Wednesday, August 5, 2015

ขาใหญ่สั่งลุย

สวัสดีครับ,

ในที่สุดดัชนี SET ก็ปิดที่ 1440 เมื่อสิ้นเดือนก.ค. ที่ผ่านมา หลุดกรอบขาขึ้นที่ลากกันมาตั้งแต่สิ้นปี 2008 ที่ 1475 ไปเรียบร้อย อย่างไรก็ดี การปิดหลุดในลักษณะนี้ไม่ได้แปลว่าหุ้นไทยจะเปลี่ยนเป็นขาลงเลยซะทีเดียวครับ แต่น่าจะเป็นในลักษณะการวิ่งออกข้างซะมากกว่า โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1375 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิมเมื่อช่วงสิ้นปี 2014 (และบังเอิญตรงกับระดับ 38.2% ฟิโบนาชี่พอดี) และมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1480 ซึ่งตรงกับระดับ 61.8% ฟิโบนาชี่



ในแง่ของตัวเลขการซื้อขาย จะเห็นว่านักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงเป็นผู้ซื้อสุทธิต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี โดยมียอดสะสม 4 หมื่นกว่าล้านบาทเข้าไปแล้ว ในขณะที่ฝรั่งยังคงเป็นผู้ขายสุทธิอย่างต่อเนื่องครับ


พอเราทราบแล้วว่าใครเป็นขาใหญ่ของตลาดในปีนี้และถือหุ้นไทยอยู่เยอะ (นักลงทุนสถาบันในประเทศนั่นเอง!) ผมเลยนำมุมมองจากผู้บริหารกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาฝากครับ (น่าจะมีผลต่อทิศทางตลาดบ้างไม่มากก็น้อยละ) คุณวิน พรหมแพทย์ หัวหน้ากลุ่มงานลงทุน สำนักงานประกันสังคม ผู้บริหารเงินกว่า 1.2 ล้านล้านบาท ได้เขียนบทความลงบล็อกส่วนตัวเมื่อประมาณสิ้นเดือนก.ค. และได้ถูกสำนักข่าว Bloomberg นำไปแปลและเผยแพร่ทั่วโลก คุณวินสรุปว่าตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังน่าจะมีอาการซึมไปเรื่อยๆ แต่นั่นเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะทยอยเก็บของเมื่อดัชนี SET เข้าใกล้ 1400 จุด (หรือต่ำกว่า) โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่คุณวินแนะนำจะเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และค้าปลีกที่เน้นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันครับ


ในขณะที่หลักทรัพย์บัวหลวงเรา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้มีการหั่นเป้าดัชนี SET ลงอีกครั้ง จาก 1570 เป็น 1505 เพื่อสะท้อนประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนและ GDP ที่ลดลง ในขณะที่ความเสี่ยงที่เรากังวลก็เป็นเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (กันยา หรือ ธันวา) อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าภาพตลาดในตอนนี้จะเหมือนกับการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงปี 2004 ที่ตลาดได้ price in และ bottom ไปก่อนที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจริงแล้ว ไม่เหมือนกับช่วงปี 1994 และ 1999 ที่การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เป็นการ surprise ตลาดและทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลงต่อรุนแรง เพราะงั้นก็น่าจะสบายใจไปได้เปราะหนึ่งละครับ... โชคดีในการลงทุนทุกท่าน



Wednesday, July 22, 2015

หมดยุคซิ่งกระดิ่งแมว

สวัสดีครับ,

ผ่านไป 2 สัปดาห์หลังจากที่บทความ “เสียวสันหลัง” ได้ออกไป ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่จะปิดสิ้นเดือนนี้ด้วยระดับที่ต่ำกว่า 1475 ซึ่งเป็นเส้นแนวรับใหญ่ที่ลากมาตั้งแต่ปลายปี 2008 ทำให้ภาพตลาดจากนี้น่าจะเป็นลักษณะวิ่งออกด้านข้างซึมๆ หงอยๆ ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ลดลง กอปรกับแนวโน้มค่าเงินบาทที่ดูอ่อนค่าต่อเนื่อง (ล่าสุด 34.6 ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงลดน้ำหนักหุ้นไทยด้วยเหตุผลที่ว่า เค้าอาจขาดทุนจากค่าเงิน (เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากขึ้นในการแลกเงินกลับไป) 



ที่น่าสนใจก็คือหากดูข้อมูลจาก Bloomberg ด้านล่างจะพบครับว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินฝรั่งไหลไปเข้าตลาดอินเดียกับไต้หวันมากที่สุด ในขณะที่ขายญี่ปุ่นค่อนข้างหนัก ซึ่งดูแนวโน้มแล้ว อินเดียดูเหมือนว่าจะเป็นที่รักของฝรั่งมากนะครับเพราะตัวเลขเป็นซื้อสุทธิแทบจะทุกช่วงตั้งแต่ต้นปี ในขณะที่พี่ไทยดูเหมือนจะถูกทิ้ง (ชั่วคราว?) เพราะเป็นประเทศเดียวที่ฝรั่งขายสุทธิมาตลอด ตรงนี้ก็ชัดเจนครับว่ามันสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอ่อนแอของเรา หลายสำนักเศรษฐกิจมีการปรับตัวเลขประมาณการ GDP ลงหลายครั้ง จนล่าสุดมีข่าวว่าท่านนายกฯ จะปรับทีมเศรษฐกิจใหม่และเร่งโครงการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 


