Wednesday, September 10, 2014

ยุ่นปี่

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 10 กันยายน 2557

ผมเคยเขียนถึงการลงทุนในตลาดหุ้นจีนในบทความเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้เชียร์ให้ซื้อ แต่ก็แอบดีใจว่าตลาดหุ้นจีนก็ได้ขึ้นมาราว 6%จากวันนั้นถึงวันนี้.. คราวนี้เลยจะพาคุณผู้อ่านไปเที่ยวประเทศอื่นในแถบเอเชียเหนืออีกดูบ้าง ประเทศนั้นคือประเทศยุ่นปี่ ญี่ปุ่นครัช
  
Morgan Stanley ยักษ์ใหญ่การเงินชื่อดังของโลกได้ออกบทวิเคราะห์สะท้านทรวงเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาครับว่า ตอนนี้เค้าชอบหุ้นญี่ปุ่นที่ซู้ดด เหตุผลก็เพราะว่าการส่งออกของญี่ปุ่นจะค่อยๆ ดีขึ้นจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดี แม้ว่าการบริโภคในประเทศจะยังอ่อนแอ แต่นั่นจะทำให้ธนาคารกลางของเค้า (BOJ) ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก (ลุ้นผลประชุมปลายเดือนตุลาฯ) เอ้า งี้เยนก็ยิ่งอ่อน ส่งออกก็ยิ่งดีนะซิ!



ยิ่งไปกว่านั้น หันไปดูในแง่ผลประกอบการบ้าง Morgan Stanley บอกว่าบริษัทในญี่ปุ่นอ่ะประกาศผลกำไรมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ถึง 7 ไตรมาสติดกันแล้วนะ แม้กระนั้น PE ก็ยังถูกอยู่เลย.. ทีมวิเคราะห์เค้าเลยคาดการณ์กันว่า ROE ของบริษัทจะโตอีก 50 bps ในปีปฏิทิน 2015 เลยเชียวละ (อ๊ะๆ เหลือบไปดู upside จาก Target price เฮียเค้าให้ไว้ถึง 15% เลย)



หันกลับมาบ้านเรา ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ควรจะมีการปรับตัวบ้างเล็กน้อยเช่นเดียวกันกับตลาดอนุพันธ์ละครับ หลังจากเกิดสัญญาณ Bearish Divergence บนตัวเจ้า SET50 Futures ในภาพรายวันเมื่อสิ้นวันที่ 9 ก.ย. ที่ระดับ RSI เข้าใกล้เขตซื้อมาก (ใกล้ 70) อย่างไรก็ดีผมคิดว่าการปรับตัวรอบนี้จะไม่ได้รุนแรงอะไร (ไม่น่าหลุดกรอบขาขึ้น) แนะนำให้ลองดู RSI ประกอบ ถ้าถอยลงมามากเท่าใดดีกรีการปรับตัวน่าจะค่อยๆเบาลงมากเท่านั้นครับ


แล้วพบกันใหม่บทความหน้าครับ : )

Wednesday, September 3, 2014

10 ปีที่ผ่านมา

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2557

ผมรู้สึกว่าประเทศไทยเรากำลังวิ่งเข้าหาประเทศตะวันตกหรือประเทศพัฒนาแล้วในหลายๆ เรื่องครับ ลองนึกย้อนไปเมื่อซัก 10 กว่าปีก่อน ไม่ค่อยเห็นหรอกที่คนหนุ่มสาวหรือเด็กในวัยเรียนจะแยกจากพ่อแม่มาอยู่เอง ในขณะที่การทำแบบนั้นเป็นเรื่องปกติของฝรั่งมาช้านานแล้ว หันกลับมาดูปัจจุบัน การเดินทางในกรุงเทพฯ เริ่มสะดวกมากขึ้น มีคอนโดฯ ผุดขึ้นเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่รถไฟฟ้าผ่าน เราเริ่มจะรู้สึกว่าไม่แปลกแฮะที่เด็กสมัยนี้จะย้ายมาอยู่คอนโดฯ เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ในขณะที่ผู้ปกครองก็อาจมองว่าเป็นการฝึกให้ลูกๆ ได้รู้จักใช้ชีวิต และยืนได้ด้วยลำแข้งตนเอง มีการซื้อคอนโดฯ ไว้เพื่อเป็นแหล่งพักพิงแหล่งที่ 2 หรือบ้างก็ไว้เก็งกำไร.. ลองคิดเล่นๆ ครับว่าหากอนาคต 10-20 ปีข้างหน้ามีการเดินทางสะดวกสบายทั่วประเทศ พฤติกรรมคนต่างจังหวัดก็ต้องเปลี่ยน สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ต้องผุดตาม แล้วใครบ้างละที่ได้ประโยชน์?



อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเปลี่ยนไปค่อนข้างชัดก็คือ “ความรู้สึกคนไทยกับการทำประกัน” ผมว่า 10 ปีที่ผ่านมานี้ภาพลักษณ์ธุรกิจประกันดูดีขึ้นนะ คนไทยเริ่มเห็นว่าการทำประกันไม่ว่าจะประกันชีวิตหรือประกันภัยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันช่วย “ปิดความเสี่ยง” ในขณะที่แท้จริงแล้วถ้ามองย้อนไปชาวตะวันตกเค้ารู้สึกแบบนี้มาช้านานแล้ว (ปัจจุบันคนอเมริกาถือประกันเฉลี่ยคนละ 5-6 ฉบับ คนไทยถือเฉลี่ยคนละไม่ถึง 1 ฉบับ!) ซึ่งแนวโน้มนี้ผมคิดว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตเพียงแต่อัตราเร่งจะมากจะน้อยก็ขึ้นกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ลองนึกดูว่าในอดีตจากที่คนเบือนหน้าหนีเลยเวลาใครมาเสนอขายประกัน อาจจะเปลี่ยนเป็นฟังซักหน่อยก่อนแล้วค่อยหนี หรือฟังนานขึ้นหน่อยแล้วหยวนๆ ซื้อ.. ไม่แน่ในอนาคตอาจจะเปลี่ยนเป็นเราที่ต้องวิ่งเข้าหาคนขายประกันก็เป็นได้ครับ

สรุป หากลองนึกๆ ดีก็จะพบครับว่าพฤติกรรมคนไทยที่กำลังเปลี่ยนไปนั้น ได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนนานแล้วในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สาเหตุก็ง่ายๆ “เพราะมนุษย์เรามียีนเดียวกัน” ยังไงพฤติกรรมพื้นฐานควรจะต้องไม่ต่างกัน.. ความจริงมีอีกหลายเรื่องที่ผมรู้สึกว่าเปลี่ยนไปในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ไว้จะทยอยเล่าให้ฟังนะครับ (ใครนึกออกอีกก็แชร์กันก่อนได้) ส่วนภาพตลาดในสัปดาห์นี้ต้องบอกว่าเหนียวแน่นหนึบ มาจากความเชื่อมั่นที่มากขึ้นจากการที่ได้เห็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ผมมองว่าข้อดีอีกข้อหนึ่งของการที่เรามีรัฐบาลทหารก็คือสามารถลดขั้นตอนในการอนุมัติโครงการต่างๆ ออกไปได้ พูดง่ายๆ นโยบายใดที่ดีในรัฐบาลก่อนๆ ที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รับการอนุมัติ น่าจะได้นำมาใช้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในรัฐบาลนี้ด้วยครับ  

Wednesday, August 27, 2014

Chandelier Stop

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 27 สิงหาคม 2557

ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมายังคงไต่ผาสูงชันขึ้นมาเรื่อยๆ จนทำจุดสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งในวันนี้ แต่ผมกลับรู้สึกว่าหุ้นขนาดใหญ่กลับไม่ค่อยขึ้นมากเท่าไหร่ เป็นหุ้นขนาดกลาง-เล็กซะมากกว่าที่ช่วยกันดันดัชนี (จำได้ว่าอาทิตย์ก่อนหุ้นอะไรนะ ABCDE ตัวเดียวมีผลทำให้ดัชนีในวันนั้นบวก 2-3 จุด!) ซึ่งตรงนี้ก็ไปสอดคล้องกับสัญญาณเตือนที่นักวิเคราะห์ของเราแจ้งมาครับว่าปริมาณการซื้อขายของหุ้นนอก SET100 ณ ขณะนี้อยู่ที่ 43% ของปริมาณการซื้อขายทั้งตลาดแล้วนะ! ซึ่งนี่เป็นระดับที่สูงผิดปกติ บอกเลย เพราะทุกครั้งที่ตัวเลขนี้เกิน 40% ตลาดจะมีการพักตัวหรือปรับฐาน เว้นอยู่ครั้งเดียวเมื่อเดือนมกราปี 2012 เพราะตอนนั้นตลาดยังไม่แพงมาก (ดูรูปประกอบ)




