Tuesday, April 26, 2016

ดอกเบี้ยนโยบาย (For Intania 89 #2)

สวัสดีครับ,

ในบทความเมื่อเดือนก่อนผมได้กล่าวถึงเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลก ส่งผลให้สภาพคล่องยังมีอยู่มากและช่วยให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้นยังคงดูน่าสนใจอยู่บ้างแม้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอาจไม่ได้หวือหวาหรือโตมากมายอะไร (ก็เศรษฐกิจไทยดันโตไม่เยอะนิครับ) ในบทความนี้ผมจะเล่าต่อเนื่องในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยครับ ทำไมเราจึงต้องให้ความสำคัญและใช้การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายประกอบในการตัดสินใจลงทุน

ก่อนไปถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายขอเล่าที่มาที่ไปซักเล็กน้อยครับ เรื่องมีอยู่ว่า เครื่องมือที่ในการดูแลเศรษฐกิจของประเทศถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่ 1) นโยบายการคลัง (Fiscal policy) เช่น การเพิ่มหรือลดภาษี การใช้งบประมาณเกินดุลหรือขาดดุล โดยรัฐบาลในส่วนของกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดูแลตรงนี้ 2) นโยบายการเงิน (Monetary policy) ได้แก่ การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (Reserve requirements) การดำเนินการผ่านตลาดการเงิน (Open market operations) และการใช้หน้าต่างตั้งรับ (Standing facilities) ในส่วนนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเป็นผู้ดูแลเพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กำหนด

แล้วดอกเบี้ยนโยบาย (Policy rate) คืออะไร? ปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกกำหนดให้เท่ากับอัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี (Bilateral repurchase rate) ระยะ 1 วันครับ กล่าวคือ ในกรณีที่สถาบันการเงินมีสภาพคล่องเหลือก็จะนำเงินไปให้ธปท.กู้ยืมเป็นระยะเวลา 1 วัน โดยธปท.จะโอนพันธบัตรภาครัฐให้กับสถาบันการเงินเหล่านั้นเพื่อเป็นหลักประกันพร้อมกับให้คำมั่นว่าจะรับซื้อคืนพันธบัตรคืนและจ่ายดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลา 1 วันให้ เจ้าดอกเบี้ยนี้ละครับที่ถูกกำหนดให้เท่ากับดอกเบี้ยนโยบาย (แม้ในทางปฏิบัติอาจไม่เท่ากันเป๊ะก็ตาม)

แล้วมันมีความสำคัญอย่างไรละ? ประมาณทุก 6 สัปดาห์ (ปีละ 8 ครั้ง) กนง.จะประชุมร่วมกันเพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจและการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะมีผลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพื่อพิจารณากำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสมครับ ซึ่งหลังจากการประชุมทุกครั้งก็จะมีการประกาศว่าจะคง เพิ่ม หรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มี.ค. กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5%)  ซึ่งโดยปกติแล้วหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี และเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ กนง.จะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครับ เผลอๆ อาจจะลดด้วยซ้ำ เพราะการคงดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนและภาคเอกชนสามารถกู้เงินไปลงทุนได้โดยมีต้นทุนที่ถูก (อัตราดอกเบี้ยต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์ถูกกำหนดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับดอกเบี้ยนโยบาย) ในขณะที่ถ้าเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวและเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้น กนง.ก็อาจปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น เพื่อป้องกันความร้อนแรงไม่ให้เงินเฟ้อขยายตัวเร็วเกินไป เป็นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจครับ

                     

กล่าวโดยสรุปคือ หากมีการลดดอกเบี้ยนโยบาย นักลงทุนจะตีความว่าธปท.กำลังใช้นโยบายการเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมักจะเป็นผลดีสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น (แต่ทั้งนี้ก็ต้องระวังหากคงดอกเบี้ยไว้ต่ำเกินไปนานๆ อาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์ต่างๆ ได้) แต่หากมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย นักลงทุนจะตีความว่าธปท.กำลังลดความร้อนแรงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจลง เพราะเป็นการทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น และมักจะส่งผลลบต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น อย่างไรก็ดี ในการวิเคราะห์เราไม่สามารถดูอัตราดอกเบี้ยในบ้านเราอย่างเดียวแล้วใช้ตัดสินใจลงทุนเลยได้นะครับ ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีก เช่น การมองดอกเบี้ยนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกเช่น สหรัฐฯ หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนว่าไปในทิศทางใด (วิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบ) รวมถึงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ฯลฯ ซึ่งถ้ามีโอกาสคงจะได้กล่าวถึงในคราวถัดไปครับ 
                                                                    