อย่างไรก็ดี นี่ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีครับ ที่เราจะได้มีเวลามาศึกษากันให้ลึกขึ้นถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและผลประกอบการ เพราะจากนี้ไปผมเชื่อว่าหุ้นซิ่งกระดิ่งแมวที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานดีมาสนับสนุนคงจะยากที่จะขึ้นได้ฉวัดเฉวียนเหมือนเมื่อก่อน (ลองดูรูป PE ของดัชนี MAI เทียบกับ SET ประกอบ) หุ้นที่ผลประกอบการออกมาดีและมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง คงจะ outperform ตลาดได้ในช่วงนี้ เพราะตลาดไทย efficient ขึ้น โดยมีเจ้ามือที่แท้จริงก็คือ กำไรของบริษัทจดทะเบียนนั่นละครับ



Wednesday, July 8, 2015

เสียวสันหลัง

สวัสดีครับ,

ต้องยอมรับครับว่าตลาดหุ้นทั่วโลกได้เข้าสู่ risk-off mode เป็นที่เรียบร้อย โดยประเด็นที่เป็นกังวลกันก็หนีไม่พ้นเรื่องปัญหาหนี้กรีซ และฟองสบู่ในตลาดหุ้นจีน ทั้งนี้ทั้งนั้นความกลัวได้สะท้อนมาถึงตลาดหุ้นไทยในรูปของความห่างระหว่างดัชนี SET50 futures กับ SET50 Index ที่เราเรียกว่าค่า basis ด้วยครับ ซึ่งหากดูราคาปิดเมื่อวานจะพบว่าดัชนี SET50 futures ซีรีย์ U มีราคาน้อยกว่า SET50 Index อยู่ถึง 18.93 จุด (เทียบกับในทางทฤษฎีที่ควรห่างเพียงประมาณ 7-8 จุด) ซึ่งถือว่ามากผิดปกติ โดยในวันนี้เปิดตลาดเช้ามาช่วงความห่างก็ยังคงอยู่ที่ระดับนั้น แปลว่าเราต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้นนะครับ



ถ้ายังจำกันได้ในบทความเมื่อเดือนก่อน ผมได้บอกถึงจุดชี้เป็นชี้ตายของตลาดหุ้นไทยในเชิงเทคนิคไปว่าอยู่ที่ 1460 ซึ่งเป็นเส้นแนวรับสำคัญสำหรับภาพระยะกลาง เพราะใช้เส้นลากยาวตั้งแต่ปี 2008  ..ผ่านไป 3 สัปดาห์ จุดชี้เป็นชี้ตายนี้ได้ถูกปรับขึ้นมาเป็น 1475 ครับ แต่นัยตรงนี้ไม่ได้แปลว่าหาก SET Index หลุดระดับ1475 ลงไประหว่างวันแล้วจะจบข่าวนะครับ การแกว่งหลุดระหว่างวันเกิดขึ้นได้หากดัชนีกลับมาปิดสิ้นวัน สิ้นสัปดาห์ หรือสิ้นเดือนได้เกิน 1475 ซึ่งนั่นแปลว่าภาพใหญ่จะยังไม่เปลี่ยน แนวโน้มขาขึ้นในกรอบนี้จะยังคงดำเนินต่อไป และจุด 1475 จะกลายเป็นจุดซื้อที่สำคัญสำหรับนักลงทุนผู้ใจกล้าด้วยครับ



อย่างไรก็ดีมี 2 สัญญาณเตือนในภาพใหญ่ที่น่าติดตามครับ สัญญาณแรกได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว นั่นคือ Negative Divergence (เส้นสีชมพู) ระหว่างดัชนี SET กับ RSI Indicator ซึ่งมันได้บอกเราว่าการขึ้นรอบก่อนนั้นเป็นของปลอม ดัชนีจะไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ซึ่งดัชนีก็ได้ปรับตัวลงมาจริงๆ ส่วนสัญญาณที่ 2 คือการไม่เกิดสัญญาณครับ นัยหมายถึงการที่ทั้งดัชนี SET และ RSI Indicator ทำ lower high เหมือนกัน แปลว่าการลงรอบนี้มีเสียวสันหลังแล้วละ จุดที่วัดกันก็คือจุด 1475 นั่นละครับ หากสิ้นเดือนนี้ยังปิดเหนือกว่าได้ ก็ยังไม่มีอะไรต้องกังวล

