Wednesday, December 30, 2015

สุดท้ายก็ใบเดียวกัน

สวัสดีครับ

วันนี้เป็นวันซื้อขายหุ้นวันสุดท้ายของปี 2558 ครับ ซึ่ง SET Index (ณ เวลาที่ผมเขียนบทความ) กำลังจะปิดปีนี้ลงด้วยผลตอบแทน -13.7% โดย 3 กลุ่มหลักอย่างธนาคาร -28% พลังงาน -20% และสื่อสาร -38% ลบหนักกันถ้วนหน้า ในขณะที่ MAI Index กำลังจะปิดลงด้วยผลตอบแทน -25% ตัวเลขเหล่านี้กำลังจะบอกเราครับว่า การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (blue chip) ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป หากผลประกอบการของบริษัทหรือแนวโน้มในอนาคตไม่ดีแล้ว ราคาหุ้นก็พร้อมจะดิ่งเหวสะท้านปฐพีได้ทุกเมื่อ ในขณะที่การลงทุนในหุ้นขนาดเล็กนั้นก็ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะเรามักจะคาดหวังผลตอบแทนที่สูงจากหุ้นขนาดเล็กจนลืมไปว่าความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังที่ได้เห็นแล้วในปีนี้


ทั้งนี้ปี 2558 ผมถือว่าเป็นอีกปีที่ท้าทายมากครับ โดยผมได้สังเกตถึงสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปในรอบปีที่ผ่านมา จะลองยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟังซักเล็กน้อยเป็นน้ำจิ้มครับ เรื่องแรก ผมรู้สึกว่าคนไทยยอมรับและเข้าใจในธุรกิจประกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยหรือประกันชีวิต เราเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ มากขึ้น และการประกันก็เป็นวิธีการปิดความเสี่ยงที่ดีวิธีนึง เรื่องที่สอง ผมรู้สึกว่าเทรนด์การซื้อสินค้าออนไลน์เริ่มมาแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยรุ่น ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราไม่เคยคิดเลยว่ามันจะไปได้ เรื่องที่สาม เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจสื่อสารซึ่งกูรูบางท่านถึงกับบอกว่านี่เป็นยุคใหม่ของมันเลย ด้วยการแข่งขันที่มากขึ้น operator บางรายหันมาแจกมือถือให้กับลูกค้าฟรีๆ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและคงรายได้จากการให้บริการ เรื่องที่สี่ เราเริ่มเห็นการล้มหายตายจากของผู้ประกอบการสื่อทีวีดิจิตอลบางเจ้า และนั่นก็เป็นผลลัพธ์ของการแข่งขันในตลาด Red ocean ซึ่งผมเชื่อว่าธุรกิจนี้กำลังจะเข้าสู่จุดสมดุลในไม่ช้านี้ครับ และเรื่องสุดท้าย คือเรื่องของธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะน้ำมัน ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ความต้องการที่ลดลง ราคาน้ำมันกำลังเข้าสู่จุดสมดุลใหม่และอาจจะมีพลังงานประเภทใหม่ขึ้นมาทดแทน และเราคงได้เห็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของธุรกิจพลังงานประเภทน้ำมันในเร็วๆ นี้

ถ้าลองสังเกตให้ดี จะทราบว่าข้อ 1-4 ที่ผมยกมาเล่านั้น เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศพัฒนาแล้วเมื่อซัก 5-10 ปีก่อนแล้วทั้งนั้นครับแต่เพิ่งจะมาเกิดกับไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ตรงนี้ก็ตอกย้ำถึงความเชื่อที่ผมเชื่อเสมอมาครับว่า โลกเราสุดท้ายก็ใบเดียวกัน (Globalization) สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศพัฒนาแล้ว สุดท้ายก็ไม่แคล้วที่จะเกิดกับประเทศกำลังพัฒนา เหมือนกับที่มีนักลงทุนหลายท่านที่ได้หันเหความสนใจไปยังประเทศเวียดนาม เพราะเชื่อว่าเวียดนามตอนนี้กำลังเหมือนกับไทยเมื่อ 10-15 ปีก่อน วิธีการลงทุนที่เคยใช้แล้วประสบความสำเร็จในไทย ก็อาจนำไปประยุกต์ใช้ในเวียดนามได้

