Sunday, October 9, 2016

กฎหมายกับการลงทุน

สวัสดีครับ,

เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้ตัดสินใจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในด้านกฎหมายเศรษฐกิจโดยเน้นไปในด้านกฎหมายธุรกิจทั่วไป ผมพบว่าความรู้ทางด้านกฎหมายนั้นนอกจากจะเป็นสาระสำคัญที่เราต้องพบเจอในชีวิตประจำวันแล้ว ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องกับการลงทุนได้อีกด้วย แม้ผมจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายโดยตรง แต่ก็รู้สึกว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยที่นักลงทุนผู้มุ่งมั่นในพื้นฐานของกิจการควรจะรู้ประกอบไว้เพื่อทำให้ตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น

ประเด็นตัวอย่างในวันนี้เป็นเรื่องของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ทราบหรือไม่ครับว่า พ.ร.บ.ในประเทศไทยนั้นมีอยู่มากกว่า 800 ฉบับ ซึ่งตลอดชีวิตของนักกฎหมายท่านหนึ่ง อย่างที่สุดก็จะได้เรียนแบบเจาะลึกกันประมาณ 30-40 ฉบับเท่านั้น ตัวอย่างพ.ร.บ.ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนก็เช่น พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 พ.ร.บ.สัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ.2546 พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.2551 พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2558 ฯลฯ รวมไปถึงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ทั้งนี้หลักสำคัญที่ผมอยากเล่าให้ฟังก็คือกฎหมายนั้นมีลำดับศักดิ์อยู่ การจะเปลี่ยนหรือแก้ไขกฎหมายใดนั้นจะต้องใช้กฎหมายที่มีลำดับศักดิ์เท่าเทียมกันหรือสูงกว่าเท่านั้น เขียนแบบนี้อาจจะงง ยกตัวอย่างเลยแล้วกันครับ


ในอดีตเคยมีการฟ้องร้องกันในเรื่องที่ธนาคารเก็บอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงเกินไป ซึ่งไปเกี่ยวข้องกับกฎหมายระดับพ.ร.บ.หลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 และป.พ.พ.มาตรา 654 ซึ่งผมขออนุญาตสรุปความเป็นดังนี้ว่า ตามหลักกฎหมายพื้นฐาน คนธรรมดากู้เงินคนธรรมดาจะเรียกดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคนธรรมดากู้เงินสถาบันการเงิน กฎหมายจะอนุญาตให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีได้ (แต่ต้องไม่เกินเพดานที่กำหนดไว้) ในกรณีนี้ทนายฝ่ายผู้กู้ที่กู้เงินธนาคาร อ้างว่าเนื่องจากเป็นการกู้เงินเหมือนกัน (ข้อเท็จจริงเดียวกัน) ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการกู้เงินกับสถาบันการเงินหรือกับคนธรรมดาจึงควรจะใช้เกณฑ์เดียวกันในการคิดอัตราดอกเบี้ย มิเช่นนั้นเป็นการขัดต่อหลักความเสมอภาคที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ฝ่ายธนาคารก็สู้ด้วยประเด็นที่ว่าการให้กู้นี้เป็นเรื่องของธุรกิจและแท้ที่จริงเรื่องอัตราดอกเบี้ยก็มีการตกลงกันไว้ในสัญญาก่อนแล้ว

จากที่เล่ามานี้จะเห็นว่าฝ่ายผู้กู้อ้างว่าการกู้เงินซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมายในลำดับพ.ร.บ.ขัดต่อกฎหมายในลำดับรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายลำดับที่สูงกว่า (และสูงสุดของประเทศ) จึงพยายามใช้หลักที่ผมเล่าในตอนต้นว่า หากจะแก้หรือล้มกฎหมายใดต้องใช้กฎหมายในลำดับที่เท่ากันหรือสูงกว่าเท่านั้น ในการแย้งประเด็นดังกล่าว แม้สุดท้ายแล้วตุลาการศาลฯ จะตัดสินว่าข้อนี้ไม่ขัดต่อหลักความเสมอภาคที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ (เพราะในทางกฎหมายหลักเสมอภาคไม่เท่ากับเครื่องหมายเท่ากับ)


แต่ลองจินตนาการดูซิครับว่า หากกรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินในทางตรงข้ามโดยบอกว่าข้อนี้ขัดรัฐธรรมนูญ สถาบันการเงินต่างๆ จะมีผลกระทบเพียงไร เพราะมีหลายสถาบันการเงินที่เก็บดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15% ต่อปี กำไรของบริษัทเหล่านั้นคงเป็นอันได้หดหายวูบวาบเป็นแน่แท้ และก็คงสะท้อนต่อเนื่องไปยังราคาหุ้น เพราะฉะนั้นในช่วงที่ศาลกำลังตัดสินคดี ท่านที่เป็นนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นสถาบันการเงินก็คงต้องติดตามผลคำตัดสินอย่างใกล้ชิด โดยหากมีความรู้กฎหมายประกอบด้วยแล้วก็จะทำให้การประเมินสถานการณ์และตีความได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยทำให้ตัดสินใจในการลงทุนได้ดีขึ้นครับ

