Wednesday, June 1, 2016

5 ทีเด็ดจาก Warren Buffett (For Intania 89 #3)

สวัสดีครับ,

เมื่อคืนกลางดึกของวันที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสนั่งดูการถ่ายทอดสดการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัท Berkshire Hathaway ที่เป็นการถ่ายทอดครั้งแรกทางอินเตอร์เน็ตให้ผู้ชมทั่วโลกได้ดูไปพร้อมกับผู้เข้าประชุมหลายหมื่นคนในเมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา จริงๆ แล้วถ้าหากไม่มีการถ่ายทอดนี้ ผู้ที่จะได้ร่วมประชุมนั้นจะต้องถือหุ้นอย่างน้อย 1 หุ้น (ณ เวลาที่เขียนบทความอยู่นี้ หุ้น Berkshire (BRK-A) สนนราคาหุ้นละเพียง 211,180 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7.5 ล้านบาทเท่านั้นครับ) ภาพที่เห็นก็คือมีคุณปู่ 2 ท่านนั่งอยู่บนเวที คนซ้ายนามว่า Warren Buffett CEO และผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ Berkshire คนขวานามว่า Charlie Munger รองประธานฯ และคู่หูของ Warren Buffett และยังมีเอกสาร ขนมขบเคี้ยว แก้วน้ำและน้ำอัดลมวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมที่จะบรรยายและตอบคำถามผู้ถือหุ้นทุกท่านอย่างถึงไหนถึงกัน


ผมไม่ได้จะมาสรุปผลการประชุมหรอกครับ เพราะเรียนตรงๆ ว่าดูไม่จบ ก็การประชุมเล่นยืดยาวไปจนถึงเช้ามืดวันที่ 1 พฤษภาคม (เวลาประเทศไทย) ถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ตัวจริงก็คงหลับคาโต๊ะนั่นละครับ แต่ที่น่าสนใจก็คือคำกล่าวที่ว่าเมื่อ “Buffett (และ Munger) พูด โลกจะหยุดฟังนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นจริง นักลงทุนยุคนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก Warren Buffett บุรุษผู้ซึ่งบริหารบริษัท Berkshire จนทำให้มูลค่าหุ้นขึ้นมามากกว่า 1,000,000% ในช่วงปี 1964-2015 ในขณะที่ดัชนี S&P500 ขึ้นมาเพียง 2,300% ในบทความนี้ผมเลยเลือกคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่น่าสนใจที่ Buffett เคยกล่าวไว้ในหลายๆ โอกาสมาสรุปยำรวม 5 ข้อสั้นๆ ดังนี้ครับ


ข้อแรก อย่าซื้อหุ้นในบริษัทที่คุณไม่เข้าใจ และถ้าคิดว่าไม่สามารถจะถือหุ้นนั้นได้ถึง 10 ปี แค่เพียง 10 นาทีก็อย่าคิดที่จะเป็นเจ้าของมันข้อสอง อย่าลงทุนตามฝูงชน การจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้นั้นคุณต้องแยกตัวให้ขาดจากความโลภและความกลัวของคนอื่นรอบๆ ตัวคุณ แม้ในสถานการณ์จริงจะเป็นไปได้ยากก็ตามข้อสาม รู้ตัวว่าคุณไม่รู้ในเรื่องอะไร และจงรู้จักเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของผู้อื่นและอย่าทำตามข้อสี่ การลงทุนที่ดีที่สุดก็คือการลงทุนในตัวคุณเอง ลงทุนในการศึกษาให้มากตั้งแต่อายุยังน้อย อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า รวมถึงฝึกสื่อสารทั้งการพูดและการเขียนให้ดี เพราะนั่นจะช่วยเพิ่มมูลค่าและรับประกันอนาคตของคุณในระยะยาวและข้อห้า ให้ลงทุนใน Broad-based index fund ที่ล้อไปตามดัชนี S&P 500” งงใช่ไหมละครับข้อนี้ ไม่เป็นไร ผมจะขยายความให้