สุดท้ายนี้ ผมขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกช่วยดลบันดาลให้คุณผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ มีสุขภาพที่แข็งแรง ร่ำรวยจากการลงทุนตลอดปีใหม่ 2559 นี้และตลอดไป แล้วพบกับการอัพเดทภาพตลาดได้ใหม่ในบทความหน้า ปีหน้าครับ


Wednesday, December 16, 2015

ปรับตัวปรับใจ

สวัสดีครับ,

เหมือนกับว่าเราได้ไปเที่ยวนั่งรถไฟเหาะตีลังกาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพราะไหนๆ เราก็ใกล้สิ้นปีละครับ เมื่อวันจันทร์ดัชนี SET ลงไปทำจุดต่ำสุดของปีที่ 1252 หลังจากนั้นก็มีแรงซื้อช่วงท้ายตลาดดันดัชนีกลับขึ้นมาปิดที่ 1268 และแล้วปาฏิหารย์ก็บังเกิด เพราะวันถัดมา (วันอังคาร) ดัชนี SET กลับมาบวกพรวดเดียว 33 จุด ขึ้นมาปิดที่ 1300 คิดเป็น +2.6%

ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมเองยังไม่ได้เห็นปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญอะไรครับ แต่เชื่อว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเรากำลังเข้าใกล้การตัดสินครั้งสำคัญที่ทั่วโลกกำลังจับตามองนั่นก็คือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดจริงหรือไม่ ทางทีมนักวิเคราะห์บัวหลวงเราได้ทำข้อมูลเปรียบเทียบครับและพบว่าหาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จริง ผลกระทบต่อตลาดจะคล้ายๆ กับช่วงที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปี 2004 นั่นคือตลาดจะผันผวนหนักช่วงก่อน Fed จะประกาศขึ้นดอกเบี้ย แต่หลังจากที่ประกาศแล้ว ตลาดก็จะสามารถซิกแซกขึ้นต่อได้ครับ


ตรงนี้พอมาดูข้อมูลในเชิง quant ประกอบ ก็พบว่าค่าความผันผวน (EGARCH) ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วละครับ (เส้นสีเขียวรูปซ้าย) แล้วพอมาดูค่า forecast ก็ยืนยันว่าค่าความผันผวนกำลังลดลงจริง ในขณะที่ Indicators อื่นๆ ก็ส่งสัญญาณว่าตลาดอยู่ในโซนขายมากเกินไป ตรงนี้ก็พอจะสรุปได้คร่าวๆ ละครับว่าจุดต่ำสุดของปีน่าจะได้ผ่านไปแล้วเมื่อวันจันทร์ และตลาดน่าจะกลับมาดูดีอีกครั้งอย่างน้อยก็จนถึงสิ้นปีนี้  


อย่างไรก็ดี เพื่อความไม่ประมาท ทางทีมนักวิเคราะห์ก็ได้ปรับเป้า SET Index สำหรับปีหน้าลงมาเล็กน้อยครับ จาก 1623 เป็น 1550 โดยอิงกับค่า PE ที่เดิม แต่หั่น EPS ปีหน้าลงมาจาก 104 เหลือ 100 สาเหตุหลักๆ ก็เป็นเพราะเราปรับสมมติฐานน้ำมันลดลงและ conservative มากขึ้นเท่านั้นละครับ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ


Wednesday, November 25, 2015

โตไม่โต

สวัสดีครับ,

เมื่อสัปดาห์ก่อนมี 2 เรื่องที่น่าสนใจที่ผมจะนำมาสรุปให้ฟังในบทความนี้ครับ เรื่องแรกเป็นเรื่องของ GDP ไทยไตรมาส 3 ที่ประกาศออกมาใช้ได้ คือโตถึง 2.9% สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 2.4% และโตขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนที่ 2.8% ทำให้รวมตัวเลข 9 เดือนแล้ว เศรษฐกิจไทยโตได้ 2.9% (ปี 2557 ทั้งปีโต 0.9%) โดยมีแรงสนับสนุนหลักมาจากการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวถึง 15.9% และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ขยายตัว 1.7% ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน แม้ว่าล่าสุดตัวเลขส่งออกในเดือนตุลาที่ประกาศออกมาจะหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 คือ -8.1% มากกว่าที่ตลาดคาดที่ -7.7% และมากกว่าเดือนก่อนที่ -5.5% ทำให้เป้าส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์คาดไว้ที่ -3% ทั้งปีนี้คงทำได้ยาก แต่หลังจากที่เรามีการเปิด AEC ในสิ้นปีนี้แล้ว ผมก็หวังว่าการส่งออกไทยในปีหน้าจะดีขึ้น และอาจกลับมาเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี จากการลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ครับ


(เกร็ดความรู้: 20 ปีที่ผ่านมา GDP ไทยรายไตรมาสโตเฉลี่ย 3.6%YoY โดยโตสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2012 ถึง 19.1% และหดตัวมากสุดในไตรมาส 2 ปี 1998 ที่ -13.9%)

เรื่องที่สองเป็นเรื่องของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ครับ โดยสรุปแล้วกำไรสุทธิรวม 3Q15 ที่หลักทรัพย์บัวหลวง cover ลดลงถึง 81%YoY และ 81%QoQ ซึ่งต่ำกว่าที่คาดถึง 43% สาเหตุหลักเกิดจากรายการที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก เช่น ขาดทุนจากสินค้าคงคลัง (ราคาน้ำมันเหลือ $48.4 จาก $63.6 เมื่อสิ้นไตรมาสสอง) ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงินบาทเทียบ USD อยู่ที่ 36.3 เทียบกับ 33.8 เมื่อสิ้นไตรมาสสอง) และการด้อยค่าของสินทรัพย์ (เช่น ของ PTTEP, THAI) ซึ่งตรงนี้ทำให้ Trailing PE ตลาดล่าสุดขึ้นมาอยู่ที่ 24 เท่า! นักวิเคราะห์เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับ EPS forecast ปี 2015 ลงมาเหลือ 70 จาก 90.5 ซึ่งถ้าเทียบกับปีที่แล้วที่ 72.5 แปลว่าปีนี้อาจจะโตติดลบ 3.5% ครับ อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้าครับ มองไปข้างหน้า นักวิเคราะห์เราคาดว่า EPS ปี 2016 จะกลับขึ้นมาที่ 104 แปลว่าจะโตถึง 49% แต่ผมคิดว่าตัวเลขนี้อาจสูงเกินไป มีโอกาสที่จะถูกปรับลงมาได้ในอนาคตครับ 



กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจไทยเหมือนจะฟื้นแต่ก็ยังกั๊กๆ อยู่ ไม่เต็มที่ ส่วนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนต้องบอกว่าปีนี้ทำได้ผิดคาดเลยละครับแม้ว่าจะมีเรื่องของรายการพิเศษเข้ามา (ถ้าจำกันได้ช่วงต้นปีนี้ตลาดมองกันค่อนข้างดีเลยละว่าจะโตถึง 20-30% จากฐานที่ต่ำเมื่อปีก่อน แต่ผลกลับผิดคาดและอาจจะโตติดลบด้วยซ้ำ) ทำให้ภาพตลาดในช่วงนี้ แม้ผมจะยังไม่ได้มอง sentiment แย่อะไร (มีเรื่องแรงซื้อ LTF ช่วย) แต่ก็คงขึ้นได้ยากจากปัจจัยพื้นฐานที่เป็นอยู่ในปัจจุบันครับ

