ปุ่นที่อาจเรียกได้ว่ามาแรงที่สุดในกลุ่ม G3 (จาก Abenomics) น่าจะกำลังดึงความสนใจจากนักลงทุนบางส่วนให้โยกย้ายเงินกลับไปลงทุนในกลุ่มประเทศเหล่านั้น


ตรงนี้มีรูปยืนยันครับ (เดี๋ยวจะหาว่าโม้ อิอิ) จากกราฟจะเห็นว่า Flows เริ่มเปลี่ยนทิศไปเข้าตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วตั้งแต่ต้นปี 2013 แต่ในขณะที่ Flows ที่ไหลเข้าหุ้นในตลาดเกิดใหม่ก็ยังไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (แค่หักหัวเบาๆ) แต่ถ้าสังเกตดีๆก็จะรู้สึกว่าต้องระวังครับ เพราะลมมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทิศละ.. ทีนี้พอมาเจาะดูเฉพาะประเทศไทย (รูปล่างซ้ายโดย MS, Bloomberg อัพเดทถึง 4 ก.ค. และรูปขวาโดย Thaibma, Aspen) ก็จะเห็นว่า Flows ทยอยออกจริงอะไรจริง โดยเฉพาะในเดือนมิ.ย. โกยหมดทั้งตราสารหนี้และหุ้น เริ่มเสียวไหมครับ
ที่เล่ามาก็เพราะแค่ต้องการจะให้ข้อมูลทุกท่านในการวิเคราะห์ภาพใหญ่ ไม่ได้ชี้นำแต่อย่างใด (กลัวผิดเหมือนกัน อิอิ) Fund Flows แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Macro Investors ต้องจับตา.. การเทรด TFEX จะปลอดภัยมากขึ้นขึ้นหากเรายืนอยู่บนแนวโน้มหลักและกำหนดจุด stop loss ให้ดี.. สู้ๆครับ


Wednesday, July 3, 2013

ยังโอเครึป่าว?

เฮลโล่ว,
เขียนเมื่อ 3 กรกฎาคม 2556

ตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ดูเหมือนจะผันผวนเบาๆนะครับนะ ในมุมมองของผมก็คิดว่า SET Index น่าจะแถๆไถๆไปได้เรื่อยๆ จากตัวเลขฝรั่งที่ทยอยกลับมาซื้อเฉาะแฉะในตลาดหุ้น และโดยเฉพาะใน SET50 Futures ที่จัดหนัก long ไปถึง 9454 สัญญาในช่วง 6 วันทำการที่ผ่านมา แบบนี้น่าจะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนชาวไทยได้ไม่มากก็น้อยละครับ... อย่างไรก็ดี อันที่จริงผมเองก็ยังเสียวๆอยู่เหมือนกันละ ตลาดพี่ไทยเรายิ่งอินดี้ไม่ค่อยเหมือนใครอยู่ซะด้วย เงินมันไหลไปๆมาๆจนบางทีนักลงทุนวัยรุ่นอย่างเราๆก็ตามไม่ทัน ยิ่งผู้ที่เล่นในตลาด TFEX ด้วยแล้ว จะสังเกตได้ว่าความผันผวนในช่วงที่ผ่านมาทำให้ช่องห่างระหว่าง bid-offer ของ SET50 Futures มากถึง 10 ช่องได้เลย จึงอยากขอเน้นและย้ำครับว่า หากใจไม่นิ่งพอ ขอให้อยู่นิ่งๆ อย่าได้เอานิ้วไปแหย่พัดลมที่เปิดเบอร์ 3 อยู่เชียว แต่หากยึดมั่นถือมั่นในแนวคิดและมองเทรนระยะกลางออกแม่นๆ ก็จัดไปเลยครับ TFEX หน่ะ.. อู๊ดๆ

เมื่อกี้พูดถึงเงินไหลไปๆมาๆ ก็เลยอยากให้ดูของเล่น 2 ตัวครับ เผื่อว่าจะพอคาดสถานการณ์ได้บ้างคร่าวๆ ตัวแรกคือ ค่าเงินบาท ใช่ครับ! หากค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯพลิกมาแข็งค่าในระหว่างวันแสดงว่ามีเงินไหลเข้ามา หุ้นก็น่าจะดีดตามไปด้วย แต่หากอ่อน นั่นหมายถึงเงินไหลออก ซึ่งวันนั้นคุณอาจจะเห็นฝรั่งเป็น Net Sellers ก็เป็นได้
Source: Aspen (11.00 am: 3/7/13)

ตัวที่ 2 ก่อนจบ.. คืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาอายุ 10 ปีครับ (ช่วงนี้ฮิตเหลือเกิน) ในช่วงเดือนที่ผ่านมานักลงทุนกลัวกันสุดๆว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะดูดเงินกลับsoon พวกกองทุนต่างๆทั่วโลกจึงแห่ขายพันธบัตรทำให้ราคาลงจู๊ดๆ และผลตอบแทนขึ้นปรู๊ดๆ (2 ตัวนี้มันสวนทางกัน!) โดยมีรายงานว่าจำนวนเงินที่ไหลออกจาก ETF และกองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วโลกในเดือนมิ.ย.ทำสถิติสูงสุดเกือบ 2 เท่าของจำนวนเงินที่เคยไหลออกในช่วงวิกฤต Subprime (ราว 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จนทำให้กองทุนเหล่านั้นต้องไปขายทองคำ หุ้น เพื่อเอากำไรมาโป๊ะขาดทุนพันธบัตร (เพราะเค้าถือพันธบัตรอยู่เยอะกว่ามว๊ากๆ).. ถึงตอนนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย นักลงทุนรับข่าวกันไปอิ่มหนำสำราญ ราคาพันธบัตรน่าจะกลับมาขึ้นได้ละมั้งครับ นั่นหมายถึง อัตราผลตอบแทนควรจะลดลง ซึ่งนั่นก็น่าจะส่งผลให้หุ้นยังอยู่รูปแบบที่โอเคต่อไปครับ OK!! (จากรูป: US 10-year Treasury bond yield vs SET Index แบบ relative)