ก่อนอื่นขอเล่าก่อนว่ากองทุนที่เราซื้อขายกันนั้นถูกแบ่งกว้างๆ ออกเป็น 2 ประเภทครับ ประเภทแรกเราเรียกว่า Active fund กองประเภทนี้จะมีผู้จัดการกองทุนบริหาร ช่วยตัดสินใจลงทุนให้โดยมุ่งหวังให้ผลตอบแทนชนะตลาด ประเภทที่สองเรียกว่า Passive fund เป็นกองทุนที่ผู้จัดการกองทุนไม่ต้องตัดสินใจลงทุน หน้าที่มีเพียงคอยจัดการให้มูลค่ากองทุน (NAV) ล้อไปกับดัชนีที่ยึดเป็นสิ่งอ้างอิงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้กองทุนประเภท Passive fund จึงมีค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุนที่ต่ำกว่า Active fund ค่อนข้างมากครับ

ที่ Buffett กล่าวว่าให้ลงทุนใน Broad-based index fund ที่ล้อไปกับดัชนี S&P 500 นั้น กองทุนนี้ก็จัดเป็น Passive fund ประเภทหนึ่งครับ โดย Buffett มีความเชื่อในเรื่องนี้มานานแล้วว่า ในระยะยาวแล้วการลงทุนใน Passive Fund จะสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าการลงทุนใน Active fund” (ไม่ใช่เพราะว่าผู้จัดการกองทุน Active fund ไม่เก่ง แต่เพราะค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการกองทุนนั้นต่างกันมาก) เค้าถึงกับเดิมพันกับ Hedge Fund ในอเมริกาที่ชื่อว่า Protégé Partners ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเงินบริจาค 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ผู้ชนะจะได้สิทธิ์เลือกว่าจะบริจาคให้กับมูลนิธิใด) ว่ากองทุนอย่าง Vanguard S&P 500 ซึ่งเป็น Passive fund ที่ล้อไปตามดัชนี S&P 500 จะทำผลตอบแทนได้ชนะ Hedge funds ที่เป็น Active fund ภายใน 10 ปี จนถึงเวลานี้ผ่านไปแล้ว 8 ปี ผลตอบแทนสะสมของฝั่ง Buffett สูงถึง 65.7% ในขณะที่ฝั่ง Hedge funds ทำได้เพียง 21.9% ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2017 ที่เป็นวันสิ้นสุดการเดิมพันครั้งนี้ Buffett คงเป็นผู้ได้เลือกว่าจะนำเงินไปบริจาคให้กับที่ใดครับ

ทั้งหมดนี้ก็คือแก่นเพียงเศษเสี้ยวของนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งของโลกที่ผมกลั่นออกมาให้อ่านกันครับ ไว้มีโอกาสในคราวถัดๆ ไปผมจะหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจของนักลงทุนท่านอื่นๆ มาเล่าสู่กันฟังอีก คอยติดตามกันนะครับ

นอกหรือในใครจี๊ด

สวัสดีครับ,

เป็นที่น่าสนใจว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาปีนี้เป็นบวก 20 จุด หรือ 1.4% สวนทางวลีเด็ด Sell in May ไปเลยละครับ ความจริงหุ้นมาขึ้นหนักๆ ในช่วงอาทิตย์สุดท้าย ซึ่งพอไปดูตัวเลขก็ไม่น่าสงสัยว่าทำไม ก็พี่ฝรั่งเล่นซื้อสุทธิ SET50 index futures 5 วันรวดหลงจ้งถึง 36,738 สัญญา ทำให้ตัวเลขสุทธิทั้งเดือนพลิกกลับมาเป็นบวก 400 สัญญา และพอรวมตัวเลขทั้งปี ฝรั่งซื้อสุทธิถึง 158,837 สัญญาครับ

