สวัสดีครับ,
เมื่อเร็วๆ
นี้ผมได้ตัดสินใจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในด้านกฎหมายเศรษฐกิจโดยเน้นไปในด้านกฎหมายธุรกิจทั่วไป
ผมพบว่าความรู้ทางด้านกฎหมายนั้นนอกจากจะเป็นสาระสำคัญที่เราต้องพบเจอในชีวิตประจำวันแล้ว
ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องกับการลงทุนได้อีกด้วย
แม้ผมจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายโดยตรง
แต่ก็รู้สึกว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยที่นักลงทุนผู้มุ่งมั่นในพื้นฐานของกิจการควรจะรู้ประกอบไว้เพื่อทำให้ตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น
ประเด็นตัวอย่างในวันนี้เป็นเรื่องของพระราชบัญญัติ
(พ.ร.บ.) ทราบหรือไม่ครับว่า พ.ร.บ.ในประเทศไทยนั้นมีอยู่มากกว่า 800
ฉบับ ซึ่งตลอดชีวิตของนักกฎหมายท่านหนึ่ง
อย่างที่สุดก็จะได้เรียนแบบเจาะลึกกันประมาณ 30-40
ฉบับเท่านั้น ตัวอย่างพ.ร.บ.ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนก็เช่น
พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
พ.ศ.2535 พ.ร.บ.สัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ.2546
พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.2551
พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2558 ฯลฯ
รวมไปถึงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.)
ทั้งนี้หลักสำคัญที่ผมอยากเล่าให้ฟังก็คือกฎหมายนั้นมีลำดับศักดิ์อยู่
การจะเปลี่ยนหรือแก้ไขกฎหมายใดนั้นจะต้องใช้กฎหมายที่มีลำดับศักดิ์เท่าเทียมกันหรือสูงกว่าเท่านั้น
เขียนแบบนี้อาจจะงง ยกตัวอย่างเลยแล้วกันครับ
ในอดีตเคยมีการฟ้องร้องกันในเรื่องที่ธนาคารเก็บอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงเกินไป
ซึ่งไปเกี่ยวข้องกับกฎหมายระดับพ.ร.บ.หลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
พ.ศ.2475 พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน
พ.ศ.2523 พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540
และป.พ.พ.มาตรา 654 ซึ่งผมขออนุญาตสรุปความเป็นดังนี้ว่า
ตามหลักกฎหมายพื้นฐาน คนธรรมดากู้เงินคนธรรมดาจะเรียกดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15
ต่อปีไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคนธรรมดากู้เงินสถาบันการเงิน
กฎหมายจะอนุญาตให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีได้
(แต่ต้องไม่เกินเพดานที่กำหนดไว้) ในกรณีนี้ทนายฝ่ายผู้กู้ที่กู้เงินธนาคาร
อ้างว่าเนื่องจากเป็นการกู้เงินเหมือนกัน (ข้อเท็จจริงเดียวกัน) ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการกู้เงินกับสถาบันการเงินหรือกับคนธรรมดาจึงควรจะใช้เกณฑ์เดียวกันในการคิดอัตราดอกเบี้ย
มิเช่นนั้นเป็นการขัดต่อหลักความเสมอภาคที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ในขณะที่ฝ่ายธนาคารก็สู้ด้วยประเด็นที่ว่าการให้กู้นี้เป็นเรื่องของธุรกิจและแท้ที่จริงเรื่องอัตราดอกเบี้ยก็มีการตกลงกันไว้ในสัญญาก่อนแล้ว
จากที่เล่ามานี้จะเห็นว่าฝ่ายผู้กู้อ้างว่าการกู้เงินซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมายในลำดับพ.ร.บ.ขัดต่อกฎหมายในลำดับรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายลำดับที่สูงกว่า
(และสูงสุดของประเทศ) จึงพยายามใช้หลักที่ผมเล่าในตอนต้นว่า
หากจะแก้หรือล้มกฎหมายใดต้องใช้กฎหมายในลำดับที่เท่ากันหรือสูงกว่าเท่านั้น
ในการแย้งประเด็นดังกล่าว แม้สุดท้ายแล้วตุลาการศาลฯ
จะตัดสินว่าข้อนี้ไม่ขัดต่อหลักความเสมอภาคที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
(เพราะในทางกฎหมายหลักเสมอภาคไม่เท่ากับเครื่องหมายเท่ากับ)
แต่ลองจินตนาการดูซิครับว่า
หากกรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินในทางตรงข้ามโดยบอกว่าข้อนี้ขัดรัฐธรรมนูญ
สถาบันการเงินต่างๆ จะมีผลกระทบเพียงไร
เพราะมีหลายสถาบันการเงินที่เก็บดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15%
ต่อปี กำไรของบริษัทเหล่านั้นคงเป็นอันได้หดหายวูบวาบเป็นแน่แท้
และก็คงสะท้อนต่อเนื่องไปยังราคาหุ้น เพราะฉะนั้นในช่วงที่ศาลกำลังตัดสินคดี
ท่านที่เป็นนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นสถาบันการเงินก็คงต้องติดตามผลคำตัดสินอย่างใกล้ชิด
โดยหากมีความรู้กฎหมายประกอบด้วยแล้วก็จะทำให้การประเมินสถานการณ์และตีความได้ชัดเจนมากขึ้น
ซึ่งน่าจะช่วยทำให้ตัดสินใจในการลงทุนได้ดีขึ้นครับ
18 ก.ย. 2559