Wednesday, November 11, 2015

เจ้า E-GARCH

สวัสดีครับ,

วันนี้ผมมีตัวเลขที่น่าสนใจมาฝาก หากลองนับปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาด TFEX ตั้งแต่วันที่ 29 กันยา จนถึงวันที่ 4 พฤศจิกา (เวลาประมาณ 1 เดือนนิดๆ) จะพบว่าตัวเลขเป็น net long SET50 futures อยู่ถึงกว่าแสนสัญญา ซึ่งทำให้ตัวเลข YTD ที่นับจนถึงวันที่ 4 พฤศจิกา กลับมาเป็นบวกได้ (จากที่ก่อนหน้านี้เป็นลบอยู่เยอะมาก) ซึ่งการที่ flows ไหลกลับมาในช่วงเวลาสั้นๆ ดังกล่าวผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะจากการประชุม Fed เมื่อเดือนกันยาที่ผ่านมาที่คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยอาจถูกเลื่อนไปเป็นปีหน้า ทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่กลับมาคึกคักครับ



แต่หลังจากเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมาที่เราได้ทราบตัวเลข Nonfarm Payroll ที่ดีกว่าคาดมาก และอัตราว่างงานที่ลดลงเหลือเพียง 5% ของอเมริกา ผมเชื่อว่าตรงนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ Flows ที่ไหลเข้ามามากในช่วงก่อนหน้านี้ไหลกลับได้ครับ เพราะตลาดเริ่มมองแล้วว่ายังไง Fed ก็จะต้องขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาปีนี้ ซึ่งหากมาดูตัวเลขเมื่อ 2 วันล่าสุดประกอบ ก็จะเห็นว่า Flows เริ่มไหลออกแล้วจริงๆ โดยในวันจันทร์นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิใน SET50 Futures ถึง 7,529 สัญญา (ขายหุ้นสุทธิอีก 1 พันล้านบาท) และวันอังคาร 17,822 สัญญา (ขายหุ้นสุทธิอีก 776 ล้านบาท) ทำให้ตัวเลข YTD กลับกลายลบที่ -1,783 สัญญา รวมถึงค่าเงินบาทก็ได้กลับมาอ่อนค่าราว 1% จาก 35.5 บาท มาเป็น 35.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ 

สุดท้ายพอมาดูสัญญาณเชิง quant ประกอบ ก็พบว่าเจ้า E-GARCH Vol forecast ที่บอกค่าความผันผวนของตลาดได้ขึ้นมาเหนือค่าเฉลี่ยระยะยาวแล้วครับ ตรงนี้ตีความได้ว่าช่วงเวลาถัดจากนี้เป็นช่วงเวลาอ่อนแอ เปราะบาง อีกทั้งสัญญาณ Volume Flow จาก 4 sectors หลักก็ได้ส่งภาพลบเช่นกัน ยังไงก็ระมัดระวังการลงทุนในช่วงนี้มากขึ้นนะครับ




Wednesday, October 28, 2015

เป้ายังไม่เปลี่ยน

สวัสดีครับ,

ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามี 2 เหตุการณ์ที่น่าสนใจที่น่าจะช่วยให้ตลาดหุ้นโลกรวมถึง SET เราน่าจะยังยืนเท้งเต้งแบบนี้ต่อไปได้ครับ เรื่องแรกก็คือการที่ประธาน ECB นาย Mario Draghi ออกมาส่งสัญญาณว่าเค้าอาจจะออกมาตรการกระตุ้นชุดใหม่ภายในเดือนธันวาปีนี้ (ดูซิว่า Fed จะกล้าขึ้นดอกเบี้ยสวนไหม) ส่วนอีกเรื่องก็คือเจ้า PBOC ที่ออกมาหั่นดอกเบี้ยพร้อมกับลด RRR เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะสู้กับสภาวะเงินเฟ้อต่ำ ที่น่าสงสัยนิดๆ ก็คือทำไมเจ้าธนาคารกลางจีนนิชอบออกมาประกาศมาตรการกระตุ้นตอนวันหยุดนักนะ (วันอาทิตย์บ่อยมาก) หยั่งล่าสุดก็ประกาศเย็นวันที่ 23 ตุลา หลังตลาดปิด ด้วยเหตุนี้ในบทความนี้ผมเลยจะเจาะไปที่จีนซักหน่อยครับเพราะดูท่าพี่ท่านจะมีผลต่อ sentiment ตลาดหุ้นในภูมิภาคอยู่พอควรเลยละ ฮ่าๆๆ