Screen Shot 2559-06-01 at 4.56.44 PM

ในแง่ตลาดหุ้นนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาฝรั่งยังคงซื้อสะสมโดยเป็นยอดสุทธิถึง +1.8 หมื่นล้านบาท แม้จะยังไม่ถึงครึ่งปีแต่ก็เรียกได้ว่ามีลุ้นมากขึ้นครับที่นักลงทุนต่างชาติจะพลิกกลับมาเป็นซื้อสุทธิในปีนี้หลังจากที่ขายหนักๆ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหลายแสนล้านบาท ที่น่าสนใจก็คือนักลงทุนสถาบันในประเทศที่เป็นผู้ซื้อหนักๆ รองรับแรงขายฝรั่งในช่วงหลายปีที่ผ่านกลับเริ่มซื้อเบาบางลงในปีนี้ ซึ่งผมคิดว่าแนวโน้มการชะลอซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศอาจจะมีต่อเนื่อง (และอาจพลิกเป็นขายสุทธิได้ในที่สุด) เห็นได้จากตัวอย่างหนึ่งก็คือมีข่าวว่ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของประเทศได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจาก 10.2% เมื่อสิ้นปี 2015 เหลือ 7-8% ในปัจจุบัน ในขณะที่ไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศจาก 25% เป็น 30% และ property assets จาก 8% เป็น 12%

Screen Shot 2559-06-01 at 4.56.52 PM

ก็ต้องมาลุ้นกันต่อครับว่าพลังเงินนอกกับเงินในใครจะแรงและมีผลต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่ากัน แต่โดยปกติแล้วถ้าเงินนอกมาจริงของเค้ามักจะแรงละครับ

Wednesday, May 18, 2016

สองในสิบสอง

สวัสดีครับ,

จนถึงช่วงเช้าของวันที่ 18 พ.ค. 59 ผลตอบแทนตลาดหุ้นเดือนนี้ยังเป็นบวกอยู่เล็กน้อยครับที่ +0.14% เหมือนกับว่าวลีเด็ด Sell in May and Go Away จะไม่เป็นจริงในปีนี้อย่างนั้นหรือ?


หากย้อนไปดูข้อมูล 10 ปีให้หลังในช่วงปี 2006-2015 ก็จะพบว่ามีอยู่ 2 ใน 12 เดือนเท่านั้นครับที่ผลตอบแทนตลาดหุ้นรายเดือนเป็นลบมากกว่าบวก นั่นก็คือเดือนม.ค. และเดือนพ.ค. (เป็นลบ 6 ครั้ง เป็นบวก 4 ครั้ง) ซึ่งในกรณีของเดือนพ.ค.นั้น อาจจะไม่น่าสงสัยมาก แต่ที่น่าแปลกก็คือเดือนม.ค. ที่เราจะได้ยินว่าคำว่า January Effect ว่าหุ้นมักจะขึ้นในเดือนม.ค. เพราะนักลงทุนจะกลับมาซื้อหุ้นในเดือนนี้หลังจากขายหุ้นทิ้งในเดือนธ.ค.เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจาก capital gains (ในเมืองนอก) แต่ความจริงก็คือเรื่องหุ้นในเดือนม.ค.กลับลงมากกว่าเดือนอื่น

นักลงทุนบางท่านอาจจะแย้งว่า เอ๊ะ ก็ตลาดหุ้นไทยไม่ได้เก็บภาษี capital gains เหมือนเมืองนอกนิ จริงครับ แต่ผมก็มักจะได้ยินการเหมารวมอยู่เสมอๆ ในตลาดหุ้นบ้านเรา จนวลี January Effect กลายเป็นความเชื่อไปแล้วว่าหุ้นจะต้องขึ้นในเดือนม.ค.

ข้อสรุปของผมก็คือไม่ว่าจะเป็นวลี Sell in May and Go Away หรือ January Effect มันก็อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ครับ ที่บางทีเรารู้สึกว่ามันน่าจะจริงมากกว่าก็เพราะเราอาจสนใจเฉพาะแต่สิ่งที่เราอยากสนใจมากเกินไป (เป็น bias ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Focusing Effect) จนลืมไปว่าก็มีอีกหลายปีนะที่หุ้นไม่ได้ลงเดือนพ.ค. หรือในกรณีเดือนม.ค.ที่หุ้นดันลงมากกว่าขึ้นด้วยซ้ำ