18 ก.ย. 2559

Thursday, October 6, 2016

กำแพงหรือหน้าผา

สวัสดีครับ,

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเรียกได้ว่าตลาดหุ้นไทยฉวัดเฉวียนขึ้นลงกันให้ใจหายอยู่หลายที ถ้าจำกันได้เมื่อต้นเดือนกันยาที่ผ่านมา SET Index ดูเหมือนกับจะแกว่งตัวอยู่แถวระดับ 1500 จุดได้อย่างไม่หวั่นเกรง แต่เนื่องจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ปะทุขึ้นจนกดดันให้ดัชนีลงไปทำจุดต่ำสุดของเดือนที่ 1410 แต่หลังจากนั้นดัชนีก็ค่อยๆ ฟื้นคืนเมื่อความกังวลต่างๆ ค่อยๆ จางหายไป และล่าสุด (ราคาปิดวันที่ 4 ตุลา) SET Index ก็กลับมายืนเหนือระดับทางจิตวิทยาที่ 1500 จุดได้อีกครั้งครับ

จริงๆ แล้วฝรั่งมักจะเปรียบว่าตลาดหุ้นนั้นชอบปีน  “กำแพงแห่งความกังวล (Wall of worry)”  ตราบใดก็ตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดยังกังวลอยู่ ไม่ว่าจะจากปัจจัยภายในหรือภายนอกประเทศ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมืองหรือสังคม ตลาดหุ้นก็มักจะค่อยๆ ไต่กำแพงขึ้นไปได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ความกังวลหายไป ความมั่นใจกลับมา พร้อมกับความฮึกเหิมของนักลงทุน เมื่อนั้นอาจจะเป็นเวลาที่ตลาดหุ้นดิ่ง “หน้าผาแห่งความหวัง (Slope of hope)”  ก็เป็นได้ครับ ทั้งนี้หากลองเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ธรรมชาติ ท้องฟ้าคลื่นลมก็มักจะสงบเงียบก่อนที่สึนามิหรือคลื่นใหญ่จะมาอยู่แล้ว

where_the_bulls_are

สุดท้ายของบทความนี้ ผมอยากจะพลิกมุมมาเล่าถึงตัวเลขเศรษฐกิจหนึ่งซึ่งก็คือตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไป (Headline inflation) ของเดือนกันยาที่เพิ่งประกาศออกมาครับ ที่น่าสนใจก็คือตัวเลขนี้เป็นบวกต่อเนื่องมา 6 เดือนติดต่อกันแล้ว แม้จะยังไม่ได้สูงมาก (บวกเพียง +0.38% จาก +0.29% เมื่อเดือนก่อน) และการขึ้นหลักๆ ก็มาจากราคาอาหารสดโดยเฉพาะผักและผลไม้ที่ถูกปรับขึ้นจากผลกระทบน้ำท่วม แต่หากลองดูอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) ที่หักราคาอาหารสดและพลังงานออกแล้ว ก็พบว่ายังเป็น +0.75% ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อเหล่านี้แม้จะขึ้นเพียงช้าๆ แต่ก็พอจะทำให้เราตีความได้ครับว่า หากไม่มีเหตุการณ์หรือวิกฤตอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นในประเทศ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (รวมถึงอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ) ในบ้านเราน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะมีโอกาสปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นได้ซัก 1 ครั้งในปีหน้าตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เพราะเรื่องดอกเบี้ยนั้นจะมีผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าหุ้น เราจึงควรติดตามไว้ไม่เสียหลายครับ

Wednesday, September 7, 2016

หนทางเริ่มขรุขระ

สวัสดีครับ…

บทความของผมเมื่อเดือนก่อนแนะนำให้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนโดยให้เหตุผลหลักๆ ว่าฝรั่งเริ่มพลิกกลับเป็นขายสุทธิใน SET50 futures มากขึ้น เดือนนี้ผมยังขออนุญาตคงมุมมองเดิมแต่ให้เพิ่มระดับความระมัดระวังเข้าไปอีกขั้นครับ เนื่องด้วยตัวเลขล่าสุดฝรั่งเป็นผู้ขายสุทธิใน SET50 futures ในเดือนสิงหาคมถึง 19,928 สัญญา (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3.8 พันล้านบาท) และขายสุทธิหนักในเดือนกันยายนถึง 11,067 สัญญา (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.1 พันล้านบาท) ทั้งๆ ที่เพิ่งเปิดทำการได้ไม่กี่วัน (นับถึงสิ้นวันที่ 6 กันยา) ตรงนี้น่าจะสะท้อนถึงมุมมองที่เริ่มเปลี่ยนไปของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่เหลือของปีหลังจากที่เค้าซื้อสุทธิหนักมากในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ครับ

stock_CH_146_1

ความจริงแล้วถ้าสังเกตสัญญาณจากประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ในกลุ่ม TIP ด้วยกัน จะพบว่าฝรั่งเริ่มเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนสิงหาคมโดยเริ่มที่ประเทศฟิลิปปินส์ก่อนและต่อด้วยอินโดนิเซีย มีไทยเรานิแหละครับที่ยังแข็งแกร่งและฝรั่งยังเป็นผู้ซื้อสุทธิอยู่ แต่ผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วครับว่าเค้าจะซื้อสุทธิได้อีกนานแค่ไหน เพราะปกติแล้วเวลา Flows ฝรั่งเข้าหรือออกมักจะไปในทิศทางเดียวกันทั้งภูมิภาคนะครับ