สุดท้าย อยากให้จับตาดูค่าเงินบาทเทียบ USD ไว้หน่อยครับ เพราะเฮียแกกำลังทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 6 ปี และกราฟกำลังฟอร์มตัวสวยเชียว แปลว่าโอกาสอ่อนต่อมีสูง ยังไงลองพิจารณาประกอบถึงบริษัทที่ได้รับผลดีผลเสียจากตรงนี้ด้วยนะครับ พึ่งระลึกไว้เสมอว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส แล้วชีวิตการลงทุนท่านจะได้สบายๆ ชิลๆ มากขึ้น โชคดีครับ



Wednesday, June 17, 2015

เส้นแนวรับสะท้านพิภพ

สวัสดีครับ,

วันนี้ผมตีเส้นง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ตีได้ลงกราฟ SET ระยะเดือน สิ่งที่พบก็คือ แนวโน้มขาขึ้นหลักที่สร้างกันมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2009 นั้นมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 1460 ครับ ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ควรจะหลุด เพราะไม่งั้นภาพขาขึ้น 6 ปีที่สร้างกันมาอาจเป็นอันต้องจบลง (นักลงทุนแนวเทคนิคคงรู้ว่าต้องทำอะไรหากหลุด) ถามว่าความเสี่ยงมีมากน้อยแค่ไหนที่ดัชนี SET จะหลุดแนวนี้ลงมา? ก็ตอบว่าพอมีบ้างครับ เพราะตลาดไม่ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ดังเช่นช่วงที่ผ่านมา (สังเกตุเส้นสีชมพู) แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดว่าถ้าหลุดแล้วจะเลวร้ายเหมือนในปี 2008 นะครับ (น่าจะเป็น sideways ไปก่อนมากกว่า) ส่วนตอนนี้ก็อย่าเพิ่งไปกังวลอะไรมาก เพราะตลาดยังยืนแถว 1500 ได้สบายๆ แถมใกล้ครึ่งปี เรื่อง Window dressing น่าจะช่วยจำกัด downside และผลักดันดัชนีขึ้นได้อีกหน่อย ลืมเรื่อง 1460 ไปก่อนตอนนี้ก็ยังได้ครับ



ถัดมา เป็นเรื่องของภาพใหญ่ทั่วโลก ผมจะหยิบเฉพาะประเด็นที่น่าสนใจมาสรุปให้ฟังละกันครับ คือเผอิญว่าเมื่อสัปดาห์ก่อน ทาง Morgan Stanley เค้าจัด Global Investment Seminar แล้วเชิญนักลงทุนอาวุโส 45 ท่าน มาทำแบบสำรวจ ผลปรากฎว่าในจำนวนสินทรัพย์ทั้งหมดท่านเหล่านั้นยังคงชอบหุ้นมากที่สุดเป็นสัดส่วนถึง 74% ในขณะที่ชอบตราสารหนี้ (ทั้งภาครัฐและเอกชน) น้อยที่สุด เป็นสัดส่วนเพียง 2%

เจาะลงไปนิดครับ ชอบหุ้น แล้วหุ้นที่ไหนดีละ? นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบหุ้นในยุโรปมากที่สุดครับ สาเหตุหนึ่งอาจจะเพราะเค้าเชื่อว่ากรีซจะได้รับการช่วยเหลือและไม่น่าจะถูกเตะออกจากยูโรโซนในปีนี้ (แต่ระยะ 3-5 ปีเค้าเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในยูโรโซนนะครับ) ถัดมาเป็นหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (รวมไทยแต่ไม่รวมจีน) ในขณะหุ้นอเมริกาชอบน้อยที่สุด สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย ที่คนส่วนใหญ่คาดการณ์กันว่าจะเป็นไตรมาส 3 ปีนี้ (แต่ถ้าขึ้นจริงเราก็ได้รับผลไปด้วยนะครับ)
ก็ประมาณนี้ หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ ช่วยในการตัดสินใจลงทุนของท่านได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ^^

Wednesday, June 3, 2015

ทางแยกอีกครั้ง

สวัสดีครับ,

ในฐานะนักค้าหลักทรัพย์ที่ดูแลสินค้าประเภทตราสารอนุพันธ์เป็นหลัก ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงตัวเลข net short ใน SET50 Index Futures ของนักลงทุนต่างชาติเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมาที่เป็นจำนวนถึง 23,373 สัญญา หลายคนค่อนข้างกังวลกับตัวเลขนี้ครับ เพราะว่ามันดูสูงผิดปกติในแง่ของจำนวนสัญญา แต่อย่าลืมครับว่า ตัวคูณดัชนีได้ถูกปรับลดลงจาก 1,000 บาท ไปเป็น 200 บาท ต่อ 1 จุด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 แปลว่าถ้าเทียบกับขนาดสัญญา SET50 Index Futures เดิมแล้ว ตัวเลข 23,373 ต้องถูกหาร 5 ลงไป อีกทั้งถ้าลองคำนวณออกมาเป็นตัวเงินจะพบว่ามูลค่าอยู่ที่ราว 4.6 พันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจอะไรถ้าเราเห็นฝรั่งเป็นยอดขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อวันเท่ากับตัวเลขนี้ ส่วนตัวแล้วผมกลับคิดว่าฝรั่งเค้าทำเพียงเพื่อ hedge positions มากกว่าเพราะในวันถัดมา (29 พฤษภาคม) มีการทำ MSCI Rebalancing ครับ