ส่วนในแง่ของภาพตลาดเองนั้น ผมคิดว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เราเห็นการปรับตัวการคาดการณ์ GDP ขึ้น หลังจาก GDP ไตรมาส 1 ออกมาดีกว่าคาดที่ +3.2%YoY โดยสภาพัฒน์ปรับคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้ขึ้นเป็น 3-3.5% จาก 2.85-3.5% ในขณะที่ประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นบ้านเราก็มีแนวโน้มดูดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ไตรมาสครับ ราคาหุ้นเป็นอย่างไรไว้ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้พื้นฐานโดยรวมเริ่มฟื้นแล้วครับ


Wednesday, May 4, 2016

ซื้อสุทธิหนักมาก

สวัสดีครับ,

เผลอแป๊ปๆ เวลาได้ล่วงเลยมาถึงเดือนที่ 5 แล้วในปีนี้ ผมยังรู้สึกว่าเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่เพิ่งจะผ่านพ้นไปไม่นานเองครับ อย่างไรก็ดี ช่วงที่เราเผลอๆ นิแหละ อาจจะเผลอลืมมองไปด้วยว่านักลงทุนต่างชาติเค้าได้กลับมาซื้อสุทธิในบ้านเราอย่างมีนัยสำคัญพอสมควรเลยนะ โดยเฉพาะในตลาดอนุพันธ์ ที่ฝรั่งได้ซื้อสุทธิในสัญญา SET50 Index Futures เป็นจำนวนเกือบ 1.6 แสนสัญญา (นับจนถึงวันที่ 3 พ.ค.) คิดเป็นมูลค่าคร่าวๆ ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์เลยละครับ



นอกจากนี้ ฝรั่งยังได้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเป็นมูลค่าอีก 1.4 หมื่นล้านบาทนับจากต้นปี หลงจ้งกับตลาดอนุพันธ์ก็คิดเป็นมูลค่าร่วม 4.2 หมื่นล้านบาท ที่มาช่วยพยุง SET Index เรา นิยังไม่นับค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่า 2.5% จากต้นปีเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอีกนะครับ หรือสงสัยสถานการณ์จะพลิกผันหรือมีประเด็นอะไรใหม่ๆ ที่เราไม่ทราบรึเปล่า เพราะถ้าจำกันได้ช่วงต้นปีกูรูส่วนใหญ่จะคาดการณ์ว่าเงินจะไหลออกจากตลาดหุ้นต่อเนื่องและค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าไปแถวๆ 38 บาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ เหตุผลก็เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ แต่สิ่งที่เราเห็นกับตรงกันข้าม


เหตุผลที่แท้จริงอีกไม่นานก็น่าจะได้รู้กันละครับ แต่ก็มีความจริงที่ท่านผู้ว่าแบงค์ชาติได้กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวและคาดว่าจะดีต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง โครงสร้างการเงินแข็งแกร่ง ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดวิกฤตเหมือนปี 2540 ไม่มี และถึง Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจริงก็จะกระทบไม่มาก เพราะเรามีกันชนที่ดีในเรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นถึง 3 เท่า ขณะที่การพึ่งพิงเงินตราต่างประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนก็อยู่ในระดับต่ำ เห็นได้จากพันธบัตรรัฐบาลและแบงค์ชาติมีฝรั่งถือครองเพียง 8-9% เทียบกับเพื่อนบ้านบางประเทศที่ต่างชาติถือถึง 30-40% อีกทั้งตลาดหุ้น ฝรั่งก็ถือหุ้นลดลงไปมาก โดยสัดส่วนเหลือเพียง 27-30% เทียบกับ 35-37% เมื่อ 3-4 ปีก่อน หรือบางทีสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ไทยกลับมาเป็นที่สนใจของฝรั่งอีกครั้งในยามที่ผลตอบแทนจากการลงทุนหาได้ยากในโลกยุคดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ก็เป็นได้ครับ


Tuesday, April 26, 2016

ดอกเบี้ยนโยบาย (For Intania 89 #2)

สวัสดีครับ,

ในบทความเมื่อเดือนก่อนผมได้กล่าวถึงเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลก ส่งผลให้สภาพคล่องยังมีอยู่มากและช่วยให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้นยังคงดูน่าสนใจอยู่บ้างแม้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอาจไม่ได้หวือหวาหรือโตมากมายอะไร (ก็เศรษฐกิจไทยดันโตไม่เยอะนิครับ) ในบทความนี้ผมจะเล่าต่อเนื่องในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยครับ ทำไมเราจึงต้องให้ความสำคัญและใช้การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายประกอบในการตัดสินใจลงทุน

ก่อนไปถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายขอเล่าที่มาที่ไปซักเล็กน้อยครับ เรื่องมีอยู่ว่า เครื่องมือที่ในการดูแลเศรษฐกิจของประเทศถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่ 1) นโยบายการคลัง (Fiscal policy) เช่น การเพิ่มหรือลดภาษี การใช้งบประมาณเกินดุลหรือขาดดุล โดยรัฐบาลในส่วนของกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดูแลตรงนี้ 2) นโยบายการเงิน (Monetary policy) ได้แก่ การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (Reserve requirements) การดำเนินการผ่านตลาดการเงิน (Open market operations) และการใช้หน้าต่างตั้งรับ (Standing facilities) ในส่วนนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเป็นผู้ดูแลเพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กำหนด

แล้วดอกเบี้ยนโยบาย (Policy rate) คืออะไร? ปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกกำหนดให้เท่ากับอัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี (Bilateral repurchase rate) ระยะ 1 วันครับ กล่าวคือ ในกรณีที่สถาบันการเงินมีสภาพคล่องเหลือก็จะนำเงินไปให้ธปท.กู้ยืมเป็นระยะเวลา 1 วัน โดยธปท.จะโอนพันธบัตรภาครัฐให้กับสถาบันการเงินเหล่านั้นเพื่อเป็นหลักประกันพร้อมกับให้คำมั่นว่าจะรับซื้อคืนพันธบัตรคืนและจ่ายดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลา 1 วันให้ เจ้าดอกเบี้ยนี้ละครับที่ถูกกำหนดให้เท่ากับดอกเบี้ยนโยบาย (แม้ในทางปฏิบัติอาจไม่เท่ากันเป๊ะก็ตาม)

แล้วมันมีความสำคัญอย่างไรละ? ประมาณทุก 6 สัปดาห์ (ปีละ 8 ครั้ง) กนง.จะประชุมร่วมกันเพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจและการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะมีผลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพื่อพิจารณากำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสมครับ ซึ่งหลังจากการประชุมทุกครั้งก็จะมีการประกาศว่าจะคง เพิ่ม หรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มี.ค. กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5%)  ซึ่งโดยปกติแล้วหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี และเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ กนง.จะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครับ เผลอๆ อาจจะลดด้วยซ้ำ เพราะการคงดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนและภาคเอกชนสามารถกู้เงินไปลงทุนได้โดยมีต้นทุนที่ถูก (อัตราดอกเบี้ยต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์ถูกกำหนดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับดอกเบี้ยนโยบาย) ในขณะที่ถ้าเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวและเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้น กนง.ก็อาจปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น เพื่อป้องกันความร้อนแรงไม่ให้เงินเฟ้อขยายตัวเร็วเกินไป เป็นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจครับ

                     

กล่าวโดยสรุปคือ หากมีการลดดอกเบี้ยนโยบาย นักลงทุนจะตีความว่าธปท.กำลังใช้นโยบายการเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมักจะเป็นผลดีสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น (แต่ทั้งนี้ก็ต้องระวังหากคงดอกเบี้ยไว้ต่ำเกินไปนานๆ อาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์ต่างๆ ได้) แต่หากมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย นักลงทุนจะตีความว่าธปท.กำลังลดความร้อนแรงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจลง เพราะเป็นการทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น และมักจะส่งผลลบต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น อย่างไรก็ดี ในการวิเคราะห์เราไม่สามารถดูอัตราดอกเบี้ยในบ้านเราอย่างเดียวแล้วใช้ตัดสินใจลงทุนเลยได้นะครับ ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีก เช่น การมองดอกเบี้ยนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกเช่น สหรัฐฯ หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนว่าไปในทิศทางใด (วิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบ) รวมถึงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ฯลฯ ซึ่งถ้ามีโอกาสคงจะได้กล่าวถึงในคราวถัดไปครับ 
                                                                    