เรื่องมันมีอยู่ว่า Morgan Stanley เค้าได้ไปทำการสำรวจนักลงทุนรวมถึงผู้จัดการกองทุนในจีนครับว่าคิดว่าเห็นอย่างไรกับตลาดหุ้นจีนจากนี้ไป ผลสรุปก็คือความเชื่อมั่นเค้าลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อเดือนก่อน โดยผลตอบแทนคาดหวัง MSCI China ในอีก 12 เดือนข้างหน้าลดลงเหลือ 1.3% (จาก 2.9% เมื่อเดือนกันยา) ในขณะที่มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามคิดว่าตลาดหุ้นจีนจะเคลื่อนไหวอยู่แถวนี้แหละไปจนถึงเดือนมกราปีหน้า (หุ้นจีนได้ขึ้นมาประมาณ 15% จากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนกันยา) ในขณะที่ประมาณ 1 ใน 4 คิดว่าการ rally ของตลาดยังอยู่แต่จะไปค่อยๆ ลดลงในต้นปีหน้า โดยปัจจัยสำคัญที่คนเชื่อว่าจะมีผลตลาดหุ้นมากที่สุดเป็นเรื่องของ GDP growth ครับ


ด้วยเหตุนี้ผมจึงคิดว่าหุ้นไทยน่าจะซึมๆ แกว่งในกรอบแคบๆ แบบนี้ไปอีกซักพักครับ เว้นแต่จะมี surprise ในเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed (เลื่อนอีกไหม?) หรือธนาคารกลางในประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น หรือกลุ่มยูโร ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเสริมสภาพคล่องออกมาอีก ซึ่งนั่นก็จะเป็น upside risks ของตลาดจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี 

ท้ายสุดผมขออนุญาตปิดท้ายบทความนี้ด้วยคำยืนยันจากคุณปรเมศร์ ทองบัว นักกลยุทธ์ที่คุมเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยของบัวหลวงเราครับ โดยคุณปรเมศร์ยังคงเป้า SET Index ปีนี้ที่ 1412 ในขณะที่เป้าปีหน้ายังให้ไว้ที่ 1623 ครับ



Wednesday, October 14, 2015

ฝรั่งมังค่าพาเพลิน

สวัสดีครับ,

เป็นที่น่าสนใจครับว่าเจ้าฝรั่งมังค่าได้ซื้อสุทธิสะสม (Net long) ใน SET50 futures ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมากว่า 6 หมื่นสัญญา คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ในขณะที่เริ่มกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยในรอบกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมามูลค่าประมาณ 6 พันล้านบาท ตรงนี้ผมเชื่อว่าเป็นอานิสงค์จากการที่ Fed ตัดสินใจไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อเดือนก่อนครับ กอปรกับตัวเลขการจ้างงานของอเมริกาที่ยังดูอ่อนแอ ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าการขึ้นดอกเบี้ยอาจจะถูกเลื่อนไปเป็นปีหน้า ในขณะที่เศรษฐกิจจีนเองนักวิเคราะห์ก็เริ่มๆ มองว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ทำให้ sentiment โดยรวมของการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (EM) กลับมาสดใสอีกครั้ง



อีกทั้งถ้ามองไปที่ค่าเงินบาท (เส้นสีขาว) ก็จะเป็นว่ามันแข็งกระโป๊กเทียบกับ USD ในช่วงเดือนที่ผ่านมาเลยละครับ (จาก 36.64 เป็น 35.56 ล่าสุด) ซึ่งสาเหตุก็ไม่ต้องสืบ เป็นเรื่องเดียวกับที่ผมได้เกริ่นไว้ข้างต้นที่ทำให้ flow ไหลเข้ามา ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าหากเปรียบเทียบในรอบ 6 เดือนให้หลัง ทิศทางค่าเงินบาทได้วิ่งสวนทางกับดัชนี SET (เส้นสีเหลือง) อย่างมีนัยสำคัญ แปลว่าหากค่าเงินบาท (เทียบ USD) ยังแข็งอยู่อย่างนี้ หุ้นไทยน่าจะลัลล้าโลดเล่นไปได้อีกซักพักละครับ