Wednesday, April 20, 2016

พลังงานผลักดัน

สวัสดีครับ,

กลับมาอัพเดทสภาพตลาดกันต่อหลังจากผ่านพ้นช่วงหยุดยาวไป ซึ่งต้องบอกเลยครับว่าตลาดหุ้นไทยนั้นร้อนแรงไม่แพ้กับสภาพอากาศที่ร้อนระอุในช่วงนี้ ถ้าดูจาก chart ด้านล่างจะพบว่าดัชนี SET ทำผลตอบแทนจากต้นปีราว 10% ซึ่งถือว่าใช้ได้ แม้จะไม่ได้สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกก็ตาม (เจอ บราซิล IBOV +38%YTD, โคลัมเบีย COLCAP +29%YTD) แต่ก็ดีกว่าการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น (-11%YTD) หรือจีน (-14%YTD) ซึ่งพอมาเจาะดูราย sector ก็พบว่าเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานนิละครับที่ดึงดัชนีและ outperform ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา


ทั้งนี้การจะคาดการณ์ว่าหุ้นพลังงานจะช่วยผลักดันให้ SET ไปต่อได้หรือไม่ ก็คงต้องขึ้นกับราคาน้ำมันเป็นหลักครับ ซึ่งลองวิเคราะห์เบื้องต้นแบบพื้นๆ ในแง่ supply side แล้ว เราได้เห็นแหล่งผลิตน้ำมันหลายแห่งทยอยปิดเนื่องจากขาดทุนบักโกรก ในขณะที่ด้าน demand side ก็น่าจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเพราะราคาน้ำมันต่ำกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก ผู้ใช้น่าจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นสรุปได้ว่าราคาน้ำมันอาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและความผันผวนของราคาในปีนี้ก็น่าจะน้อยกว่าปีที่แล้วครับ


สุดท้ายในแง่ของ Fund flows เป็นที่น่าสนใจครับว่า (จากรูป) นักลงทุนต่างชาติได้เป็นผู้ขายสุทธิในหุ้นไทยอย่างหนักมาต่อเนื่อง 3 ปี (2013-2015) แต่ปีนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณดีแล้วว่าเค้าได้กลับมาซื้อสุทธิในหุ้นไทยบ้างแล้ว ยะฮู้! ซึ่งหาก momentum ยังเป็นแบบนี้ต่อเนื่อง เราก็คงอุ่นใจได้เปราะหนึ่งครับว่า downside ของตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปคงน่าจะจำกัดครับ


Friday, April 1, 2016

For Intania 89 #1

สวัสดีครับ,
26 มี.ค. 2559

ผมได้รับการติดต่อจากประธานรุ่น 89 (เต้) ให้เขียนบทความเกี่ยวกับการลงทุนสั้นๆ ให้พวกเราชาวอินทาเนีย 89 ได้อ่านกัน ต้องขอออกตัวก่อนครับว่าผมนั้นไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอะไร และสิ่งที่จะเล่าต่อจากนี้ก็เป็นเพียงมุมมองนึงที่นำมาแชร์เพื่อแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ เท่านั้นครับ

สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นการเติบโตตลอดช่วงเวลาการทำงานประมาณ 7 ปีในแวดวงตลาดทุนนั้น ก็คือการที่คนไทยเริ่มให้ความสนใจกับการลงทุนในหุ้นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สังเกตได้จากเมื่อใดก็ตามที่มีการจัดสัมมนาเกี่ยวกับหุ้นและเชิญคนดังๆ มาพูด คนมักจะเต็มห้องประชุมแทบทุกครั้ง หรือหากไปร้านหนังสือก็จะพบว่าร้านหลายแห่งในปัจจุบันแทบจะยกแผงใหญ่ๆ แผงนึงให้เป็นที่วางของหนังสือเกี่ยวกับหุ้น ทั้งๆ ที่เมื่อสมัย 10 กว่าปีก่อน หนังสือเกี่ยวกับหุ้นในร้านหนังสือนั้นมีน้อยมาก การที่จะหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนเด็ดๆ ซักเล่มต้องพึ่ง Text book เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเศรษฐีหุ้นหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมายด้วยสไตส์การลงทุนหลากหลายที่ เซียนเหล่านั้นก็เชื่อว่าของตนนั้นสุดยอด ความจริงแล้วสาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะนับตั้งแต่หลังวิกฤต subprime หุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีมาตลอดครับ เพิ่งจะมาสะดุดหนักๆ เอาก็ปีที่แล้วเท่านั้น (-14%) ซึ่งช่วงเวลาจากนี้ไปผมเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นไทยคงจะไม่โดดเด่นอย่างที่เคยเป็น สาเหตุนั้นคงต้องบอกว่าเป็นเรื่องของภาพเศรษฐกิจ คุณภาพของบริษัทจดทะเบียน และราคาหุ้นที่ไม่ได้ถูก (คงจะมีโอกาสได้กล่าวรายละเอียดในโอกาสถัดไป)


อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้การลงทุนในหุ้นยังเป็นที่สนใจอยู่ก็คือเรื่องของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ต่ำมายาวนาน และมีทีท่าว่าจะต่ำต่อไปอีกพักใหญ่ บ้านเราเองนั้นหากจำกันได้ช่วงก่อนวิกฤตปี 2540 เราเคยฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยกัน 2 หลัก ซึ่งบางแห่งก็ให้ถึง 2 หลักปลายๆ สมัยนี้นะหรอ ได้ 1% ก็บุญโขละครับ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นไทยที่ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนโดยรวมประมาณ 3% กว่าๆ ในปัจจุบันจึงนับว่าพอจะน่าสนใจอยู่บ้าง เพียงแต่การจะคาดหวังผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาหุ้นสูงๆ แบบเมื่อก่อนคงไม่ง่ายแล้วละครับ       

Wednesday, March 23, 2016

ตื่นเต้นที่สุด

สวัสดีครับ,

เรื่องที่ตื่นเต้นที่สุดในตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปีผมคิดว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องที่พวกเราลุ้นกันว่า JAS จะสามารถหาเงินมาชำระค่าใบอนุญาตคลื่น 900 MHz งวดแรกทันภายใน 16.30 เมื่อ 21 มี.ค.ที่ผ่านมาได้หรือไม่ ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่ทราบกันครับ ซึ่งผลกระทบนั้นเกิดในวงกว้าง ในมุมของตลาดหุ้นเองนั้น เนื่องด้วยกลุ่ม ICT คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าตลาดหุ้นไทย การที่ไม่มีผู้เล่นรายที่ 4 เข้ามาย่อมทำให้ภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมดูเบาลง ราคาหุ้น 2 ตัวที่ประมูลใบอนุญาตไม่ได้ในคราวก่อนจึงเด้งกลับค่อนข้างใช้ได้ (ลองดูผลการเด้งของกลุ่ม ICT มีผลต่อ SET Index ถึง +7.1 จุด ในวันที่ 22 มี.ค.) แต่อย่าลืมนะครับว่าสถานการณ์การแข่งขันนั้นได้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2015 แล้ว สังเกตจาก operator แต่ละรายต่างก็ทยอยออก campaign ใหม่ๆ มากมาย เพราะฉะนั้นภาพอุตสาหกรรมจากนี้ไปคงยากที่จะกลับไปเหมือนเมื่อก่อนมีการประมูลใบอนุญาต 4G แล้วละครับ


อย่างไรก็ตามหากมองภาพตลาดโดยรวมแล้วก็ต้องใช้คำว่าไม่ได้แย่เท่าใดนักครับ ดัชนี SET ย้ำไม่ไปไหนแถวๆ ใกล้ๆ 1400 มาเป็นเวลา 2 สัปดาห์แม้จะยังไม่ได้ทะลุทะลวงผ่านไปได้อย่างมีนัยสำคัญก็ตามที ในขณะที่เหลือบไปมองตัวเลขสัดส่วนการซื้อขายแล้ว เป็นที่น่าตกใจครับว่านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสะสมหุ้นไทยในเดือนมี.ค.เป็นยอดรวมเกือบ 1.6 หมื่นล้านบาท (นับถึง 22 มี.ค.) ซึ่งถือว่าสูงมากในรอบหลายเดือนเลยทีเดียว


ในขณะที่ด้านตลาด currency เอง ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมาก จาก 35.6 เมื่อต้นเดือนมาอยู่ที่ราว 35 บาทเทียบ USD ณ ปัจจุบัน (แข็งค่าราว 1.7%) แปลว่าเงินได้ไหลเข้ามาซื้อค่าเงินบาทด้วย ก็ต้องมาติดตามกันต่อไปครับว่าเงินต่างชาติจะไหลเข้ามาแบบนี้อีกนานแค่ไหน และพลังนี้จะช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยบินฉวัดเฉวียนขึ้นยืนเหนือ 1400 ได้อย่างงดงามได้หรือไม่ มาลุ้นกันครับ

Wednesday, March 9, 2016

ระมัดระวัง

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาขึ้นมาได้ดีแทบจะเกือบทั้งโลก แต่เป็นตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียนอย่างไทยและอินโดนิเซียที่ขึ้นมาได้ดีกว่าใครเพื่อน โดยผลตอบแทนเราทั้งคู่ติดอันดับตลาดหุ้นที่ผลตอบแทนดีที่สุด 10 อันดับแรกของโลกนับจากต้นปีครับ ทั้งนี้สาเหตุน่าจะไม่ใช่เพราะภาพพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ แต่เป็นเรื่องของ Fund flows ที่ไหลกลับเข้ามาในภูมิภาคนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมากกว่า