เอาละไขข้อสงสัยไปแล้ว วันนี้ผมเลยลองนำรูปที่น่าสนใจมาให้ดูครับ ด้านบนรูปซ้าย เป็นการชี้แนวโน้มให้เห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่ Flows (แท่งสีน้ำเงิน) เป็นยอดขายสุทธิ ตลาดหุ้น (เส้นสีส้ม) ก็มักจะมีแนวโน้มที่จะลดลงตามซึ่งพอหันมามองรูปขวาแล้วก็น่ากังวลใจครับ เพราะ Flows ที่เข้าตลาดเกิดใหม่กับตลาดพัฒนาแล้วได้มาพบกันที่ทางแยก (อีกครั้ง) ซึ่งประเมินเบื้องต้นก็มีแนวโน้มที่เส้นสีแดงนั้นจะตัดเส้นสีดำลงมา ในขณะที่เส้นสีดำน่าจะยืนยื้อออกด้านข้าง นั้นหมายความว่า Flows น่าจะค่อยๆ ออกจากตลาดเกิดใหม่ (รวมทั้งไทย) ต่อไป โดยหมุนมาเข้าตลาดพัฒนาแล้วแทน แต่ก็คงเป็นไปด้วยอัตราเร่งที่ลดลงนะครับ (จากกราฟสีดำก่อนหน้าที่ขึ้นมาค่อนข้างชัน) ตรงนี้เลยพอจะสรุปคร่าวๆ ได้ว่าภาพตลาดเกิดใหม่จากนี้ไปคงจะไม่ค่อยสดใสนัก ส่วนตลาดพัฒนาแล้วน่าจะทรงๆ หรือซึมขึ้นต่อไปได้



อย่างไรก็ดี หากลงเจาะลงมาเฉพาะในตลาดหุ้นไทยแล้ว จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติได้เริ่มขายหุ้นไทย (รอบหลัง) ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2013 และก็ขายมากกว่าซื้อมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็สอดคล้องกับกราฟรูปขวาด้านบน แต่ที่น่าสนใจก็คือนักลงทุนสถาบันในประเทศครับ ที่พลิกมาเป็นผู้ซื้อสุทธิที่แข็งแกร่งที่ช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยให้ยืนเท้งเต้งได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้ QE จากอเมริกาจะค่อยๆ ลดจนหมดไปเมื่อปลายปีก่อน ผมเลยประเมินว่าทุกครั้งที่ตลาดหุ้นไทยลงแรงๆ นักลงทุนสถาบันในประเทศนิละครับที่จะเข้ามาช่วยประคองไว้ ซึ่งคงทำให้ตลาดหุ้นไทย resilient (ฟื้นไข้ได้เร็ว) กว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตรงนี้ก็น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยวิ่งอยู่ในกรอบ sideways ไปซักพักจนกว่าจะมีสัญญาณดีใหม่ๆ เพื่อดันดัชนีขึ้นไปต่อ หรือมีสัญญาณร้ายใดที่รุนแรงจนทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศไม่เชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นไทยครับ

Wednesday, May 20, 2015

ทรงยังดี

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นไทยกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนอีกครั้ง โดยรอบนี้มาพร้อมกับ 2 สัญญาณทางเทคนิค คือ 1. Positive divergence และ 2. Double bottom พอเห็นแบบนี้แล้วเลยพอจะเดาได้ครับว่าดัชนี SET น่าจะมี downside ในรอบนี้แถวๆ 1480 จุด ซึ่งเป็น low ที่ได้ทำไว้เมื่อ 12 พฤษภาคม ในขณะที่ upside ระยะสั้นน่าจะอยู่แถว 1540 ซึ่งเป็น Gap ที่เปิดไว้เมื่อ 16 เมษายน



ในมุมของตราสารอนุพันธ์ จะเห็นว่าในช่วงนี้เจ้า SET50 futures ตัวล่าสุดเทรด discount ดัชนี SET50 อยู่เพียงไม่กี่จุด หรือบางครั้งก็ขึ้นมาเป็น premium ด้วยซ้ำ แบบนี้มองมุมหนึ่งก็สบายใจได้เปราะหนึ่งครับว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าตลาดไม่ได้เป็นขาลง (เพราะโดยปกติแล้ว SET50 futures จะ discount ดัชนี SET50 อยู่ถึง 5-7 จุด)