อย่างไรก็ดี ตรงนี้ก็เป็นแค่สัญญาณเตือนครับ ไม่ได้บอกว่าหุ้นจะต้องลงกระฉูดอย่าเพิ่งตกใจ เอางี้ละกัน สำหรับนักลงทุนเล่นรอบ นักเก็งกำไร หรือนักใช้ใจเทรด TFEX ผมขอแนะนำให้รู้จักกับเจ้า Trailing Stop หรืออีกชื่อหล่อๆว่า Chandelier Stop
  
(หลายท่านคงรู้จักดีอยู่แล้ว) หลักการของเจ้า Trailing Stop หรือ Chandelier Stop ก็ไม่มีอะไรมากครับ เพียงแค่หากท่านมีหุ้นก็ถือหุ้น หากมี Futures ก็ถือ Futures ต่อไปตราบเท่าที่ยังไม่หลุดจุดที่เราตั้งไว้ (โดยไม่ต้องสนที่คนคาดว่าตลาดจะขึ้นหรือจะลงเพียงใด) และเราก็ปรับจุดนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามดัชนีหรือหุ้นที่เพิ่มขึ้น.. พูดง่ายๆ มันเป็นจุดที่เอาไว้ protect gains นั่นละครับ
   
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณซื้อ S50U14 ได้ที่ราคา 1020 ในขณะที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1049 คุณก็อาจจะตั้ง Trailing Stop ไว้ที่ 1040 หมายถึง ตราบใดที่ S50U14 ยังไม่หลุด 1040 เราก็ถือเจ้า S50U14 ต่อไปเรื่อยๆ ยังไม่ขายทำกำไร หากในวันต่อมาเจ้า S50U14 ขึ้นต่อไปที่ 1060 คุณก็อาจจะขยับ Trailing Stop ตามมาที่ 1050 จุด (แม้เจ้า S50U14 จะแกว่งผันผวนเพียงใดขอเพียงแต่ไม่หลุด 1050 คุณก็ถือต่อ ถ้าหลุดก็ขาย) และถ้าวันถัดมาเจ้า S50U14 ยังขึ้นต่ออีก คุณก็แค่ขยับ Trailing Stop ตามไปอีกก็แค่นั้น

เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยลดโอกาสในการตื่นตกใจขายหมูของคุณไปได้เกือบครึ่งแล้วละครับ ลองดูนะ ไม่ยาก 

Wednesday, August 13, 2014

นอกกรอบ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2557

ผ่านพ้นช่วงวันหยุดยาวกันไปกลับมาเริ่มงานใหม่ ตลาดหุ้นไทยก็ขึ้นให้ชื่นใจไล่ตามตลาดภูมิภาคในช่วงที่ปิดไปอย่างน่าเกรงขาม จากรูป จะเห็นว่า SET Index วิ่งเลี้ยงตัวสวยในกรอบขาขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีและก็ยังไม่มีท่าทีจะหลุดนอกกรอบให้วุ่นวายใจ แถมยังยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน (สีฟ้า) ได้อย่างสวยหรูอีก แบบนี้ก็คงไม่ต้องสืบละนะครับว่าเชียลงไปก็มีแต่ปวดร้าว เว้นเสียแต่มันจะหลุดกรอบขาขึ้นนี้แบบหมดจดเท่านั้น   



ในขณะที่ เหลือบไปมองเจ้ากองตุน เอ้ย กองทุนไทย ก็แหมขยันออกกันจัง Trigger funds เนี่ย ผุด ผุด ผุด รวมๆกันในช่วงนี้ก็กว่า 3 พันล้านบาทเข้าให้ ตลาดหุ้นไทยเลยเหนียวซะยิ่งกว่าตังเมซะอย่างนั้น