stock_CH_146_2

ทั้งนี้ทั้งนั้นประเด็นที่ผมกล่าวมาในเบื้องต้นเป็นการวิเคราะห์ในแง่ของทิศทางเงินทุน ไม่ใช่ประเด็นทางด้านปัจจัยพื้นฐานครับ เพราะฉะนั้นถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาวแบบเน้นคุณค่าจริงๆ ปัจจัยที่ผมกล่าวมาเหล่านี้จะไม่ได้มีผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนเลยตราบใดที่พื้นฐานของบริษัทที่เราลงทุนยังดีอยู่ อย่างไรก็ดี ก่อนที่บทความนี้จะจบลงผมขออนุญาตพูดถึงข้อมูลทางพื้นฐานในภาพรวมซักเล็กน้อยครับ ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ (ณ ราคาปิดวันที่ 6 กันยา) ซื้อขายกันอยู่ที่ forward P/E ที่ 15.4 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวที่ 12.4 เท่าถึง 1.3SD หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ก็มีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปซื้อขายที่ forward P/E 15.7 เท่าซึ่งเท่ากับเป้าดัชนีสิ้นปีของบัวหลวงเราที่ 1523 ได้ครับด้วยสภาพคล่องทั่วโลกที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง แต่หากมีสัญญาณใดๆ ที่บ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ คงจำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้แล้วละ (เดือนกันยานี้คงไม่น่าขึ้นอยู่แล้วด้วยตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดที่ประกาศออกมาไม่สู้ดีนัก) upside ของตลาดหุ้นไทยก็อาจจะตันแถว 1523 ไปจนถึงสิ้นปีนี้ครับ

Thursday, August 4, 2016

เพิ่มความระมัดระวัง

สวัสดีครับ…

ภาพรวมของตลาดหุ้นนับจากนี้ผมคิดว่าจะมีความเสี่ยงมากขึ้นจากปัจจัยทางการเมืองครับ แม้ กูรูหลายสำนักจะเชื่อว่าผลลัพธ์จากการลงประชามติในวันที่ 7 สิงหานี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อตลาดมากนัก แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้วหากผลออกมาในทิศทางที่บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนมากขึ้น เมื่อนั้นตลาดก็อาจมีการปรับฐานต่อได้ครับ…

ในแง่ของมูลค่าพื้นฐานนั้น ด้วยราคาปิดเมื่อวันที่ 2 สิงหา ตลาดหุ้นไทยซื้อขายด้วย forward PER ที่ 16.4 เท่า ซึ่งถ้าเทียบกับค่าเฉลี่ยในระยะยาวที่ 12.4 เท่าแล้วก็จัดว่าสูงพอสมควร ในขณะที่ในแง่ของส่วนลด PER ของตลาดหุ้นไทยต่อตลาดหุ้นในอาเซียนก็ถอยลงมาอยู่ที่เพียง 4% เทียบกับค่าในอดีตที่อยู่ในช่วง 4%-25% ตรงนี้แปลว่า ณ ระดับปัจจุบันตลาดหุ้นไทยขึ้นมามากทีเดียวเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่ผมดูแลลูกค้าในส่วนของตลาด TFEX เป็นหลัก จึงอยากจะยกสัญญาณที่ผมสังเกตได้จากตลาดนี้มาเล่าเสริมด้วยครับ เรื่องของเรื่องก็คือหากย้อนไปดูช่วง 4 เดือนแรกของปี สังเกตได้ว่านักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาซื้อสุทธิใน SET50 futures เป็นจำนวนมาก เฉลี่ยถึงเกือบ 4 หมื่นสัญญาต่อเดือน ในขณะที่ 3 เดือนถัดจากนั้น (พ.ค.-ก.ค.) ตัวเลขซื้อขายกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งถ้าคิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อเดือนแล้ว ฝรั่งกลับพลิกเป็นขายสุทธิประมาณพันกว่าสัญญาต่อเดือนในช่วงเวลาดังกล่าว แถมด้วยการขายสุทธิใน 2 วันทำการแรกของเดือนสิงหาถึง 4 พันกว่าสัญญา

03081

ทั้งนี้กลุ่มที่ผมคิดว่ามีความเสี่ยงที่จะปรับลดลงมากกว่ากลุ่มอื่นหากตลาดมีการปรับฐานจริงๆ อาจจะเป็นกลุ่มพลังงานครับ เพราะหากลองไปดู performance ย้อนหลังตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิ.ย. จนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่ากลุ่มพลังงานบ้านเรา +1% ในขณะที่น้ำมัน Brent ลงถึง 14%  นัยของผมคือ หากภาพตลาดดูไม่ดีและน้ำมันลงต่อ มีโอกาสที่หุ้นในกลุ่มพลังงาน (ที่อิงกับราคาน้ำมัน) จะลงได้มากกว่าตลาด ในขณะที่หากน้ำมันกลับมาเด้งได้ upside ของกลุ่มนี้ก็อาจจะมีไม่ได้มากครับ.. โชคดีในการลงทุนทุกท่านนะครับ

03082

Fintech กับสาขา (ธนาคาร) ที่หายไป


ปีนี้เป็นปีแรกที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับคำขออนุญาตปิดสาขาธนาคารพาณิชย์มากกว่าขออนุญาตเปิดสาขา อันนี้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสถาบันการเงินที่พยายามจะลดต้นทุนการให้บริการ และแน่นอน เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