ทีนี้ในแง่ของผลประกอบการ ก็ทราบกันไปแล้วครับว่าไตรมาสหนึ่งปีนี้กำไรของบริษัทจดทะเบียนโต 2%YoY และ 235%QoQ ซึ่งรวมๆ แล้วก็ถือว่าดีกว่าคาดนะครับ แต่หลักๆ ก็เป็นเพราะจากฐานที่ต่ำนั่นละ แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่กำไรผิดคาดไปถึง 38.8% รอบนี้ที่ดีกว่าคาดที่ 6.5% ก็ถือว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยกลับมาอยู่ในระดับที่ใช้ได้นะ โดยทีมวิเคราะห์ของบัวหลวงเราก็ยังคงเป้า SET สิ้นปีที่ 1670 อิง PE ที่ 16.5x และกำไรปี 2015 โดยระยะสั้นคีย์สำคัญที่จะผลักดันดัชนีให้ไปต่อคงขึ้นกับความชัดเจนของโครงการภาครัฐครับ


Wednesday, May 6, 2015

สนามประลองยุทธ์

สวัสดีครับ,

ชาร์จพลังไปเต็มที่หลังจากหยุดยาว 5 วันเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือน กลับมาสู้กันต่อครับ โดยช่วงนี้บอกเลยว่าตลาดหุ้นไทยเปรียบเสมือนสนามประลองยุทธ์ของระหว่างมุมแดงซึ่งก็คือหุ้นในกลุ่มพลังงาน (สัดส่วน 1/5 ของ SET market cap) และมุมน้ำเงินซึ่งก็คือหุ้นในกลุ่มธนาคาร (สัดส่วน 1/6 ของ SET market cap) ใครจะชนะยังไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือตลาดหุ้นไทยคงไม่ลงแรงง่ายๆ แน่หากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับนี้ (Brent 68 เหรียญต่อบาร์เรล) และคงไม่ขึ้นง่ายๆ จนกว่าจะเห็นแนวโน้มโครงการลงทุนภาครัฐที่ชัดเจนที่จะช่วยส่งผลดีต่อภาพรวมโดยเฉพาะหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ยังไงลองจับตาดู GDP ไตรมาส 1 ปีนี้ที่จะประกาศในวันที่ 18 พ.ค.นี้ประกอบด้วยก็ดีครับ



เอาละ ปลีกหนีจากสภาพตลาดที่ทำนายยาก มาดูรูปที่สีสันสวยงามกันครับ ช่องบนที่มีเส้นสีขาวและสีเหลืองหมายถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและของสหรัฐฯ ตามลำดับ จะเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ล่าสุดเหลือ 1.50% นั้นคือระดับที่เกือบต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ (เคยต่ำสุดที่ 1.25%) และต่ำที่สุดในอาเซียนตอนนี้แล้ว แปลว่าโอกาสที่ดอกเบี้ยจะลงกว่านี้ถ้ามีก็เหลือไม่มากแล้วครับ กอปรกับที่ล่าสุดท่านรัฐมนตรีคลังฯ สมหมาย ภาษี ได้ออกมายืนยันว่าระดับอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% นั้นเหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันแล้ว เพราะงั้นผมก็เชื่อว่าเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในเชิงนโยบายการเงินนั้นน่าจะเหลือไม่มากละ ที่เหลือก็คือปล่อยให้มันทำงานไปแล้วรอดูผลลัพธ์ แต่ที่น่ากังวลก็คือเมื่อใดก็ตามที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย (หลังจากคงไว้ที่ระดับเกือบศูนย์มา 6 ปีกว่า) นั่นจะทำให้ gap ระหว่างดอกเบี้ยไทยกับดอกเบี้ยสหรัฐฯ แคบลงไปอีก นั่นหมายถึงเงินที่จะไหลเข้ามาตลาดการเงินในประเทศเรานั้นมีแต่จะน้อยลง

ผลกระทบแน่นอนครับ ถ้าเงินไม่เข้า ก็คือออก แล้วก็น่าจะยิ่งออกมากขึ้นเพราะแบงค์ชาติเองเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ได้ผ่อนคลายมาตรการทุนเคลื่อนย้ายให้คนในประเทศสามารถนำเงินออกนอกประเทศได้มากขึ้น (ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนถึง 2.2% นับจากการประชุมกนง.เมื่อสัปดาห์ก่อน) ตรงนี้มองในมุมหนึ่งก็คือเป็นการช่วยเศรษฐกิจไทยในระยะกลาง-ยาว เพราะการที่ค่าเงินบาทอ่อน จะช่วยส่งออก (65% ของ GDP) ท่องเที่ยว (10% ของ GDP) และแก้ปัญหาเงินฝืดได้ (3 เรื่องที่รุมเร้าเศรษฐกิจไทยอยู่ในขณะนี้) แต่ในระยะสั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าค่าเงินบาทที่อ่อนจะเหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าเงินกำลังไหลออกนอกประเทศนะ และอาจทำให้นักลงทุนต่างชาตินำเงินออกจากตลาดหุ้นไทยไปด้วยได้ แต่ก็อย่าได้กังวลมากไปครับ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ค่าเงินบาทอ่อนได้ที่และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยจริงๆ แล้ว ผมเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกครั้งอย่างแน่นอน

Saturday, May 2, 2015

ดอกเบี้ยต่ำ ค้ำจุนหุ้น ?