ถัดมาลองมาดูตัวเลขสัดส่วนการซื้อขายของฝรั่งกันครับ จะเห็นว่าลดลงพรวดในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ (จาก 30.1% ในไตรมาส 1 เป็น 18.9% ในไตรมาส 3) ในขณะที่รายย่อยอย่างเราๆ นั่นละครับ ตัวดี ซื้อขายกันจัง สัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเห็นๆ (จาก 47.5% ในไตรมาส 1 เป็น 61.7% ในไตรมาส 3) บ้างก็เลยเอามาสรุปกันว่าฝรั่งเค้ารอจังหวะเป้งๆอยู่ตลาดหุ้นไทยลงเมื่อไหร่ สอยแหลกแน่... มันก็เลยไม่ลงซักทีนะซิ ฮือๆ

สุดท้ายของบทความนี้แต่ไม่ท้ายสุด ผมนำเรื่องของเพดานการคุ้มครองเงินฝากมาฝากครับ เพราะว่ามันกำลังจะถูกลดลงครึ่งหนึ่งจากที่คุ้มครอง 50 ล้านบาท เหลือ 25 ล้านบาทในวันที่ 11 สิงหาคมปีหน้า และจะเหลือคุ้มครองเพียง 1 ล้านบาท ในวันที่ 11 สิงหาคมอีกปีถัดไป ตรงนี้ก็เป็นที่คาดการณ์กันว่าอาจจะมีเงินบางส่วนวิ่งวนไปเข้าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่หุ้น (เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ราว 10 ล้านล้านบาท ถ้าปีหน้าลดการันตีลงมาครึ่งหนึ่งก็อาจจะมีสภาพคล่องราว 5 ล้านล้านบาทที่จะวิ่งไปหาสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้น)



บทสรุปของผมก็คือ ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้น่าจะยัง resilient อยู่ครับ หมายถึง แม้จะมีปัจจัยภายนอกและภายในมากระทบทำให้หุ้นตกซักเพียงใด หุ้นไทยก็น่ามีแรงซื้อเข้ามาช่วยพยุงอยู่ได้ตลอด..แต่จะเป็นแบบนี้ไปได้อีกนานซักแค่ไหน อันนี้ก็ต้องติดตามตอนต่อไปละครับ!

Wednesday, July 30, 2014

ประเทศจีน

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 30 กรกฎาคม 2557

ตลาดหุ้นไทยดูเหมือนจะเริ่มห่อเหี่ยวหลังจากปรับตัวขึ้นติดต่อกันมาถึง 6 สัปดาห์ (มีขึ้นมีลงเป็นสัจธรรม) 
  
ความจริงเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนทีมนักวิเคราะห์เชิงปริมาณของบัวหลวงเราได้ออกมาคอลว่าตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับลงแรง (ณ ช่วงเวลานั้น SET Index อยู่ที่ราว 1530-1540) แต่ดัชนีก็ได้ปรับตัวสวนทางเล็กน้อยโดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1548 ในสัปดาห์ถัดมา

อย่างไรก็ดี ถือว่ามี error นิดหน่อยไม่ได้น่าเกลียดครับ เพราะวันนี้ทีมเดิมก็ได้ออกมาย้ำอีกครั้งครับว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานได้อยู่ (สัญญาณต่างๆ ยังบ่งบอกว่าแพง) ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ ในสัปดาห์นี้ตลาดเริ่มปรับฐานจริงบ้างละโดยล่าสุดดัชนีลงมาปิดที่ 1512.41 ณ ครึ่งเช้าของวันที่ 30 ก.ค.



ช่วงเวลาแบบนี้ ผมเลยอยากพักผ่อนพาทุกท่านแวะไปเที่ยวเอเชียเหนือกันดีกว่า โดยจุดหมายปลายทางแรกก็คือ ประเทศจีน โดยมีผลสำรวจที่น่าสนใจจาก Morgan Stanley ที่เค้าได้ทำการสำรวจความคิดเห็นนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนทั่วโลกผลปรากฎว่า ท่านเหล่านั้นเชื่อว่าตลาดหุ้นจีน (MSCI China) จะให้ผลตอบแทนที่ดีถึง 6.8% ในช่วงเวลา 12 เดือนจากนี้ครับ (เพิ่มขึ้นจาก 3.9% ที่สำรวจเมื่อเดือนก่อน)
  