ผมเริ่มบทความนี้ด้วยคำกล่าวจาก ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในงานสัมมนา “Positioning Thailand’s FinTech Ecosystem” เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2559 สิ่งที่ผมฉุกคิดได้จากคำกล่าวนี้คือ ระบบสถาบันการเงินไทยน่าจะกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ และหากสถาบันการเงินใดยังไม่ได้ตระหนักถึงความเป็นไปข้อนี้ ก็อาจได้ต่อแถวรายชื่อกับบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่ของโลกอย่าง Kodak Nokia หรือ BlackBerry ที่ต้องถอยหลังลงคลองเพราะปรับตัวช้าเกินไป

ธนาคารในบ้านเรานั้น มีอยู่ 3 แห่งที่เปิดตัวแล้วครับว่ากำลังลงทุนในเรื่องของฟินเทคอย่างจริงจัง ได้แก่ KBANK SCB และ BAY โดยแต่ละแห่งก็มีโมเดลการปรับตัวที่แตกต่างกันไป เช่น การเป็นผู้บ่มเพาะให้ความรู้ (Incubator) จัดหาสถานที่ให้พร้อมทั้งร่วมหุ้นในฟินเทค การร่วมลงทุนในฟินเทคที่มีศักยภาพ (Venture Fund) และให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ หรือ การตั้งบริษัทลูกแยกออกมา (forming Fintech subsidiaries) เพื่อคิดค้นบริการฟินเทคด้วยตนเอง ซึ่งผมเชื่อว่าอีกไม่นานจากนี้แทบทุกธนาคารในบ้านเราจะมีการเปิดตัวในเรื่องนี้ครับ โดยอาจจะเป็นในรูปแบบนี้หรือรูปแบบอื่น เช่น การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับฟินเทค (Business Partnership) หรือซื้อกิจการแล้วควบรวมฟินเทคไปเลย (M&A)

ถึงบรรทัดนี้เพื่อนๆ ที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงการเงินอาจสงสัยว่าแท้จริงแล้วฟินเทคคืออะไร? มีผลกระทบอย่างมากหรือไงต่อระบบสถาบันการเงินไทยผมถึงต้องนำมาเล่า? ความจริงแล้ว Fintech เป็นคำย่อมาจาก Financial + Technology ครับ ความหมายก็คือเป็นกลุ่มธุรกิจเกิดใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำธุรกรรมทางการเงิน คิดค่าธรรมเนียมต่ำกว่าสถาบันการเงิน และดูเหมือนจะให้บริการได้สะดวกรวดเร็วกว่า รูปแบบของฟินเทคนั้นมีมากมายหลายประเภท แต่ที่ดูเหมือนจะแพร่หลายและมีคนทำมากที่สุดในประเทศก็คือที่เกี่ยวข้องกับ การชำระเงิน ซึ่งตรงนี้ไปเกี่ยวโยงถึงแผนงาน National e-Payment ของภาครัฐด้วยครับ (PromptPay ที่เราได้ยินกันก็เป็นหนึ่งในนั้น) โดยกระทรวงการคลังได้ประเมินไว้ว่าหากแผนงานนี้สำเร็จด้วยดีจะสามารถช่วยประหยัดต้นทุนของระบบเศรษฐกิจได้ถึง 7.5 หมื่นล้านบาทต่อปี (ลดต้นทุนการพิมพ์ธนบัตรและใบกำกับภาษี ลดค่าเสียโอกาสในการสำรองเงินสด ฯลฯ) ซึ่งตรงนี้ก็เป็นโจทย์ใหญ่ของสถาบันการเงินครับว่าจะบริหารจัดการกับเทคโนโลยีใหม่นี้ที่กำลังเป็นทั้งภัยคุกคามและโอกาสไปด้วยกันได้อย่างไร

ในด้านของตลาดทุนเองนั้น  บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสถาบันการเงินหลักที่ให้บริการเกี่ยวกับการลงทุนก็คงได้รับผลกระทบเช่นกันครับ เห็นได้จากปัจจุบันมีฟินเทคมากมายที่สร้าง App ให้ความรู้ในการลงทุน รวมถึงจัดหาข้อมูลและวิเคราะห์ทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยเทคนิคเพื่อสนองต่อนักลงทุนรายย่อย แม้ว่าธุรกิจหลักทรัพย์ในบ้านเรานั้นยังถูกควบคุมค่อนข้างมากทำให้การบริการหลายอย่างฟินเทคยังไม่สามารถแข่งขันได้โดยตรงได้ แต่ในอนาคตเมื่อทางการเห็นว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนก็อาจมีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ได้ เพราะฉะนั้นบริษัทหลักทรัพย์เองก็ไม่ควรชะล่าใจครับ

ในแง่ของการลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราควรนำปัจจัยเรื่องเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาคิดด้วย เพราะการเกิดขึ้นของฟินเทคนั้น ที่สุดแล้วจะทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมต่างๆ  ที่ธนาคารเคยได้รับเป็นกอบเป็นกำลดลง เช่น ในเรื่องของการโอนเงิน  การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ การให้บริการด้านสินเชื่อและบัตรเครดิต ส่วนตัวผมคิดว่าเราควรจะประเมินให้ชัดว่าหุ้นของสถาบันการเงินที่จะลงทุนนั้นผู้บริหารได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้และมีวิธีในการปรับตัวหรือไม่อย่างไร เพราะขนาดบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง Mckinsey ยังเคยประเมินไว้ว่าธนาคารมีโอกาสที่จะสูญเสียกำไรให้กับฟินเทคถึง 60% และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ การที่จะทำให้ผู้ออมเงินได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นก็เป็นอีกโจทย์ที่ยาก (คนส่วนใหญ่ของประเทศยังสบายใจกับการฝากเงินในธนาคาร) วิธีช่วยทางหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นที่ธนาคารจะต้องหันมาลดต้นทุนการให้บริการทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของค่าใช้จ่ายการตลาด โฆษณา หรือแม้แต่การปิดสาขาที่ไม่จำเป็นลง ก็ขอเอาใจช่วยทุกฝ่ายนะครับ


Wednesday, July 6, 2016

แคล้วคลาดปลอดภัย

สวัสดีครับ... ผ่านไปแล้วครึ่งปีพอร์ตลงทุนของท่านเป็นเยี่ยงไรบ้างครับ?