สวัสดีครับ,

ช่วงวันหยุดยาว ผมชอบอ่านหนังสือและท่องเน็ตหาข้อมูลต่างๆ ไปเรื่อย แล้วก็เหลือบไปเห็นกราฟหุ้นญี่ปุ่นช่วงสิ้นปี 1989 ครับ ที่ดัชนี Nikkei ขึ้นไปถึง 39,000 จุด ดูแล้วก็ทำให้คิดถึงดัชนี SET บ้านเราในบางมุม








































ช่วงนั้นค่า PE ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากกว่า 50 เท่า แต่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็แย้งว่ายังไม่แพง โดยให้เหตุผลว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่น "ไม่เหมือนที่อื่น" เพราะหุ้นส่วนใหญ่ถือโดยนักลงทุนสถาบันหรือบริษัท ซึ่งคงไม่ขาย (ปัจจุบันหุ้นไทยก็ถือโดยสถาบันในประเทศ และบริษัทประกันเยอะ ซึ่งหลายท่านก็เชื่อว่าคงไม่ขายหนักเช่นกัน เพราะแนวทางการลงทุนที่เป็นแบบ VI) เหนือสิ่งอื่นใดอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นตอนนั้นต่ำมาก เพียง 1-2% ต่อปีเท่านั้น (ไทยเราตอนนี้ก็ 1.50% ครับ และก็มักจะมีคำกล่าวที่บอกว่า หุ้นยังไงก็ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ก็ดอกเบี้ยมันต่ำซะขนาดนี้ จะให้ไปลงทุนอะไรละ!?) ดังนั้นการลงทุนในหุ้น PE 50 เท่าไม่ถือว่าแพง เพราะมีผลตอบแทนกำไรปีละ 2% เท่าๆ กัน (ไทยเราดีกว่า PE ปัจจุบัน 21 เท่า, ปันผล 2.86%)

แต่นั่นเป็นจุดจบของตลาดหุ้นญี่ปุ่นครับ เพียงไม่ถึงหนึ่งปีทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่น ทั้งราคาที่ดินลงเละ ซึ่งจากกราฟจะเห็นว่า "นรกอเวจี" มีจริง (บนดินนี่ละครับ) โดยมันไปสิ้นสุดที่ปี 2003 ที่ดัชนี Nikkei ลงไปถึง 8,000 จุด รวมแล้วลดลงประมาณ 80% จากยอดเขา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ "ทศวรรษที่หายไป" ของประเทศญี่ปุ่น

สาเหตุนั้นมีงานวิจัยหลายที่ให้ไว้ครับ แต่ข้อสรุปก็คือเป็นเพราะการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่ยืดเยื้อยาวนานเกินไป ซึ่งความจริงแล้ว BoJ ได้ส่งสัญญาณจะ Tightening Monetary policy ตั้งแต่ปี 1987 แล้ว เพราะเศรษฐกิจเริ่มขยายตัว แต่ก็ได้ยืดออกไป ยืดออกไป เพราะความไม่แน่นอนต่างๆ (ส่วนหนึ่งเพราะผลจากค่าเงินเยนที่แข็งขึ้นหลังจากเหตุการณ์ Plaza Accord ในปี 1985 ด้วย) ตรงนี้ละครับเลยทำให้ราคา Asset รวมถึงหุ้น มันปูดขึ้นเรื่อยๆ ปูดขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นฟองสบู่ เพราะนักลงทุนเชื่อมั่นเหลือเกินว่ายังไง BoJ ก็จะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป (คล้ายๆ กับ Fed ในยุคนี้ไหมครับ? ยืดเอาๆ) ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าราคาหุ้นหรือ Asset นั้นมันเข้าสู่จุด "New Normal" แล้ว จะเอาไปเปรียบเทียบกับในอดีตหรือที่อื่นไม่ได้ แต่แล้วในที่สุดมันก็แตกโพละ

จนถึงบรรทัดนี้ผมไม่อยากจะเขียนต่อละครับ (เดี๋ยวจะยาวไปละไม่มีคนอ่าน อิอิ) ข้อสรุปของผมก็คือ ความมั่นใจที่มากเกินไปของคนส่วนใหญ่นิละที่น่ากลัว ความจริงผมเองก็ไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นไทยในตอนนี้จะเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นญี่ปุ่นในตอนนั้นได้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมก็ชอบศึกษาประวัติศาสตร์และนำมาคิดต่อครับ เพราะถึงมันจะไม่เหมือนกันเป๊ะ แต่ก็พอจะมีเค้าลางอยู่บ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่า แม้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำติดดินยังไง แต่หุ้นก็ยังลงเละได้ แต่นั่นก็อาจจะเอามาใช้กับยุคนี้ไม่ได้นะครับ เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างมัน "ไม่เหมือนกัน"