ปิดท้าย มาดูมุมมองเจ้าฝรั่งมังค่าที่ว่าซักเล็กน้อยดีกว่าครับ ทาง Morgan Stanley ได้ออกเปเปอร์สุดหล่อตั้งแต่สัปดาห์ก่อน โดยเค้า call ว่าหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (รวมถึงไทย) จะซิกแซกขึ้นไปได้ถึงสิ้นปีด้วยพลัง flows ไหลย้อนกลับ (ชั่วคราว) จากการที่ดอลลาร์อ่อนค่าเพราะเชื่อว่า Fed จะเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไป ซึ่งตรงนี้น่าจะส่งผลดีต่อ commodities ด้วย โดยหากดูในเชิงพื้นฐานแล้วก็จะพบอีกว่ามันเสริมกันครับ เพราะตัวเลขการนำเข้าของอเมริกาดูดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมาแปลว่าการส่งออกของประเทศในเอเชียก็น่าจะดีขึ้นด้วย (จีนเพิ่งประกาศตัวเลขส่งออกเมื่อวานดีกว่าคาดที่ -1.1%YoY ในขณะที่ตลาดคาด -7.4%YoY Yuan term) ในขณะที่อเมริกาเองก็ยังขาดดุลการค้ากับ EM อย่างต่อเนี่องในปริมาณที่เพิ่มขึ้น แปลว่าการที่ค่าเงินดอลลาร์จะกลับมาแข็งค่าหนักๆ ในช่วงนี้ “ยากส์” เพราะถูกตัวเลขดุลการค้ากดดันอยู่ (หมายเหตุ: ค่าเงินดอลลาร์อ่อนมักจะดีต่อหุ้นในตลาดเกิดใหม่รวมถึง commodities)
โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ

Wednesday, September 30, 2015

เหตุเกิดจากความห่าง

สวัสดีครับ,


วันนี้ผมมีประเด็นที่น่าสนใจในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) มาเล่าให้ฟังเล็กน้อยครับ

เมื่อวานนี้ (29 กันยา) เป็นวันสุดท้ายของ SET50 futures ซีรี่ย์เดือนกันยา หรือ S50U15 ซึ่งหมายความว่านักลงทุนผู้ถือสถานะ S50U15 ทุกท่านจะต้องทำการ Roll over (ปิดสถานะเดิม และเปิดสถานะในสัญญาซีรี่ย์ถัดไป) ไปยังซีรี่ย์เดือนธันวา หรือ S50Z15 ภายในเวลา 16.30น. มิเช่นนั้นสัญญา S50U15 ของท่านจะถูกปิดสถานะโดยอัตโนมัติ (นักลงทุนนิยม roll over ไปยัง S50Z15 มากกว่า S50V15 ซึ่งเป็นซีรี่ย์เดือนตุลา เนื่องจากสภาพคล่องที่ดีกว่ามาก)

ข้อสังเกตของผมก็คือ หากดูตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยาที่ผ่านมา spread ระหว่างเจ้า S50Z15 และ S50U15 ที่นักลงทุนใช้ดูประกอบในการ Roll over ได้ห่างมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มจาก -5.5 จนลงไปทำจุดต่ำสุดที่ -20.9 เมื่อวันที่ 28 กันยา และกลับมาปิดสุดท้ายที่ -19.4 ในขณะที่ราคาตามทฤษฎีของ spread นั้นอยู่เพียงแถวๆ (บวก) 3 ถึง 5 จุดเท่านั้น