เหตุผลหลักๆ ก็คือเรื่องของการปฏิรูปนโยบายต่างๆ ของจีนเค้านั่นละครับ โดยหากลงไปดูให้ลึกซักนิดก็จะพบว่าจีนกำลังใช้นโยบายการคลังขาดดุล (Fiscal deficit) ซึ่งสูงสุดในรอบ 4 ปี รวมถึงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Targeted monetary easing measures: IR/RRR cuts) ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเค้านั่นละ
  
กลุ่มที่ได้รับ Top vote ว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดใน 12 เดือนจากนี้ก็คือเทคโนโลยี (Technology) และการเงิน (Financials) ส่วนกลุ่มที่ได้รับ Bottom vote ก็คือ กลุ่มวัสดุ (Materials) ครัช



สุดท้าย พูดถึงผลตอบแทนจะไม่พูดถึงความเสี่ยงก็ไม่ได้ จากผลสำรวจ เรื่องที่เป็นที่น่ากังวลที่สุดของประเทศจีน ณ ขณะนี้ก็คือ หนี้เสียของภาคธนาคาร (Bank NPLs) และเรื่องอัตราการขยายต่อของเศรษฐกิจที่อาจเติบโตได้ช้าลง (GDP growth deceleration)
  
นิเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เป็นน้ำจิ้มเผื่อท่านใดอยากจะกระจายการลงทุนไปต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยง แต่ขอย้ำท่านต้องศึกษาข้อมูลให้มากและลึกซึ้งกว่านี้นะครับ! รู้แค่นี้ไม่พอหรอก สู้ๆ 

Wednesday, July 16, 2014

หล่อ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 16 กรกฎาคม 2557

ต้องบอกว่าตลาดหุ้นไทยหนังเหนียวฝุดๆ เพราะไม่ว่าค่ายไหน โบรกไหน คนไหน จะเชียร์ให้ตลาดลงเทกระจาดซักเพียงใด ม้านก็ไม่ยอมลง ซึ่งหากใครจำกันได้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน หลักทรัพย์บัวหลวงเราได้ “หล่อ” โดยปรับเป้าสิ้นปี SET Index จาก 1480 ขึ้นไป 1530 (ตอนนั้น SET Index อยู่ที่ 1470) โดยให้เหตุผลแบบฮาๆ ว่ากลัวถึงเป้า 555
  
แต่จากนี้ไปเนี่ยสิ ยังไง ผมก็ได้สอบถามบุรุษท่านเดิมผู้ซึ่งเป็นคนปรับเป้า SET Index เมื่อครั้งก่อน บุรุษท่านนั้นบอกว่า มันก็ขึ้นกับ Regional อะนะ ถ้าตลาดภูมิภาคขึ้น เราก็ยังขึ้นตามได้อีก แล้วไอ 1530 ที่ให้นะ มันเป็น base-case แต่ถ้า bull-case อะมันได้ถึง 1580 !!
  
แต่
  
ชะช้า เมื่อตลาดหุ้นขึ้นมาถึงเป้าแรกแล้วจะให้ขึ้นต่อพรวดๆๆ เลยก็กระไรอยู่ ทีมนักวิเคราะห์เชิงปริมาณหลักทรัพย์บัวหลวงจึงได้ฤกษ์ออกโรงออกเปเปอร์สะท้านพิภพตบตลาดให้ย่อก่อนซักนิดเพราะดัชนีมาถึง 1530 ตามที่คิดแล้วก็ควรจะพักบ้างอะไรบ้างซักกระติ๊ด



จากรูป ผมหยิบมาให้ดูเป็นน้ำจิ้ม จะเห็นว่า SET’s forward PE มันขึ้นมาอยู่ในโซนแพงซะแล้ว (รูปซ้าย) ซึ่งทุกครั้งที่มันอยู่ในโซนแพง แม้ว่าอาจจะยื้อจะยักจะนักจะนานซักเพียงไหนประเดี๋ยว มันก็ต้องมีลงมาหน่า.. ประกอบกับไปดูไอเจ้าค่าความผันผวน (E-GARCH Vol) ปรากฎว่ามันอยู่ในโซนต่ำมาเป็นเวลานาน (รูปขวา) นั่นหมายถึงโอกาสที่ความผันผวนจะขึ้นจากนี้ไป มีสูงมาก.. อันตราย?