Wednesday, April 22, 2015

คนหนุ่มสาว

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานำโดยกลุ่มพลังงานเนื่องจากราคาน้ำมันที่เหมือนจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง (อย่างน้อยก็ในระยะสั้น) ซึ่งพอไปดูตัวเลขแล้วก็พบว่าน่าจะเป็นนักลงทุนต่างชาตินิแหละครับที่ช่วยกันถีบหุ้นพลังงานขึ้นมากันยกใหญ่ เพราะตัวเลขเป็น Net buy ในตลาดหุ้นไทยถึง 9.8 พันล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว



แต่หากไปดูตัวเลขทั้งเดือนเมษา (MTD) จะพบว่าพวกเราเองนิละครับที่ขายเอาๆ เพราะนักลงทุนรายย่อยเป็นยอด Net sell ถึงกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ผู้ที่เป็น Net buy เกลี่ยๆ กันไปคนละ 8 พันกว่าล้านบาท ระหว่างนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบันและพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ ที่ต้องระวังก็คือพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์นิละครับที่กลับมาซื้อกว่า 8 พันล้านบาทในเดือนนี้ (เป็นยอด Net buy ทุกวัน!) แต่นั่นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขาขายหนักในเดือนที่แล้วเกือบ 9 พันล้านบาท (กุมภา -1,631.09 ล้านบาท; มกรา +8,260.48 ล้านบาท) ดังนั้นก็เป็นไปได้ว่าเค้าอาจจะกลับมาขายอีกครั้งในเร็วๆ นี้เพราะพวกเค้าไม่ค่อยชอบที่จะถือหุ้นนานนักหรอก



จะว่าไปแล้วเหมือนผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับตลาดในช่วงนี้เท่าไหร่นักครับ (และก็ยังไม่เชื่อว่าราคาน้ำมันจะขึ้นต่อได้แรงติดจรวดในเร็ววันนี้) ความจริงก็เพราะว่าดัชนี SET ได้ขึ้นมาพอสมควรแล้วจากจุดต่ำสุดที่ 1485 เมื่อสิ้นเดือนมี.ค.จนถึง ณ ระดับปัจจุบันที่ 1567 ก็ราว 5% กว่าในขณะที่ยังไม่มีพัฒนาการของกำไรบริษัทจดทะเบียนมากเท่าใดนัก พอดีกับที่เริ่มเห็นนักลงทุนไทยบางส่วนเริ่มที่จะหาช่องทางกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศมากขึ้น (เงินบางส่วนอาจไหลออก) ตีความได้นัยหนึ่งว่าเค้าคงเริ่มเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้น่าดึงดูดเท่าในอดีตแล้ว อีกทั้งการที่เทรนด์คนวัยทำงานอายุ 20 ปลายๆ ถึง 30 ต้นๆ (Gen Y) ที่เริ่มลาออกจากงานมีมากขึ้นเพื่อมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว ผมเลยค่อนข้างสงสัยว่าหากภาคธุรกิจจริงคนหนุ่มสาวทำงานน้อยลงเพราะหันไปหวังรวยจากการลงทุนหรือเล่นหุ้นมากขึ้นแล้ว ผลิตภาพที่แท้จริง (Productivity) คือหมายถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียน จะโตได้แรงและยั่งยืนได้อย่างไร (ยิ่งบ้านเรามีปัญหาขาดแคลนแรงงานอยู่ด้วย) ซึ่งสุดท้ายแล้วถ้ากำไรของบริษัทจดทะเบียน (ซึ่งเป็นเจ้ามือที่แท้จริงของหุ้น) ไม่ไปไหน ราคาหุ้นในระยะยาวก็คงขึ้นได้ยาก เพราะลำพังสภาพคล่องเพียงอย่างเดียวก็คงหนุนหุ้นได้ไม่นาน และสุดท้ายต้องมีวันหมด แล้วพวกที่ลาออกจากงานดังกล่าวสุดท้ายก็อาจต้องกลับมาทำงานใหม่ เป็นวงจร ก็เป็นได้ครับ

Wednesday, April 8, 2015

ความผันผวนมีสาเหตุ

สวัสดีครับ,

ผมนั่งตรึกตรองอยู่นานว่าจะหาประเด็นอะไรมากล่าวถึงนอกเหนือไปจากเรื่องสภาวะตลาดที่ต้องอัพเดทให้อ่านกันเป็นประจำ ว่าแล้วก็นึกว่าถึงเรื่องของความผันผวนของตลาดในช่วงที่ผ่านมาที่ทำให้หุ้นบางตัวต้องลงหนัก พอดีกับที่ผมได้เหลือบไปเห็นข้อมูลที่ส่งต่อๆ กันทางไลน์ ที่บอกว่าสาเหตุนั้นเกิดจากแรงขายหุ้นของผู้ออก DW หลายเจ้าผสมโรงกับแรงขายปกติที่เกิดตามกลไกตลาด ผมเลยอยากจะอธิบายหลักการคร่าวๆ ว่ามันเป็นจริงอย่างที่กล่าวหรือไม่ตามความเข้าใจของผมนะครับ