Wednesday, April 20, 2016

พลังงานผลักดัน

สวัสดีครับ,

กลับมาอัพเดทสภาพตลาดกันต่อหลังจากผ่านพ้นช่วงหยุดยาวไป ซึ่งต้องบอกเลยครับว่าตลาดหุ้นไทยนั้นร้อนแรงไม่แพ้กับสภาพอากาศที่ร้อนระอุในช่วงนี้ ถ้าดูจาก chart ด้านล่างจะพบว่าดัชนี SET ทำผลตอบแทนจากต้นปีราว 10% ซึ่งถือว่าใช้ได้ แม้จะไม่ได้สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกก็ตาม (เจอ บราซิล IBOV +38%YTD, โคลัมเบีย COLCAP +29%YTD) แต่ก็ดีกว่าการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น (-11%YTD) หรือจีน (-14%YTD) ซึ่งพอมาเจาะดูราย sector ก็พบว่าเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานนิละครับที่ดึงดัชนีและ outperform ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา


ทั้งนี้การจะคาดการณ์ว่าหุ้นพลังงานจะช่วยผลักดันให้ SET ไปต่อได้หรือไม่ ก็คงต้องขึ้นกับราคาน้ำมันเป็นหลักครับ ซึ่งลองวิเคราะห์เบื้องต้นแบบพื้นๆ ในแง่ supply side แล้ว เราได้เห็นแหล่งผลิตน้ำมันหลายแห่งทยอยปิดเนื่องจากขาดทุนบักโกรก ในขณะที่ด้าน demand side ก็น่าจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเพราะราคาน้ำมันต่ำกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก ผู้ใช้น่าจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นสรุปได้ว่าราคาน้ำมันอาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและความผันผวนของราคาในปีนี้ก็น่าจะน้อยกว่าปีที่แล้วครับ


สุดท้ายในแง่ของ Fund flows เป็นที่น่าสนใจครับว่า (จากรูป) นักลงทุนต่างชาติได้เป็นผู้ขายสุทธิในหุ้นไทยอย่างหนักมาต่อเนื่อง 3 ปี (2013-2015) แต่ปีนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณดีแล้วว่าเค้าได้กลับมาซื้อสุทธิในหุ้นไทยบ้างแล้ว ยะฮู้! ซึ่งหาก momentum ยังเป็นแบบนี้ต่อเนื่อง เราก็คงอุ่นใจได้เปราะหนึ่งครับว่า downside ของตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปคงน่าจะจำกัดครับ


Friday, April 1, 2016

For Intania 89 #1

สวัสดีครับ,
26 มี.ค. 2559

ผมได้รับการติดต่อจากประธานรุ่น 89 (เต้) ให้เขียนบทความเกี่ยวกับการลงทุนสั้นๆ ให้พวกเราชาวอินทาเนีย 89 ได้อ่านกัน ต้องขอออกตัวก่อนครับว่าผมนั้นไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอะไร และสิ่งที่จะเล่าต่อจากนี้ก็เป็นเพียงมุมมองนึงที่นำมาแชร์เพื่อแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ เท่านั้นครับ

สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นการเติบโตตลอดช่วงเวลาการทำงานประมาณ 7 ปีในแวดวงตลาดทุนนั้น ก็คือการที่คนไทยเริ่มให้ความสนใจกับการลงทุนในหุ้นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สังเกตได้จากเมื่อใดก็ตามที่มีการจัดสัมมนาเกี่ยวกับหุ้นและเชิญคนดังๆ มาพูด คนมักจะเต็มห้องประชุมแทบทุกครั้ง หรือหากไปร้านหนังสือก็จะพบว่าร้านหลายแห่งในปัจจุบันแทบจะยกแผงใหญ่ๆ แผงนึงให้เป็นที่วางของหนังสือเกี่ยวกับหุ้น ทั้งๆ ที่เมื่อสมัย 10 กว่าปีก่อน หนังสือเกี่ยวกับหุ้นในร้านหนังสือนั้นมีน้อยมาก การที่จะหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนเด็ดๆ ซักเล่มต้องพึ่ง Text book เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเศรษฐีหุ้นหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมายด้วยสไตส์การลงทุนหลากหลายที่ เซียนเหล่านั้นก็เชื่อว่าของตนนั้นสุดยอด ความจริงแล้วสาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะนับตั้งแต่หลังวิกฤต subprime หุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีมาตลอดครับ เพิ่งจะมาสะดุดหนักๆ เอาก็ปีที่แล้วเท่านั้น (-14%) ซึ่งช่วงเวลาจากนี้ไปผมเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นไทยคงจะไม่โดดเด่นอย่างที่เคยเป็น สาเหตุนั้นคงต้องบอกว่าเป็นเรื่องของภาพเศรษฐกิจ คุณภาพของบริษัทจดทะเบียน และราคาหุ้นที่ไม่ได้ถูก (คงจะมีโอกาสได้กล่าวรายละเอียดในโอกาสถัดไป)


อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้การลงทุนในหุ้นยังเป็นที่สนใจอยู่ก็คือเรื่องของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ต่ำมายาวนาน และมีทีท่าว่าจะต่ำต่อไปอีกพักใหญ่ บ้านเราเองนั้นหากจำกันได้ช่วงก่อนวิกฤตปี 2540 เราเคยฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยกัน 2 หลัก ซึ่งบางแห่งก็ให้ถึง 2 หลักปลายๆ สมัยนี้นะหรอ ได้ 1% ก็บุญโขละครับ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นไทยที่ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนโดยรวมประมาณ 3% กว่าๆ ในปัจจุบันจึงนับว่าพอจะน่าสนใจอยู่บ้าง เพียงแต่การจะคาดหวังผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาหุ้นสูงๆ แบบเมื่อก่อนคงไม่ง่ายแล้วละครับ       

Wednesday, March 23, 2016

ตื่นเต้นที่สุด

สวัสดีครับ,

เรื่องที่ตื่นเต้นที่สุดในตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปีผมคิดว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องที่พวกเราลุ้นกันว่า JAS จะสามารถหาเงินมาชำระค่าใบอนุญาตคลื่น 900 MHz งวดแรกทันภายใน 16.30 เมื่อ 21 มี.ค.ที่ผ่านมาได้หรือไม่ ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่ทราบกันครับ ซึ่งผลกระทบนั้นเกิดในวงกว้าง ในมุมของตลาดหุ้นเองนั้น เนื่องด้วยกลุ่ม ICT คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าตลาดหุ้นไทย การที่ไม่มีผู้เล่นรายที่ 4 เข้ามาย่อมทำให้ภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมดูเบาลง ราคาหุ้น 2 ตัวที่ประมูลใบอนุญาตไม่ได้ในคราวก่อนจึงเด้งกลับค่อนข้างใช้ได้ (ลองดูผลการเด้งของกลุ่ม ICT มีผลต่อ SET Index ถึง +7.1 จุด ในวันที่ 22 มี.ค.) แต่อย่าลืมนะครับว่าสถานการณ์การแข่งขันนั้นได้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2015 แล้ว สังเกตจาก operator แต่ละรายต่างก็ทยอยออก campaign ใหม่ๆ มากมาย เพราะฉะนั้นภาพอุตสาหกรรมจากนี้ไปคงยากที่จะกลับไปเหมือนเมื่อก่อนมีการประมูลใบอนุญาต 4G แล้วละครับ


อย่างไรก็ตามหากมองภาพตลาดโดยรวมแล้วก็ต้องใช้คำว่าไม่ได้แย่เท่าใดนักครับ ดัชนี SET ย้ำไม่ไปไหนแถวๆ ใกล้ๆ 1400 มาเป็นเวลา 2 สัปดาห์แม้จะยังไม่ได้ทะลุทะลวงผ่านไปได้อย่างมีนัยสำคัญก็ตามที ในขณะที่เหลือบไปมองตัวเลขสัดส่วนการซื้อขายแล้ว เป็นที่น่าตกใจครับว่านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสะสมหุ้นไทยในเดือนมี.ค.เป็นยอดรวมเกือบ 1.6 หมื่นล้านบาท (นับถึง 22 มี.ค.) ซึ่งถือว่าสูงมากในรอบหลายเดือนเลยทีเดียว