จากต้นปีจนถึงวันที่ 5 ก.ค. ตลาดหุ้นไทยทำผลตอบแทนได้ถึง 12.6% ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งหากรวมผลตอบแทนจากค่าเงินเข้าไปด้วย ผลตอบแทน (USD) จะขึ้นไปถึง 15.5% หักปากกาเซียนหมีไปหลายท่านเลยละครับ โดยที่เซอร์ไพรส์ที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ โดยเค้าซื้อสุทธิในหุ้นไทยในปีนี้กว่า 4 หมื่นล้านบาท (หลังจากขายไปเกือบ 4 แสนล้านไปในช่วงปี 2013-2015) แถมด้วยการ long สุทธิใน SET50 Index Futures กว่า 1.6 แสนสัญญา



ในแง่ valuation ของตลาดนั้น P/E ล่าสุดอยู่ที่ 22 เท่า P/BV 1.9 เท่า และอัตราเงินปันผล 3.3% มองแค่นี้ถ้าจะบอกว่าหุ้นถูกหรือแพงคงต้องหาอะไรมาเทียบเคียงครับ เช่น บ้างก็ใช้ P/E เฉลี่ยในภูมิภาค บ้างก็ใช้ P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี หรือบ้างอาจจะบอกว่าใช้ P/E นี้ไม่ได้ ต้องใช้ Forward P/E ที่เป็นการมองไปข้างหน้า อะไรก็สุดแล้วแต่ แต่ประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะแชร์มากกว่าในวันนี้ก็คือนำเรื่องของอัตราดอกเบี้ยมาเทียบเคียงครับ หลักการคิดง่ายๆ ก็คือ เมื่ออดีตที่อัตราดอกเบี้ยในบ้านเรายังสูงนั้น เช่น เมื่อ 10 กว่าปีก่อนที่เราฝากเงินได้ดอกเบี้ยประมาณ 5% ต่อปี ช่วงนั้นความรับรู้ที่นักลงทุนเข้าใจก็คือตลาดหุ้นที่มีค่า P/E ประมาณ 10 เท่าถือว่าไม่แพง เท่ากับว่าผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในหุ้นอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี (คำนวณโดยกลับเศษเป็นส่วนได้ค่า E/P) พอหักลบแล้วส่วนต่างที่ได้คือ 5% แต่ในปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยลดลงเหลือประมาณ 1-2% ต่อปี ถ้าเรายึดส่วนต่างเดิมที่ 5% แปลว่าผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในหุ้นก็น่าจะลดลงมาอยู่ที่ 6-7% ต่อปี คิดกลับเศษเป็นส่วนจะได้ค่า P/E ที่ราว 14-17 เท่า สรุปได้ว่าในยุคปัจจุบันที่ดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดินนั้น หุ้นที่ถือว่าไม่แพงน่าอยู่ที่ระดับ P/E 14-17 เท่า ปรับขึ้นมาจากในอดีตที่เคยอยู่ที่ 10 เท่า ดังนั้น ณ ระดับ P/E ปัจจุบันที่ 22 เท่า น่าจะถือว่าพอถูไถ พอไปได้ แม้จะไม่ได้ถูก

ทั้งนี้และทั้งนั้นตลาดหุ้นไทยดูจะพิเศษกว่าที่อื่นตรงที่กลุ่มพลังงานคิดเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 1/5 ของมูลค่าตลาดรวมครับ ด้วยราคาน้ำมันที่ขึ้นมาร่วม 35% จากต้นปี คงพอที่จะทำให้เราแคล้วคลาดจากแรงขายแรงๆ ไปได้ตราบเท่านี้ไม่มีวิกฤตอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ก็ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้นะครับ 


Sunday, June 26, 2016

ความผิดพลาดจากการลงทุน

สวัสดีครับ,

อีกไม่ถึงเดือนชีวิตการทำงานในแวดวงตลาดทุนของผมก็จะเข้าสู่ปีที่ 8 แล้วครับ ความจริงผมได้มีโอกาสสัมผัสงานวิศวกรซึ่งเป็นสายอาชีพที่ได้เรียนจบมาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะย้ายมาทำงานในบริษัทหลักทรัพย์ โดยงานวิศวกรที่ได้ทำนั้นอยู่ในส่วนพัฒนากระบวนการทำงานของบริษัทประกันภัยซึ่งก็จัดว่าเป็นสถาบันการเงินเช่นกัน เรียกได้ว่าตั้งแต่จบปริญญาใบแรกมาผมก็ได้ทำงานคลุกคลีอยู่ในธุรกิจการเงินมาตลอด