ก่อนอื่นเลยต้องขอให้รู้จักอักษรกรีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Delta (Δ, δ) ค่านี้เป็นค่าหนึ่งที่ market maker หรือผู้ที่ออก Derivative Warrants (DW) ให้ความสำคัญพอสมควร เพราะมันบ่งบอกถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา DW เมื่อราคาหุ้นอ้างอิงเปลี่ยนไป เช่น ถ้า DW ประเภท call ของหุ้น BBL มีค่า Delta เท่ากับ 0.5 นั่นหมายถึงถ้า BBL ปรับตัวขึ้นไป 1 บาท ราคา DW ก็ควรจะปรับขึ้นไป 0.5 บาท (และในทางกลับกันถ้าปรับตัวลดลง) โดยอีกคอนเซ็ปต์หนึ่งที่ต้องทราบก็คือเมื่อผู้ออกออก DW ประเภท call เค้าจะต้องซื้อหุ้นอ้างอิงนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง ในขณะที่ถ้าเค้าออก DW ประเภท put เค้าก็จะต้องขายหุ้นอ้างอิงนั้นล่วงหน้าเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงเช่นกัน

ทีนี้คำถามคือแล้วผู้ออก DW จะต้องซื้อหุ้นหรือขายหุ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นจำนวนเท่าใด? เท่ากับจำนวน DW ที่ออกเลยไหม? คำตอบคือไม่ครับ ตรงนี้แหละที่ค่า Delta จะถูกนำมาใช้ในการคำนวณ เช่น ถ้าผู้ออกต้องการออก DW ประเภท call ของ BBL จำนวน 10,000 หน่วย ซึ่งมีค่า Delta เท่ากับ 0.5 และมีอัตราการใช้สิทธิต่อหน่วยเท่ากับ 1 ผู้ออกจะต้องซื้อหุ้น BBL เพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นจำนวน 0.5*10,000 ซึ่งเท่ากับ 5,000 หุ้น (ไม่ใช่ 10,000 หุ้นนะครับ)

ไฮไลท์มันอยู่ตรงที่ว่าเจ้าค่า Delta นี้ดันไม่ได้คงที่อะครับ มันแปรเปลี่ยนไปตามราคาหุ้นที่ขึ้นลง เช่นในกรณีของ DW ประเภท call ของ BBL ที่ยกตัวอย่าง ถ้าหุ้น BBL ขึ้น ค่า Delta ก็จะปรับขึ้นตาม หรือถ้าหุ้น BBL ลง ค่า Delta ก็จะปรับลงตาม นั่นแปลว่า market maker หรือผู้ออก DW ต้องคอยทยอยซื้อหุ้นเพิ่มหรือขายหุ้นออกตามราคาที่ขึ้นหรือลงเพื่อป้องกันความเสี่ยงอยู่ตลอด จึงสรุปได้ว่าหากหุ้นตัวใดมีผู้ออก DW ใช้ในการอ้างอิงซะเยอะหุ้นตัวนั้นอาจจะมีความผันผวนมากกว่าปกติครับ ซึ่งตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่างั้นแปลว่า market maker ต้องคอย monitor ราคาหุ้นตลอดเวลาเลยหรอ? คำตอบคือใช่ครับ แต่เค้ามีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยนะ เพราะงั้นสบายมากหายห่วง แต่ต้องบอกเพิ่มเติมว่าการป้องกันความเสี่ยงโดยค่า Delta นี้ก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่ว่าหากราคาหุ้นผันผวนมากๆ market maker ก็อาจบาดเจ็บได้ครับ (เพราะซื้อแพงขายถูก) ดังนั้นก็อาจต้องมีวิธีป้องกันความเสี่ยงด้วยค่าอื่นๆ มาช่วย เช่นค่า Gamma (Γ, γ), Vega 

เอาละ คงพอกระจ่างขึ้นบ้างนะครับ ส่วนภาพตลาดตอนนี้ผมอยากให้จับตาดูราคาน้ำมันเป็นพิเศษ ถ้าน้ำมันสามารถกลับมาเป็นขาขึ้นได้ (หลังจากที่ลดลงมาครึ่งหนึ่งจากปีที่แล้ว) ตลาดหุ้นบ้านเราก็น่าจะแข็งแกร่งได้เลยเหมือนมีคนคอยเสริมพลัง (หุ้นพลังงานมีสัดส่วนถึง 1 ใน 5 ของ market cap ตลาดหุ้นไทย) แต่ถ้ายังยืนแข็งๆ ไม่ได้ ตลาดเราก็คงซึมๆ ขึ้นลงเบาๆ ในกรอบแบบนี้ไปอีกซักพักกระมังครับ