สาเหตุหนึ่งของความห่างอันมโหฬารนี้อาจจะเป็นเพราะตลาด TFEX ของไทยนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพ (efficient) มากพอ (ซึ่งก็เป็นปกติในตลาดของกลุ่มประเทศเกิดใหม่) กอปรกับสภาพคล่องในการ roll over ที่ยังมีไม่เยอะหรือเยอะแค่บางช่วงเวลา จึงทำให้ราคาตลาดของ spread อยู่ห่างจากราคาทางทฤษฎีซะขนาดนั้น แต่อีกมุมหนึ่งก็สามารถตีความได้ครับว่า นักลงทุนกำลังคาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดในช่วงไตรมาสหน้า (4Q15) อาจจะดูไม่ค่อยสดใสนัก จึงได้เฮโลไปเปิดสถานะ short ใน S50Z15 มากกว่า S50U15 ซะเยอะ จนทำให้ spread ห่างออกไปมาก ตรงนี้ก็ต้องระมัดระวังครับ

อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ทาง TFEX ได้ปรับอัตราหลักประกันของ SET50 Futures ขึ้นถึง 28% (ทั้งของลูกค้ารายย่อยและสถาบัน) ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ตุลา นี้เป็นต้นไป จุดประสงค์ก็คือเพื่อลดการเก็งกำไรลง เพราะผู้ที่ลงทุน SET50 Futures ในตลาด TFEX ต้องกันเงินไว้มากขึ้นถึง 28% เพื่อวางหลักประกัน ตรงนี้ผมคิดว่าอาจจะส่งผลกระทบไปถึงตลาดหุ้นได้ ปริมาณการซื้อขายอาจจะลดลง รวมถึงความผันผวนก็อาจลดลงได้บ้างครับ (หมายเหตุ: เนื่องจาก SET50 Futures เป็นสัญญาที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในตลาด TFEX โดยเฉลี่ยมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน การปรับจึงน่าจะส่งผลกระทบมากสุดถ้าเทียบกับสัญญาซื้อขายบนสินค้าอ้างอิงอื่นครับ) 

Wednesday, September 16, 2015

มองไปข้างหน้า

สวัสดีครับ,

ตั้งแต่ต้นเดือนมาตลาดไทยก็วิ่งอยู่ในกรอบ 1360- 1405 ซึ่งถือว่าความผันผวนไม่ได้รุนแรงมากนัก ทั้งๆ ที่เรากำลังเข้าใกล้วันตัดสินเรื่องที่นักลงทุนติดตามกันมาเป็นปีในคืนวันพฤหัสที่ 17 กันยายนนี้ นั่นก็คือเรื่องที่ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยหรือยัง?

ความจริงแล้วถ้าได้ลองอ่านความเห็นของกูรูทางเศรษฐกิจหลายๆ ท่าน จะพบว่าบางท่านเริ่มจะเสียงแตกครับ โดยบอกว่า การไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่างหากที่จะเป็นข่าวร้าย เพราะนั่นจะทำให้ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ แต่หาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยเลยในการประชุมครั้งนี้ ตลาดน่าจะตอบรับในเชิงบวก เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า Fed ได้เริ่มเข้าสู่นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Tight Monetary Policy) ซึ่งตลาดจะชอบกว่าเพราะนั่นคือความแน่นอน

ส่วนตัวผมเชื่อครับว่าแม้ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้จริง ก็จะมีผลกระทบต่อไทยไม่มากถ้าเทียบกับประเทศเกิดใหม่ (EM) อื่นๆ ในเชิงเศรษฐกิจนั้น ประเทศไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ 5% (เทียบกับช่วงปี 2006 ที่ขาดดุล 1-5%) มีหนี้ต่างประเทศเพียง 33% ของ GDP (ลดลงจาก 38% ช่วงก่อนหน้านี้) และมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงเพียงพอ ด้วยสถานะการทางพื้นฐานที่จัดว่าดี มีหนี้น้อยลง กอปรกับการที่เรามีธนาคารแห่งประเทศไทยที่บริหารจัดการด้วยความรอบคอบระมัดระวังตลอดมา ผมจึงเชื่อว่าเรามี buffer ที่ดีพอที่จะรองรับแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้น จนทำให้ผมคิดว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอาจจะแทบไม่มีหรือมีน้อยมากเลยก็เป็นได้ (ส่วนหนึ่งเพราะตลาดอาจ price in ไปมากแล้ว)