ซึ่งถ้าลองดูในเชิงเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯก็อยู่ในโซนแพงเช่นกันครับ ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนดันเข้าใกล้โซนถูกซะงั้น
  
อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่าระยะยาวแล้วตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสอีกมากให้นักลงทุนได้จับจองเป็นเจ้าของบริษัทที่ดี ซึ่งจากนี้ไม่ว่าตลาดจะปรับฐานหรือไม่ หรือจะขึ้นพรวดๆไปไม่สนเป้าเลยก็ตาม สิ่งที่ต้องพึงระลึกไว้เสมอก็คือต้องศึกษาข้อมูลให้ดีทุกครั้งก่อนลงทุนนะครับ ต้องรอบคอบ และไม่ประมาทครับผม  

Wednesday, July 2, 2014

พลังคลื่นเต่า

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2557

ตลาดหุ้นไทยหลังจากไต่ๆ อยู่แถว 1470 ได้เกือบเดือนในที่สุดก็ปู๊ดขึ้นมาถึง 1490 ได้ในวันเปิดศักราชใหม่ของครึ่งปีหลังของปี 2014 พร้อมๆ ไปกับการปล่อยพลังคลื่นเต่าของเหล่าโบรกเกอร์ ที่มองว่าหุ้นไทยปีนี้น่าจะไปจบกันที่เกิน 1700 จุด



ในขณะที่บัวหลวงเรา ยังเก็บพลังเต่าไว้อยู่ไม่ได้ปล่อยครับเพราะเพิ่งปรับเป้าสิ้นปีขึ้นไปที่ 1530 จุด (จาก 1480 จุด) ไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน และเรายังไม่คิดว่ามันจะไปได้ไกลกว่านั้นในปีนี้ครับ

ส่วนตัวผมเองก็เริ่มตะหงิดๆ เพราะลองดูจากกราฟเจ้า S50U14 จะพบว่า เฮ้ย มันขึ้นมาใกล้ระดับสูงสุดที่ทำไว้เมื่อปีก่อนแล้วนิหน่า (แถวๆ 1010) เป็นไปได้ว่าจะมีปรับ มีพัก กันก่อนหรือเปล่า?



กระนั้นก็ยังไม่แน่ใจ เลยหันไปปรึกษา ทีมที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น ขาโหดของบัวหลวง นั่นก็คือ ทีม Quantitative Model



เลยได้ 4 กราฟหฤโหด ส่งมาให้แต่หัววันครับ (ดังรูปด้านบน) สรุปได้ว่าตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าสู่ จุดที่ความเสี่ยงสูง (Risky area) และเข้าสู่พื้นที่แพง (Expensive zone) ทำให้มีโอกาสที่ตลาดจะปรับฐานเบื้องต้นได้ราว 2-3% ในเร็วๆนี้ครับ
   
ก็ไม่รู้สินะ.. At the beginning of a bull market, few investors believed it has started. At the end of a bull market, few accept that it’s ending. ก็ต้องดูกันต่อไป ใครเล่าจะรู้จริง
  
โชคดีครับ

Wednesday, June 18, 2014

จะช้าอยู่ใย

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 18 มิถุนายน 2557

ตั้งแต่ทหารได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมาก็เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่ตลาดหุ้นไทยขึ้นปู๊ดๆ ตอบรับในเชิงบวก หลงจ้งก็ราว 5% มาเคาะใกล้ประตู1500 ได้อย่างไม่หวั่นเกรงฝรั่งหัวทอง
   
หลักทรัพย์บัวหลวงเราก็ไม่รอช้าครับ เพราะดัชนี SET ณ บัดนาว (สิ้นวัน 17 มิ.ย.) แถว 1470 ก็ใกล้เป้าหมายสิ้นปีเดิมที่ 1480 ซะเหลือเกิน จะช้าอยู่ใย ปรับหนีมันซะเลย! (แบบว่ากลัวถึง) โดยฝ่ายวิจัยได้ขยับเป้าหมายสิ้นปีขึ้นไปเป็น 1530 บ่งบอกถึง upside อีก (เพียง) ราว 4% เนื่องจากนโยบายต่างๆ ของคสช.ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นแต่ก็เตือนละครับว่า ความเสี่ยงจากนี้ไปอยู่ที่การฟื้นตัวของ 3 ใบเถา อย่างอเมริกา ยุโรป และจีน รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเลิกมาตรการ QE ภายในสิ้นปีนี้และขายคืนพันธบัตรและขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปีหน้า