ในขณะที่ด้านตลาด currency เอง ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมาก จาก 35.6 เมื่อต้นเดือนมาอยู่ที่ราว 35 บาทเทียบ USD ณ ปัจจุบัน (แข็งค่าราว 1.7%) แปลว่าเงินได้ไหลเข้ามาซื้อค่าเงินบาทด้วย ก็ต้องมาติดตามกันต่อไปครับว่าเงินต่างชาติจะไหลเข้ามาแบบนี้อีกนานแค่ไหน และพลังนี้จะช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยบินฉวัดเฉวียนขึ้นยืนเหนือ 1400 ได้อย่างงดงามได้หรือไม่ มาลุ้นกันครับ

Wednesday, March 9, 2016

ระมัดระวัง

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาขึ้นมาได้ดีแทบจะเกือบทั้งโลก แต่เป็นตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียนอย่างไทยและอินโดนิเซียที่ขึ้นมาได้ดีกว่าใครเพื่อน โดยผลตอบแทนเราทั้งคู่ติดอันดับตลาดหุ้นที่ผลตอบแทนดีที่สุด 10 อันดับแรกของโลกนับจากต้นปีครับ ทั้งนี้สาเหตุน่าจะไม่ใช่เพราะภาพพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ แต่เป็นเรื่องของ Fund flows ที่ไหลกลับเข้ามาในภูมิภาคนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมากกว่า


ค่าเงินบาทเองก็แข็งค่าขึ้นมาค่อนข้างมากเทียบกับ USD โดยล่าสุดอยู่ที่ 35.35 เทียบกับเมื่อต้นปียังอยู่ที่ 36 อยู่เลย ถือว่าแข็งเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียเลยละครับ


ถึงจุดนี้นักลงทุนหลายท่านคงเริ่มตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเงินไหลกลับเข้ามาในอาเซียนรวมถึงบ้านเราอย่างมีนัยสำคัญทั้งๆ ที่ภาพปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากมาย? ผมคิดว่าแบบนี้ครับ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลก รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ที่บางประเทศถึงขนาดกดดอกเบี้ยลงไปติดลบอีก ทำให้สุดท้ายเงินก็ต้องมีที่ไป (เหมือนสายน้ำ เปิดก๊อกกักไว้ในโอ่งนานๆ เดี๋ยวก็ต้องล้น) ด้วยที่ตลาดหุ้นไทย underperform หุ้นโลกมาก่อนหน้านี้หลายปี รวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5แม้จะต่ำแต่ก็ยังสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ (ถ้าไปดูผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยล่าสุดอยู่ที่ 1.9ซึ่งถือว่าต่ำมาก ไม่เคยเห็นต่ำขนาดนี้มาก่อน แปลว่าเงินไหลเข้ามาซื้อเยอะจริงๆ) เหตุผลเหล่านี้น่าจะพอดึงดูดให้เงินไหลกลับเข้ามาเก็งกำไรได้บ้างแม้อาจจะเป็นเพียงระยะสั้นก็ตามครับ 


อย่างไรก็ดี ด้วยปัจจัยพื้นฐานและภาพเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ (แถมอาจถูกปรับประมาณการลงด้วยซ้ำ จากที่ท่านผู้ว่าแบงค์ชาติให้สัมภาษณ์เรื่อง GDP growth ล่าสุด) สุดท้ายแล้วนักลงทุนต่างชาติก็จะเริ่มตระหนักครับว่าเก็งกำไรมากไปกว่านี้อาจจะเจ็บตัวได้ กำไรก็ได้มาระดับนึงแล้วเริ่ม unwind positions บ้างดีไหม? (อาจจะไม่ถึงขนาด short หนักเลยทีเดียวเว้นแต่จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น) อีกทั้งภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะหลังจากจีนประกาศตัวเลขส่งออก -25.4%YoY ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งนับว่าแย่ที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2009 สรุปเลยก็คือผมคิดว่าควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้นในช่วงนี้ครับ