ค่าเงินบาทเองก็แข็งค่าขึ้นมาค่อนข้างมากเทียบกับ USD โดยล่าสุดอยู่ที่ 35.35 เทียบกับเมื่อต้นปียังอยู่ที่ 36 อยู่เลย ถือว่าแข็งเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียเลยละครับ


ถึงจุดนี้นักลงทุนหลายท่านคงเริ่มตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเงินไหลกลับเข้ามาในอาเซียนรวมถึงบ้านเราอย่างมีนัยสำคัญทั้งๆ ที่ภาพปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากมาย? ผมคิดว่าแบบนี้ครับ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลก รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ที่บางประเทศถึงขนาดกดดอกเบี้ยลงไปติดลบอีก ทำให้สุดท้ายเงินก็ต้องมีที่ไป (เหมือนสายน้ำ เปิดก๊อกกักไว้ในโอ่งนานๆ เดี๋ยวก็ต้องล้น) ด้วยที่ตลาดหุ้นไทย underperform หุ้นโลกมาก่อนหน้านี้หลายปี รวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5แม้จะต่ำแต่ก็ยังสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ (ถ้าไปดูผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยล่าสุดอยู่ที่ 1.9ซึ่งถือว่าต่ำมาก ไม่เคยเห็นต่ำขนาดนี้มาก่อน แปลว่าเงินไหลเข้ามาซื้อเยอะจริงๆ) เหตุผลเหล่านี้น่าจะพอดึงดูดให้เงินไหลกลับเข้ามาเก็งกำไรได้บ้างแม้อาจจะเป็นเพียงระยะสั้นก็ตามครับ 


อย่างไรก็ดี ด้วยปัจจัยพื้นฐานและภาพเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ (แถมอาจถูกปรับประมาณการลงด้วยซ้ำ จากที่ท่านผู้ว่าแบงค์ชาติให้สัมภาษณ์เรื่อง GDP growth ล่าสุด) สุดท้ายแล้วนักลงทุนต่างชาติก็จะเริ่มตระหนักครับว่าเก็งกำไรมากไปกว่านี้อาจจะเจ็บตัวได้ กำไรก็ได้มาระดับนึงแล้วเริ่ม unwind positions บ้างดีไหม? (อาจจะไม่ถึงขนาด short หนักเลยทีเดียวเว้นแต่จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น) อีกทั้งภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะหลังจากจีนประกาศตัวเลขส่งออก -25.4%YoY ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งนับว่าแย่ที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2009 สรุปเลยก็คือผมคิดว่าควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้นในช่วงนี้ครับ   


Wednesday, February 24, 2016

วิลิศมาหรา

สวัสดีครับ,

หากจำกันได้ในบทความครั้งก่อนผมได้ทำนายเล่นๆ ไว้ครับว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยในไม่ช้าจากสัญญาณที่เห็นเค้า long สุทธิใน SET50 futures ค่อนข้างเยอะ และค่าเงินบาทที่แข็งมาค่อนข้างดีจากต้นปี และแล้วเค้าก็กลับมาจริงๆ ครับ โดยฝรั่งกลับมาเป็นซื้อสุทธิถึง 6 วันติด (นับจนถึงวันที่ 23 ก.พ.) เป็นยอดรวม 7.1 พันล้านบาท ถามว่าตัวเลขนี้เยอะมั้ย? ก็ยังไม่ได้เยอะมาก แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่เค้ากลับมาแบบนี้ครับ


ทีนี้ถามว่าแล้วยังไงต่อ? ฝรั่งกลับมาแล้วแล้วยังไง? หุ้นไทยจะบินได้ไหม? คือก็ตอบยากครับ แต่ผมอยากให้เห็นภาพเดียวกันแบบนี้ก่อนว่าฝรั่งได้ขายสุทธิหุ้นไทยมาตลอด ซึ่งหากดูตั้งแต่ต้นปี 2013 จนถึงปัจจุบันเค้าได้ขายหุ้นสุทธิไทยเกือบ 4 แสนล้านบาท ซึ่งนับว่าเยอะนะครับหากเทียบกับมูลค่าที่เค้าถืออยู่ (ไม่นับที่เป็น strategic holdings) ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิมาตลอด ประเด็นของผมก็คือว่า ฝรั่งอาจจะไม่ได้เป็นตัวจี๊ดที่เราจะพูดเหมือนเมื่อก่อนได้แล้วครับว่า ถ้าฝรั่งซื้อ หุ้นไทยจะขึ้น คำพูดที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบันน่าจะเป็น ถ้านักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อ หุ้นไทยจะ resilient” มากกว่า เพราะขนาดฝรั่งขายหนักขนาดนั้น SET Index ยังติดลบเพียง 5.8% นับจากต้นปี 2013 เท่านั้นครับ 