ที่เกริ่นเล่าประวัติเล็กน้อยก็เพื่อจะนำไปสู่ประเด็นหลักที่จะคุยกันวันนี้ครับ นั่นก็คือเรื่อง ความผิดพลาดจากการลงทุนในช่วงเวลาการทำงานในธุรกิจหลักทรัพย์นั้น ขอบข่ายงานที่ผมได้รับมอบหมายและเคยได้ทำครอบคลุมถึงการดูแลให้บริการและให้คำแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ที่ลูกค้าสนใจ ตั้งแต่รายยิบย่อย รายย่อย รายกลาง รายใหญ่ ตลอดไปจนถึงนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ผมพบว่านักลงทุนแทบจะทุกรายมักมีความลำเอียงในการตัดสินใจ มากน้อยลดหลั่นกันไป ซึ่งบางทีเป็นเรื่องของจิตวิทยา และนั่นมักนำไปสู่ความผิดพลาดในการลงทุนในที่สุด ผมจะลองหยิบเรื่องที่น่าสนใจและเกิดขึ้นบ่อย ซัก 3 เรื่องมาคุยกันวันนี้ครับ

เรื่องแรกมีชื่อว่า Availability heuristic ความหมายคือ คนเรามักใช้ประสบการณ์ส่วนตัวที่เห็นอยู่บ่อยๆ หรือจากสิ่งที่เพิ่งได้เห็นและยังจดจำได้ดีมาตัดสินเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยไม่คำนึงถึงสถิติความน่าจะเป็นจริงๆ เช่น ย้อนกลับไปเมื่อปี 2554 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ถ้าลองถามคนในช่วงเวลานั้นว่ามีโอกาสมากแค่ไหนที่ปีหน้าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่แบบนี้อีก ส่วนใหญ่ตอบว่ามีโอกาสเกิดมากกว่า 50% ครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว ในปี 2555 ก็ไม่ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่อย่างที่กังวลกัน (ถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์จะพบว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นกันบ่อยๆ) ตัวอย่างที่พบจากเรื่องการลงทุนก็เช่น ข่าวการแพร่ระบายของไข้หวัดนกเมื่อหลายปีก่อนที่ทำให้หุ้นกลุ่มอาหารถูกเทขายระเนระนาด ข่าวคนไข้ติดเชื้อร้ายแรงจากต่างชาติมารักษาที่โรงพยาบาลในไทยจนทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะไม่มีคนไข้ไปรักษาที่โรงพยาบาลนั้นและทำให้หุ้นถูกขายหนัก ทางแก้ของผมในเรื่องนี้ก็คือให้เราเปลี่ยนวิธีคิดเล็กน้อยครับ เช่น แทนที่จะตั้งคำถามว่า อีกนานแค่ไหนกว่าคนไข้ติดเชื้อจะหายและออกจากโรงพยาบาลนี้ ให้เปลี่ยนเป็น มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่คนไข้ติดเชื้อจะอยู่โรงพยาบาลนานเกิน 1 ปีเห็นไหมครับว่าความรู้สึกต่างกัน ซึ่งแท้จริงแล้วความจริงมันก็เหมือนเดิมละครับ เพียงแต่พลิกมุมคิดเพื่อให้เราตระหนักได้ชัดขึ้นว่า สิ่งใดที่กำลังเกิดขึ้นไม่จำเป็นว่ามันจะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็เท่านั้นเอง   

เรื่องที่สองชื่อว่า Attention bias ความหมายคือ คนเรามักให้ความสนใจกับเหตุการณ์หรือสิ่งที่ตนเองสนใจเป็นพิเศษและเหมารวมคิดว่ามันใช่ (ต้องใช่แน่ๆ) เช่น นักลงทุนเชื่อว่าเวลามีรายงานผู้บริหารซื้อหุ้นบริษัทตนเอง หุ้นมักจะขึ้น หรือเวลาที่ผู้บริหารขายหุ้นบริษัทตนเอง หุ้นมักจะลง จนลืมสังเกตไปว่ามีอยู่หลายครั้งนะที่ผู้บริหารซื้อแต่หุ้นไม่ขึ้น (หรือบางทีกลับลง) หรือผู้บริหารขายแต่หุ้นไม่ลง (หรือบางทีกลับขึ้น) ความผิดพลาดของการคิดในลักษณะนี้ผมคิดว่าเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องของ Availability cascade ด้วยครับ ซึ่งหมายถึงการเชื่อกระแสที่พูดตามๆ กันมา พอเราได้ยินบ่อยครั้งเข้าก็เผลอคิดว่ามันเป็นจริง (เหมือนถูกล้างสมอง) ทั้งที่ผลประกอบการหรือแนวโน้มธุรกิจของบริษัทนั้นๆ อาจไม่ได้ดีจริงอย่างที่ผู้บริหารให้สัมภาษณ์หรือนักข่าวเต้าข่าวก็เป็นได้ แต่พอได้ฟังบ่อยๆ เข้า เอ่อ.. มันก็เริ่มอิน เหมือนที่ฝรั่งเขาพูดกันว่า “Lie that are told once may not be well received, but telling a lie a thousand times will be believed.”