ความชัดเจนเรื่องการแต่งตั้งรัฐบาลรักษาการณ์ในไทยก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องจับตามองครับ กรอบเวลาสำคัญ! จริงๆแล้วถ้าลองเปรียบเทียบกับเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปี 2006 ช่วงนั้นตลาดหุ้นไทยก็ขึ้นมาได้ราว 4-5% นับจากวันที่ประกาศแล้วก็พักฐาน ซึ่งถ้ายึดตัวเลขเดียวกัน ก็จะตรงกับดัชนีปัจจุบันที่ระดับ 1470-1480 พอดี แปลว่าแถวนี้อาจมีพักก่อนปรับฐานซักนิด แล้วจะขึ้นต่อหรืออย่างไร ค่อยว่ากัน
   
เหลือบมองตลาดอนุพันธ์ก็เอ่ะใจ เพราะเจ้า SET50 Futures (S50M14) ช่วงนี้มีราคาสูงกว่าเจ้า SET50 Index เสียอีก สภาวะแบบนี้เค้าเรียกว่า Contango ครับ บอกเป็นนัยๆ ว่าคนส่วนใหญ่มองว่าตลาดยังมีโมเมนตัมเชิงบวก เจ้าอนาคต (SET50 Futures) ถึงอยู่สูงกว่าเจ้าปัจจุบัน (SET50 Index) ซะแบบนั้น แต่ถ้าจะดูให้ละเอียดจริงๆต้องดูเปรียบเทียบกับมูลค่าทางทฤษฎีที่คำนวณโดย Cost of Carry Model ด้วยครับ.. เอิ๊กๆ บางท่านก็ว่า อย่าดูถึงกระนั้นเลย

เอาแค่ขึ้นหรือลงก็พอละ

Wednesday, May 21, 2014

ยกพลขึ้นบกฝนก็ต้กพร่ำพร่ำ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 21 พฤษภาคม 2557

ช่วงนี้คงไม่มีข่าวใดฮอตฮิตไปกว่าการประกาศกฎอัยการศึกฉึกๆ ซึ่งสื่อฝรั่งบางเจ้าเค้าก็ว่าเป็นการทำรัฐประหารกลายๆ แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่แน่ดอกครับ เพราะรัฐบาลรักษาการณ์ก็ยังทำงานอยู่ ต้องรอดูตอนสุดท้ายว่าจะลงเอยเยี่ยงไร.. ส่วนหุ้นไทยเราก็เจ๋งกระต๊ากไปเลย ลงโป้งเดียวเมื่อวาน แล้วก็กลับมาเคาะประตู 1400 จุดได้อีกครั้งในวันนี้.. โช้ะเด๊ะ
   
ตั้งแต่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) เรามีการรัฐประหารทั้งหมด 11 ครั้ง (บางตำราว่า 12) มี 23 รัฐบาลทหาร และ 9 รัฐบาลที่ทหารเป็นคนแต่งตั้ง ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าทุกครั้งที่ทำการรัฐประหารสำเร็จฝ่ายที่ทำล้วนมาจากทหารบกทั้งสิ้น ส่วนทหารเรือเคยพยายามก่อรัฐประหารมาแล้ว (ในกรณีกบฏวังหลวง เมื่อปี พ.ศ. 2492 และกบฏแมนฮัตตัน เมื่อปี พ.ศ. 2494) แต่กระทำการไม่สำเร็จ ซึ่งหลังจากนั้น ทหารเรือก็เสียอำนาจในการเมืองไทยไป.. อ่ะโจ้ย


