สวัสดีครับ,
เผลอแป๊ปๆ เวลาได้ล่วงเลยมาถึงเดือนที่ 5 แล้วในปีนี้
ผมยังรู้สึกว่าเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่เพิ่งจะผ่านพ้นไปไม่นานเองครับ อย่างไรก็ดี
ช่วงที่เราเผลอๆ นิแหละ อาจจะเผลอลืมมองไปด้วยว่านักลงทุนต่างชาติเค้าได้กลับมาซื้อสุทธิในบ้านเราอย่างมีนัยสำคัญพอสมควรเลยนะ
โดยเฉพาะในตลาดอนุพันธ์ ที่ฝรั่งได้ซื้อสุทธิในสัญญา SET50 Index Futures เป็นจำนวนเกือบ
1.6 แสนสัญญา (นับจนถึงวันที่ 3 พ.ค.) คิดเป็นมูลค่าคร่าวๆ ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท
ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์เลยละครับ
นอกจากนี้ ฝรั่งยังได้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเป็นมูลค่าอีก 1.4
หมื่นล้านบาทนับจากต้นปี หลงจ้งกับตลาดอนุพันธ์ก็คิดเป็นมูลค่าร่วม 4.2
หมื่นล้านบาท ที่มาช่วยพยุง SET Index เรา นิยังไม่นับค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่า 2.5%
จากต้นปีเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอีกนะครับ
หรือสงสัยสถานการณ์จะพลิกผันหรือมีประเด็นอะไรใหม่ๆ ที่เราไม่ทราบรึเปล่า
เพราะถ้าจำกันได้ช่วงต้นปีกูรูส่วนใหญ่จะคาดการณ์ว่าเงินจะไหลออกจากตลาดหุ้นต่อเนื่องและค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าไปแถวๆ
38 บาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ เหตุผลก็เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ
มีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ แต่สิ่งที่เราเห็นกับตรงกันข้าม
เหตุผลที่แท้จริงอีกไม่นานก็น่าจะได้รู้กันละครับ
แต่ก็มีความจริงที่ท่านผู้ว่าแบงค์ชาติได้กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า
ตอนนี้เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวและคาดว่าจะดีต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง
โครงสร้างการเงินแข็งแกร่ง ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดวิกฤตเหมือนปี 2540 ไม่มี และถึง
Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจริงก็จะกระทบไม่มาก
เพราะเรามีกันชนที่ดีในเรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นถึง
3 เท่า ขณะที่การพึ่งพิงเงินตราต่างประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนก็อยู่ในระดับต่ำ
เห็นได้จากพันธบัตรรัฐบาลและแบงค์ชาติมีฝรั่งถือครองเพียง 8-9% เทียบกับเพื่อนบ้านบางประเทศที่ต่างชาติถือถึง
30-40% อีกทั้งตลาดหุ้น ฝรั่งก็ถือหุ้นลดลงไปมาก โดยสัดส่วนเหลือเพียง 27-30%
เทียบกับ
35-37% เมื่อ 3-4 ปีก่อน
หรือบางทีสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ไทยกลับมาเป็นที่สนใจของฝรั่งอีกครั้งในยามที่ผลตอบแทนจากการลงทุนหาได้ยากในโลกยุคดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ก็เป็นได้ครับ