                 

มาถึงบรรทัดนี้หลายท่านอาจจะสงสัยว่าแล้วตกลงจะเอาอย่างไร? ฝรั่งกลับมาซื้อสุทธิเนี่ยจะให้ดีใจหรือเสียใจกันแน่? ผมอยากให้ตีความอย่างนี้ครับ คือถ้าฝรั่งซื้อและนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อด้วย อันนี้คือ best case แปลว่า flows กลับมา แถมนักลงทุนผู้ support ตลาดหุ้นไทยมาตลอดยังคง support ต่อไป แสดงว่าดีจริง แต่ถ้าฝรั่งซื้อแล้วนักลงทุนสถาบันในประเทศกลับมาขาย อันนี้อาจจะ neutral เพราะแม้ flows จะกลับมา แต่นักลงทุนสถาบันในประเทศซึ่งกลายเป็นผู้มีบทบาทสูงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมากลับมาขาย ทำให้ต้องระวัง ทั้งนี้จากสัญญาณที่เห็นในปัจจุบันคือฝรั่งเริ่มกลับมาซื้อสุทธิ และนักลงทุนสถาบันในประเทศก็ไม่ได้ขายสุทธิหนักอะไรครับ


ท้ายสุด (อันนี้แถม) บางทีเราอาจจะสนใจแต่หุ้นจนลืมไปว่ามีอีกหลายสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้และผลตอบแทนก็ไม่ขี้เหร่อย่างเช่น ทอง เงิน แพลทินัม หรือแม้แต่ค่าเงินเยน ที่ผลตอบแทน YTD นิวิลิศมาหรามาก... ก็ลองดูนะ โชคดีครับผม


Wednesday, February 10, 2016

ฝรั่งมังค่ากลับมาได้รึเปล่า

สวัสดีครับ,

ปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีที่ท้าทายเพราะตั้งแต่เปิดต้นปีมาค่าเงินบาทก็แข็งค่ามาเรื่อยๆ โดยล่าสุดแข็งเป็นอันดับ 3 ในเอเซีย รองจากริงกิตของมาเลเซียและเยนของญี่ปุ่น เรื่องของค่าเงินเยนนั้นผมอยากให้มองแยกออกไปครับเพราะค่าเงินนี้ถูกจัดเป็นเหมือน safe haven แต่พอลองมาดูอันดับ 2-5 จะเห็นว่าค่าเงินเหล่านั้นเป็นของภูมิภาคอาเซียนทั้งหมด ไม่แน่นี่อาจเป็นสัญญาณบอกเรากลายๆ ก็ได้นะครับว่าเงินกำลังไหลกลับเข้ามาอาเซียนหลังจากที่ทั้งตลาดหุ้นและค่าเงินในภูมิภาคนี้ underperform ทั่วโลกมานาน


ทั้งนี้ผมมีอีกรูปมาให้ดูครับ โดยดูผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่ดีที่สุดในโลกนับตั้งแต่ต้นปี จะเห็นว่ามีถึง 2 เจ้าจากอาเซียนซึ่งก็คือ อินโดฯ และไทยที่ติดอันดับ Top 10 (ใช้ได้เลย) โดยสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยช่วงนี้น่าจะมี downside ที่จำกัดต่อเนื่องก็เพราะเรามีกลุ่มพลังงานเป็นสัดส่วนถึง 1/5 ของ market cap โดยราคาน้ำมัน ณ ปัจจุบันน่าจะเหลือ downside ไม่มากแล้วจากการที่เราเห็นบริษัทน้ำมันต่างๆ ทั่วโลกเริ่มทยอยประกาศผลขาดทุนหนักหรือถึงขั้นปิดตัว ซึ่งตรงนี้สุดท้ายแล้วก็จะไปกดดัน supply ทำให้ปริมาณน้ำมันที่ผลิตออกมาขายมีลดลง ทำให้ราคาน้ำมันน่าจะกลับมาสู่จุดดุลยภาพได้ในไม่ช้าครับ และถ้าน้ำมันกลับมาเป็นขาขึ้นเมื่อไหร่ SET Index ก็น่าจะได้รับอานิสงส์ไปบ้างไม่มากก็น้อยละ