เรื่องสุดท้ายสำหรับวันนี้ชื่อว่า Anchoring ครับ แปลตรงตัวว่า การยึดติด หมายถึงเรามักให้ความสำคัญกับข้อมูลบางอย่างมากจนเกินไป เช่น หุ้นตัวหนึ่งราคาเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 100 บาท ถ้าราคาลงมาครึ่งหนึ่งเหลือ 50 บาท นักลงทุนบางกลุ่มมักจะคิดว่าหุ้นถูกละ (เพราะไปยึดติดกับราคาสูงสุดของหุ้น) หรือถ้าเขามีหุ้นนั้นต้นทุนอยู่ที่ 100 บาท เขาก็จะรอให้หุ้นขึ้นไปถึงราคาทุนก่อนจึงค่อยขาย ทั้งที่จริงๆ แล้วหากเป็นนักลงทุนระยะยาวไม่ควรนำต้นทุนมาเป็นปัจจัยตัดสินในการซื้อขายหุ้นเลย สิ่งที่นำมาวิเคราะห์ว่าหุ้นถูกหรือแพงและควรขายหรือไม่นั้นควรจะเป็นข้อมูลทางปัจจัยพื้นฐาน เช่น แนวโน้มผลประกอบการบริษัท อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี อัตราเงินปันผล หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไร เป็นต้น 

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความผิดพลาดจากการลงทุนที่ผมย่อมาให้อ่านในวันนี้ครับ ก่อนจะจบบทความผมอยากจะทิ้งท้ายไว้ว่าอายุหรือประสบการณ์ในการลงทุนนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคุณจะต้องประสบความสำเร็จในการลงทุน หากแต่การใช้สติปัญญาและเหตุผลในการตัดสินใจได้ดีแค่ไหนต่างหากที่จะบอกได้ว่าคุณจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญก็คือการควบคุมอารมณ์ไม่ให้คล้อยตามไปกับฝูงชน รวมถึงศึกษาหาความรู้ให้มากเข้าไว้ครับ

Wednesday, June 1, 2016

5 ทีเด็ดจาก Warren Buffett (For Intania 89 #3)

สวัสดีครับ,

เมื่อคืนกลางดึกของวันที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสนั่งดูการถ่ายทอดสดการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัท Berkshire Hathaway ที่เป็นการถ่ายทอดครั้งแรกทางอินเตอร์เน็ตให้ผู้ชมทั่วโลกได้ดูไปพร้อมกับผู้เข้าประชุมหลายหมื่นคนในเมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา จริงๆ แล้วถ้าหากไม่มีการถ่ายทอดนี้ ผู้ที่จะได้ร่วมประชุมนั้นจะต้องถือหุ้นอย่างน้อย 1 หุ้น (ณ เวลาที่เขียนบทความอยู่นี้ หุ้น Berkshire (BRK-A) สนนราคาหุ้นละเพียง 211,180 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7.5 ล้านบาทเท่านั้นครับ) ภาพที่เห็นก็คือมีคุณปู่ 2 ท่านนั่งอยู่บนเวที คนซ้ายนามว่า Warren Buffett CEO และผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ Berkshire คนขวานามว่า Charlie Munger รองประธานฯ และคู่หูของ Warren Buffett และยังมีเอกสาร ขนมขบเคี้ยว แก้วน้ำและน้ำอัดลมวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมที่จะบรรยายและตอบคำถามผู้ถือหุ้นทุกท่านอย่างถึงไหนถึงกัน


ผมไม่ได้จะมาสรุปผลการประชุมหรอกครับ เพราะเรียนตรงๆ ว่าดูไม่จบ ก็การประชุมเล่นยืดยาวไปจนถึงเช้ามืดวันที่ 1 พฤษภาคม (เวลาประเทศไทย) ถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ตัวจริงก็คงหลับคาโต๊ะนั่นละครับ แต่ที่น่าสนใจก็คือคำกล่าวที่ว่าเมื่อ “Buffett (และ Munger) พูด โลกจะหยุดฟังนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นจริง นักลงทุนยุคนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก Warren Buffett บุรุษผู้ซึ่งบริหารบริษัท Berkshire จนทำให้มูลค่าหุ้นขึ้นมามากกว่า 1,000,000% ในช่วงปี 1964-2015 ในขณะที่ดัชนี S&P500 ขึ้นมาเพียง 2,300% ในบทความนี้ผมเลยเลือกคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่น่าสนใจที่ Buffett เคยกล่าวไว้ในหลายๆ โอกาสมาสรุปยำรวม 5 ข้อสั้นๆ ดังนี้ครับ


ข้อแรก อย่าซื้อหุ้นในบริษัทที่คุณไม่เข้าใจ และถ้าคิดว่าไม่สามารถจะถือหุ้นนั้นได้ถึง 10 ปี แค่เพียง 10 นาทีก็อย่าคิดที่จะเป็นเจ้าของมันข้อสอง อย่าลงทุนตามฝูงชน การจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้นั้นคุณต้องแยกตัวให้ขาดจากความโลภและความกลัวของคนอื่นรอบๆ ตัวคุณ แม้ในสถานการณ์จริงจะเป็นไปได้ยากก็ตามข้อสาม รู้ตัวว่าคุณไม่รู้ในเรื่องอะไร และจงรู้จักเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของผู้อื่นและอย่าทำตามข้อสี่ การลงทุนที่ดีที่สุดก็คือการลงทุนในตัวคุณเอง ลงทุนในการศึกษาให้มากตั้งแต่อายุยังน้อย อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า รวมถึงฝึกสื่อสารทั้งการพูดและการเขียนให้ดี เพราะนั่นจะช่วยเพิ่มมูลค่าและรับประกันอนาคตของคุณในระยะยาวและข้อห้า ให้ลงทุนใน Broad-based index fund ที่ล้อไปตามดัชนี S&P 500” งงใช่ไหมละครับข้อนี้ ไม่เป็นไร ผมจะขยายความให้