  
ว่าด้วยเรื่องประวัติศาสตร์ไปซักกะเล็กกะน้อย (รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม) กลับมาที่ตัวเลขซื้อขายหุ้นไทยของฝรั่งซักกะหน่อย จะเห็นว่าในเดือนนี้ฝรั่งขายหุ้นไทยไปหมื่นกว่าล้านบาท (เป็นเมื่อวาน 20 พ.ค. ซะแปดพัน) ซึ่งทำให้หุ้นไทยลงมาราว 1.4% จากต้นเดือน และก็ทำให้คำกล่าวที่ว่า“ขายเดือนพฤษภาแล้วหนีไปก่อนเถอะนะจ๊ะ” (Sell in May and Go away) ยังไม่ผิด ณ ขณะนี้
  
แต่เดี๋ยวก่อน! มีคนขาย ก็ต้องมีคนซื้อซิครับ แล้วใครละ? กระต๊าก ใช่แล้ว นักลงทุนสถาบันในประเทศของเรานั่นกะเองที่ช่วยๆกันซื้อเข้าไปร่วมหมื่นล้านเมื่อนับจากต้นเดือน.. ซึ่งนั่นก็พอจะสะท้อนได้ว่านักลงทุนสถาบันในประเทศเริ่มเชื่อมั่นว่าการเมืองไทยใกล้จะจบ (จบป่ะ?) สถานการณ์คงจะเริ่มดีขึ้นกระมัง.. แล้วพวกคุณละ เหล่านักลงทุนขาโจ๋ 

เชื่ออย่างนั้นหรือเปล่า?

Wednesday, May 7, 2014

เปราะบาง

สวัสดีครับ, 
เขียนเมื่อ 7 พฤษภาคม 2557



วันนี้เป็นวันที่ 2 ของการซื้อ-ขาย mini SET50 Futures ซึ่งในความเห็นผมมองว่า การซื้อ-ขายมีลักษณะแปลกๆ อยู่บ้าง เช่น ช่อง bid-offer ในบางช่วงทิ้งห่างกันมาก (อาจเป็นเพราะเวลานักลงทุนสถาบันหรือรายใหญ่คีย์คำสั่ง market price ทำให้เกิดการรวบขึ้น หรือ เทกระจาดลง ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากขนาดสัญญาเล็กลง 5 เท่า) โดยตัวอย่างที่เกิดขึ้นทันที ก็คือ เมื่อวานในช่วงก่อนตลาดปิด มีใครก็ไม่รู้คีย์คำสั่งซื้อ-ขายผิดทำให้สัญญา S50M14 ลงไป 30 กว่าจุด (ทำ low ที่ 913) ซึ่งที่ผ่านมา การคีย์ผิดพลาด ไม่น่าสามารถลากตลาดลงได้ขนาดนั้น นั่นหมายถึง ครั้งนี้มีคนตั้ง bid รองรับไว้ไม่เยอะเท่าที่ควร (ทั้งๆที่จริงๆควรเยอะกว่านี้เพราะขนาดสัญญาเล็กลง) สรุปเบื้องต้นได้ว่าตลาด TFEX ดูเหมือนจะมีความเปราะบาง (fragile) มากขึ้นครับ
  
ที่น่าสนใจก็คือ ในช่วงเวลาซื้อ-ขายปกติ นักลงทุนก็ไม่ได้ตั้ง bid หรือ offer เพิ่มขึ้น 5 เท่า หรือใกล้เคียง 5 เท่า เหมือนกับที่ตัวคูณของสัญญา (multiplier) ลดลงไป 5 เท่า (จาก 1000 เหลือ 200) ซึ่งตรงนี้ ก็นั่นละครับไปสนับสนุนข้อสรุปในเรื่องความเปราะบางของตลาด และนั่นก็มาสู่คำถามปิดท้ายที่ว่า การลดขนาดสัญญาลงช่วยให้สภาพคล่องในการซื้อ-ขายดีขึ้นหรือซื้อขายง่ายขึ้นจริงหรือ?
  
อย่างไรก็ดี ตรงนี้เป็นเพียงข้อสังเกตเบื้องต้นที่ผมพบเจอในช่วงแรกของการซื้อ-ขายครับ ซึ่งคงต้องจับตาต่อไปอีกซักระยะหนึ่ง.. แต่ก็ขอแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังและรอบคอบให้มากขึ้นสำหรับการลงทุนใน miniSET50 Futures ในช่วงนี้ครับ