ในอีกมุมนึงถ้าไปดูตลาดอนุพันธ์จะพบว่า นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสะสมสุทธิใน SET50 Index Futures เป็นจำนวนถึง 84,961 สัญญา นับตั้งแต่ต้นปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ขายสุทธิในตลาดหุ้นไป 1.1 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน แม้จะยังขายสุทธิในตลาดหุ้น แต่ด้วยสัญญาณที่ดีจากตลาดอนุพันธ์ และตลาดค่าเงิน เป็นไปได้ว่าฝรั่งอาจจะกลับมาซื้อสุทธิหุ้นในไม่ช้านี้ครับ สาเหตุหนึ่งก็เพราะว่าหากค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าต่อเนื่องแบบนี้ (จากความคาดหวังที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ค่อยๆ ถูกเลื่อนออกไป บ้างก็ว่าอาจถึงขั้นใช้ negative interest rate ตามญี่ปุ่นเลย กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาอ่อนค่า) การที่ฝรั่งนำเงินมาลงทุนในหุ้นไทยอาจทำให้เค้าได้กำไร 2 ต่อ คือจากหุ้นและจากค่าเงิน ด้วยเหตุนี้แล้วผมจึงคิดว่าการลงทุนในหุ้นไทยช่วงนี้ แม้จะมีความเสี่ยงจาก external factors มากกว่าในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็น่าจะน้อยกว่าที่การลงทุนหุ้นในภูมิภาคอื่นนะครับ


Wednesday, January 27, 2016

สะสมพลัง

สวัสดีครับ,

ท่านจะรู้หรือไม่ว่าท่ามกลางความหนาวเหน็บในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งสะสมพลังคลื่นฟ้าในตลาด TFEX บ้านเราอย่างเงียบๆ และตารางด้านล่างนี้คือหลักฐานชิ้นดีครับ

คนกลุ่มนั้นไม่ใช่ใครดอกครับ พวกเค้าคือนักลงทุนต่างชาตินิเอง และแท้จริงแล้วไอความหนาวเหน็บมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เค้ามา ซื้อสะสมสุทธิ” SET50 Index Futures ในตลาด TFEX บ้านเราถึง 4 วันติดดอก เพียงแต่พอไปดูตัวเลขหลงจ้งตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว ยอดซื้อสะสมสุทธิเค้าพุ่งทะยานไปถึง 70,895 สัญญา (มูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านบาท) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการ ปิดสถานะจากการที่เค้าขายสุทธิมาเยอะเมื่อปีก่อน หรือจะเป็นการ เปิดสถานะใหม่ ผมว่ายังไงภาพก็ดูดีขึ้นทั้งนั้นครับ เพราะมันหมายถึงเค้าเริ่มมองภาพทิศทางตลาดหุ้นไทยดีขึ้นแล้ว


อย่างไรก็ดี ผมว่าประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นก็คือ ราคาน้ำมัน เพราะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีมีมูลค่าตลาดคิดเป็นสัดส่วนถึงเกือบ 1/5 ของตลาดหุ้นไทยครับ แปลว่าถ้าน้ำมันพลิกกลับมาเป็นขาขึ้นได้ SET Index น่าจะวิ่งได้โอ้ลัลล้าเลยละ.. บังเอิญเหลือเกินที่วันก่อนผมได้ไปเจอบทความชิ้นนึงที่น่าสนใจบนเวปไซต์ของ MarketWatch เค้าจั่วหัวไว้ว่า “Here’s how to know if oil prices have hit bottom” โดยสรุปได้ว่าหากพบสัญญาณ 5 ข้อต่อไปนี้ มีโอกาสสูงครับที่จะตีความได้ว่าราคาน้ำมันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว: 1) การผลิตน้ำมันลดลงและความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้น 2) ราคาน้ำมันวิ่งแรงได้รอบหลังจากที่ถูกขายหนักมานาน 3) ตลาดน้ำมันไม่ตอบสนองต่อข่าวตามที่เราคาด เช่น มีข่าวร้ายออกมาแต่ราคาน้ำมันกลับเด้งสวน (นั่นแปลว่าข่าวร้ายอาจถูก price in ไปมากแล้ว) 4) ทุกคนบอกพร้อมกันว่าราคาน้ำมันจะตกลงไปอีก และ 5) บริษัทน้ำมันประกาศผลขาดทุนหนักหรือถึงขึ้นปิดตัว

ทั้งหมดนี้ถ้าถามความเห็นผม ผมคิดว่ามีอยู่ประมาณ 3 ข้อที่ตรงกับสถานการณ์ในปัจจุบันครับ แล้วยิ่งอากาศหนาวๆ ทั่วโลกแบบนี้ เดี๋ยวคนในตลาดก็จะได้เหตุผลใหม่มาสนับสนุนอีกว่าความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นแล้วนะ อากาศเย็นเจี๊ยบขนาดนี้ อย่างไรก็ดี บางข้อจาก 5 ข้อที่เห็นมันก็เป็นเรื่องของความรู้สึกครับ ซึ่งแต่ละคนอาจจะตีความได้ต่างกันแล้วแต่วิจารณญาณ สุดท้ายแล้วเราก็ทำได้เพียงแค่ ทำนายอย่างมีเหตุผล เพราะคงไม่มีใคร รู้จริงแน่ๆ หรอกครับ