ก่อนอื่นขอเล่าก่อนว่ากองทุนที่เราซื้อขายกันนั้นถูกแบ่งกว้างๆ ออกเป็น 2 ประเภทครับ ประเภทแรกเราเรียกว่า Active fund กองประเภทนี้จะมีผู้จัดการกองทุนบริหาร ช่วยตัดสินใจลงทุนให้โดยมุ่งหวังให้ผลตอบแทนชนะตลาด ประเภทที่สองเรียกว่า Passive fund เป็นกองทุนที่ผู้จัดการกองทุนไม่ต้องตัดสินใจลงทุน หน้าที่มีเพียงคอยจัดการให้มูลค่ากองทุน (NAV) ล้อไปกับดัชนีที่ยึดเป็นสิ่งอ้างอิงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้กองทุนประเภท Passive fund จึงมีค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุนที่ต่ำกว่า Active fund ค่อนข้างมากครับ

ที่ Buffett กล่าวว่าให้ลงทุนใน Broad-based index fund ที่ล้อไปกับดัชนี S&P 500 นั้น กองทุนนี้ก็จัดเป็น Passive fund ประเภทหนึ่งครับ โดย Buffett มีความเชื่อในเรื่องนี้มานานแล้วว่า ในระยะยาวแล้วการลงทุนใน Passive Fund จะสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าการลงทุนใน Active fund” (ไม่ใช่เพราะว่าผู้จัดการกองทุน Active fund ไม่เก่ง แต่เพราะค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการกองทุนนั้นต่างกันมาก) เค้าถึงกับเดิมพันกับ Hedge Fund ในอเมริกาที่ชื่อว่า Protégé Partners ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเงินบริจาค 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ผู้ชนะจะได้สิทธิ์เลือกว่าจะบริจาคให้กับมูลนิธิใด) ว่ากองทุนอย่าง Vanguard S&P 500 ซึ่งเป็น Passive fund ที่ล้อไปตามดัชนี S&P 500 จะทำผลตอบแทนได้ชนะ Hedge funds ที่เป็น Active fund ภายใน 10 ปี จนถึงเวลานี้ผ่านไปแล้ว 8 ปี ผลตอบแทนสะสมของฝั่ง Buffett สูงถึง 65.7% ในขณะที่ฝั่ง Hedge funds ทำได้เพียง 21.9% ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2017 ที่เป็นวันสิ้นสุดการเดิมพันครั้งนี้ Buffett คงเป็นผู้ได้เลือกว่าจะนำเงินไปบริจาคให้กับที่ใดครับ

ทั้งหมดนี้ก็คือแก่นเพียงเศษเสี้ยวของนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งของโลกที่ผมกลั่นออกมาให้อ่านกันครับ ไว้มีโอกาสในคราวถัดๆ ไปผมจะหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจของนักลงทุนท่านอื่นๆ มาเล่าสู่กันฟังอีก คอยติดตามกันนะครับ

นอกหรือในใครจี๊ด

สวัสดีครับ,

เป็นที่น่าสนใจว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาปีนี้เป็นบวก 20 จุด หรือ 1.4% สวนทางวลีเด็ด Sell in May ไปเลยละครับ ความจริงหุ้นมาขึ้นหนักๆ ในช่วงอาทิตย์สุดท้าย ซึ่งพอไปดูตัวเลขก็ไม่น่าสงสัยว่าทำไม ก็พี่ฝรั่งเล่นซื้อสุทธิ SET50 index futures 5 วันรวดหลงจ้งถึง 36,738 สัญญา ทำให้ตัวเลขสุทธิทั้งเดือนพลิกกลับมาเป็นบวก 400 สัญญา และพอรวมตัวเลขทั้งปี ฝรั่งซื้อสุทธิถึง 158,837 สัญญาครับ

Screen Shot 2559-06-01 at 4.56.44 PM

ในแง่ตลาดหุ้นนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาฝรั่งยังคงซื้อสะสมโดยเป็นยอดสุทธิถึง +1.8 หมื่นล้านบาท แม้จะยังไม่ถึงครึ่งปีแต่ก็เรียกได้ว่ามีลุ้นมากขึ้นครับที่นักลงทุนต่างชาติจะพลิกกลับมาเป็นซื้อสุทธิในปีนี้หลังจากที่ขายหนักๆ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหลายแสนล้านบาท ที่น่าสนใจก็คือนักลงทุนสถาบันในประเทศที่เป็นผู้ซื้อหนักๆ รองรับแรงขายฝรั่งในช่วงหลายปีที่ผ่านกลับเริ่มซื้อเบาบางลงในปีนี้ ซึ่งผมคิดว่าแนวโน้มการชะลอซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศอาจจะมีต่อเนื่อง (และอาจพลิกเป็นขายสุทธิได้ในที่สุด) เห็นได้จากตัวอย่างหนึ่งก็คือมีข่าวว่ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของประเทศได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจาก 10.2% เมื่อสิ้นปี 2015 เหลือ 7-8% ในปัจจุบัน ในขณะที่ไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศจาก 25% เป็น 30% และ property assets จาก 8% เป็น 12%

Screen Shot 2559-06-01 at 4.56.52 PM

ก็ต้องมาลุ้นกันต่อครับว่าพลังเงินนอกกับเงินในใครจะแรงและมีผลต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่ากัน แต่โดยปกติแล้วถ้าเงินนอกมาจริงของเค้ามักจะแรงละครับ