สุดท้าย บทความนี้จะจบลงอย่างสมบูรณ์ไม่ได้เลย ถ้าขาดการอัพเดทเป้าหมายใหม่ไฉไลจากทีมฝ่ายวิเคราะห์บัวหลวงเราครับ โดยคุณปรเมศร์ ทองบัว นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ ได้หั่นเป้า SET Index ลงเหลือ 1440 จาก 1550 เพื่อสะท้อนประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ถูกปรับลดลง (และมีแนวโน้มจะถูกปรับลงอีก) รวมถึงสมมติฐานราคาน้ำมันที่ลดลง (จาก $49/bbl เหลือ $42/bbl) ทั้งนี้ก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะเป้าใหม่ก็ยังมี upside ราว 11% จาก SET Index ระดับปัจจุบันที่ 1280 ครับ

Wednesday, January 13, 2016

ผันผวนทุกปี



สวัสดีครับ,

เปิดศักราชใหม่ 2559 มา ตลาดหุ้นไทยก็โชว์ความผันผวนให้เห็นซะตั้งแต่ต้นปีครับ ดัชนี SET ได้ลงไปทำจุดต่ำสุดของปีเมื่อวันที่ 11 ม.ค. ที่ 1221 (จากราคาปิดสิ้นปี 2558 ที่ 1288) แล้วก็ดีดกลับขึ้นมายืนเหนือแนวรับทางจิตวิทยาที่ 1260 ได้อีกครั้งเมื่อเช้าวันที่ 13 ม.ค. อย่างไรก็ดี ผมไม่คิดว่าจะมีปีไหนที่ตลาดหุ้นไม่ผันผวน มันผันผวนทุกปี แต่แค่ปีนี้มาแซงแรงโค้งซะตั้งแต่ต้นปีเท่านั้นเองครับ

ความจริงแล้ว หากไปดูในตลาด Futures นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสะสมสุทธิ SET50 Index Futures ถึง 7 วันติดในช่วง 30 ธ.ค.2558 – 11 ม.ค.2559 รวมเป็นยอดกว่า 4.3 หมื่นสัญญา (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8.6 พันล้านบาท) ในขณะที่ขายหุ้นสุทธิในช่วงเวลาเดียวกันเป็นมูลค่าถึง 9.1 พันล้านบาท ตลกไหมละครับ.. ซื้อฟิวเจอร์ส-ขายหุ้น มูลค่าใกล้เคียงกันแถมในช่วงเวลาเดียวกันซะอีก นี่อาจจะเป็น 1 ในสาเหตุที่ทำให้ตลาดผันผวนหนักซะตั้งแต่ต้นปีก็ได้กระมังครับ  



จริงๆ เราไม่มีทางรู้แน่ชัดดอกครับว่าฝรั่งเค้ากำลังทำอะไร สมมติฐานมันก็มีมากมายแล้วแต่คนจะคิด แต่อย่างหนึ่งที่พอจะเดาได้ก็คือเค้าคงจะไม่ได้มองหุ้นไทยแย่มากๆ เหมือนปีที่ผ่านๆ แล้วละครับ ก็แหม เปิดต้นปีมาซื้อสุทธิ SET50 Futures ซะขนาดนั้น (จะเป็น open long หรือ close short ก็ดีทั้งนั้นละครับ) ซึ่งพอไปดูตัวเลขย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 2013 พี่ฝรั่งขายหุ้นไทยสุทธิไปเกือบ 4 แสนล้านบาทแล้วครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าพี่เค้าจะมีขนมาขายอีกมากแค่ไหน แต่พอไปดู valuation ของหุ้นกลุ่มใหญ่อย่าง Bank และ ICT แล้วนั้น ก็พบว่าราคาลงมาจนอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ซึ่งถ้าผมเป็นพี่หรั่ง ผมจะหยุดขายแล้วเริ่มมองหาจังหวะซื้อแล้วละครับ แต่ก็คงเป็นการซื้อเพื่อขายเล่นรอบมากกว่าลงทุนยาวไปเลย เพราะคิดว่าภาพพื้นฐานในระยะกลางของ 2 กลุ่มนี้ยังไม่ได้ดูสดใสมากมายอะไรนัก  


ข้อสรุปของผมก็คือ ตลาดหุ้นไทยปีนี้ไม่น่าจะแย่เท่าปีที่แล้วครับ ลักษณะน่าจะมีคลื่นลมแรงเป็นหย่อมๆ ให้ซื้อขายเล่นรอบได้ ประกอบกับนักลงทุนสถาบันในประเทศเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทจำกัดหลายแห่งเริ่มมีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งท้ายสุดก็ต้องมีการกระจายลงทุนไปยังหุ้น สภาพคล่องในประเทศยังเยอะ และดอกเบี้ยนโนบายในประเทศคงไม่น่าจะขึ้นไปจนถึงอย่างน้อยก็ไตรมาส 4 ปีนี้ครับ

Wednesday, December 30, 2015

สุดท้ายก็ใบเดียวกัน

สวัสดีครับ

วันนี้เป็นวันซื้อขายหุ้นวันสุดท้ายของปี 2558 ครับ ซึ่ง SET Index (ณ เวลาที่ผมเขียนบทความ) กำลังจะปิดปีนี้ลงด้วยผลตอบแทน -13.7% โดย 3 กลุ่มหลักอย่างธนาคาร -28% พลังงาน -20% และสื่อสาร -38% ลบหนักกันถ้วนหน้า ในขณะที่ MAI Index กำลังจะปิดลงด้วยผลตอบแทน -25% ตัวเลขเหล่านี้กำลังจะบอกเราครับว่า การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (blue chip) ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป หากผลประกอบการของบริษัทหรือแนวโน้มในอนาคตไม่ดีแล้ว ราคาหุ้นก็พร้อมจะดิ่งเหวสะท้านปฐพีได้ทุกเมื่อ ในขณะที่การลงทุนในหุ้นขนาดเล็กนั้นก็ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะเรามักจะคาดหวังผลตอบแทนที่สูงจากหุ้นขนาดเล็กจนลืมไปว่าความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังที่ได้เห็นแล้วในปีนี้


ทั้งนี้ปี 2558 ผมถือว่าเป็นอีกปีที่ท้าทายมากครับ โดยผมได้สังเกตถึงสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปในรอบปีที่ผ่านมา จะลองยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟังซักเล็กน้อยเป็นน้ำจิ้มครับ เรื่องแรก ผมรู้สึกว่าคนไทยยอมรับและเข้าใจในธุรกิจประกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยหรือประกันชีวิต เราเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ มากขึ้น และการประกันก็เป็นวิธีการปิดความเสี่ยงที่ดีวิธีนึง เรื่องที่สอง ผมรู้สึกว่าเทรนด์การซื้อสินค้าออนไลน์เริ่มมาแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยรุ่น ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราไม่เคยคิดเลยว่ามันจะไปได้ เรื่องที่สาม เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจสื่อสารซึ่งกูรูบางท่านถึงกับบอกว่านี่เป็นยุคใหม่ของมันเลย ด้วยการแข่งขันที่มากขึ้น operator บางรายหันมาแจกมือถือให้กับลูกค้าฟรีๆ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและคงรายได้จากการให้บริการ เรื่องที่สี่ เราเริ่มเห็นการล้มหายตายจากของผู้ประกอบการสื่อทีวีดิจิตอลบางเจ้า และนั่นก็เป็นผลลัพธ์ของการแข่งขันในตลาด Red ocean ซึ่งผมเชื่อว่าธุรกิจนี้กำลังจะเข้าสู่จุดสมดุลในไม่ช้านี้ครับ และเรื่องสุดท้าย คือเรื่องของธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะน้ำมัน ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ความต้องการที่ลดลง ราคาน้ำมันกำลังเข้าสู่จุดสมดุลใหม่และอาจจะมีพลังงานประเภทใหม่ขึ้นมาทดแทน และเราคงได้เห็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของธุรกิจพลังงานประเภทน้ำมันในเร็วๆ นี้

ถ้าลองสังเกตให้ดี จะทราบว่าข้อ 1-4 ที่ผมยกมาเล่านั้น เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศพัฒนาแล้วเมื่อซัก 5-10 ปีก่อนแล้วทั้งนั้นครับแต่เพิ่งจะมาเกิดกับไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ตรงนี้ก็ตอกย้ำถึงความเชื่อที่ผมเชื่อเสมอมาครับว่า โลกเราสุดท้ายก็ใบเดียวกัน (Globalization) สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศพัฒนาแล้ว สุดท้ายก็ไม่แคล้วที่จะเกิดกับประเทศกำลังพัฒนา เหมือนกับที่มีนักลงทุนหลายท่านที่ได้หันเหความสนใจไปยังประเทศเวียดนาม เพราะเชื่อว่าเวียดนามตอนนี้กำลังเหมือนกับไทยเมื่อ 10-15 ปีก่อน วิธีการลงทุนที่เคยใช้แล้วประสบความสำเร็จในไทย ก็อาจนำไปประยุกต์ใช้ในเวียดนามได้

สุดท้ายนี้ ผมขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกช่วยดลบันดาลให้คุณผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ มีสุขภาพที่แข็งแรง ร่ำรวยจากการลงทุนตลอดปีใหม่ 2559 นี้และตลอดไป แล้วพบกับการอัพเดทภาพตลาดได้ใหม่ในบทความหน้า ปีหน้าครับ