อย่างไรก็ดีทีมวิเคราะห์ของบัวหลวงเราเมื่อต้นสัปดาห์ได้หั่นเป้าหมายดัชนี SET ลงมาเหลือ 1412 จาก 1505 เพื่อสะท้อนประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ลดลง ราคาน้ำมันที่ลดลง และ GDP ที่ลดลง แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจไปครับ เพราะเป้าหมายที่หั่นลงนั้นเป็นของปีนี้ ซึ่งผมเชื่อว่านักวิเคราะห์จะเริ่มมองไปข้างหน้ามากขึ้น นัยก็คือจะเริ่มหันไปใช้ประมาณการของกำไรในปี 2016 แทน 2015 มากขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับการที่เราได้ออกเป้าหมายดัชนี SET ใหม่ที่ 1623 ที่เป็นเป้าของปีหน้า ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะครับ เพราะเชื่อว่าผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่เพิ่งออกมากว่า 3.4 แสนล้านบาท (1.36 แสนล้านสำหรับรากหญ้า และ 2 แสนล้านสำหรับ SME) และอาจจะมีอีกหนึ่งก้อนสำหรับกระตุ้น FDI ที่ยังไม่ประกาศเป็นทางการ น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจเริ่มตั้งแต่ไตรมาสสี่ปีนี้และไปเห็นผลหนักๆ ในปีหน้า 


ซึ่งทีมวิเคราะห์ของบัวหลวงเราก็ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมไว้ด้วยว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ กลุ่มธนาคารและการเงินนั้นขึ้นดีเหลือเกินครับ ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยรึเปล่า มาลองติดตามกันดูครับ


Wednesday, September 2, 2015

บอกไม่ถูกจุ๊กกรู๊

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าผันผวนมากทีเดียวเพราะดัชนีได้ลงไปเยี่ยมที่ระดับต่ำกว่า 1300 จุด แล้วก็กลับมายื้อแถว 1360 ใหม่ ทั้งนี้ความผันผวนในช่วงที่ผ่านมาผมยกเครดิตให้กับตลาดหุ้นโลกเลยครับ โดยเฉพาะจีนที่พี่แกเล่นบวกลบกันทีสะท้านทรวงกว่าวันละ 3-5% (เล่นเอาตลาดหุ้นไทยจิ๊บๆไปเลย) ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตุว่าดัชนี VIX ที่ใช้เป็นตัวแทนวัดค่าความเสี่ยงและความผันผวนของหุ้นได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบหลายปีเมื่อวันที่ 24 สิงหา ที่ผ่านมา ซึ่งก็ตรงกับวันก่อนหน้าที่หุ้นไทยจะหลุด 1300 จุดเพียงแค่วันเดียว



กลับมาที่ภาพใหญ่ครับ ทาง Morgan Stanley (Exclusive partner ของหลักทรัพย์บัวหลวง) เมื่อต้นสัปดาห์ได้ปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงมาทั้งปีนี้และปีหน้า (ดูตาราง) โดยมีสาเหตุหลักมาจากปัญหาใน Emerging markets (EM) ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและเรื่องค่าเงินหยวน ความผิดหวังของตัวเลขเศรษฐกิจใน EM ขนาดใหญ่ เช่น บราซิล เกาหลี ไต้หวัน ตุรกี หรือจะเป็นเรื่องผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในอนาคตที่อาจจะมีผลต่อ EM มากกว่า Developed markets (DM) ทั้งนี้ได้สะท้อนออกมาโดยหุ้นใน EM ได้ underperform หุ้น DM ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาถึง 13.5% (ในขณะที่ Dollar index เป็นขาขึ้น) รวมถึง Earnings ของหุ้นใน EM ก็ถูกปรับลดประมาณการด้วยอัตราเร่งที่มากกว่าใน DM


อย่างไรก็ดี แม้ตรงนี้จะสะท้อนภาพระยะยาวที่ดูไม่ค่อยสดใสนักสำหรับ EM (รวมถึงไทย) แต่ภาพระยะสั้นในตลาดหุ้นไทยเริ่มดูดีขึ้นนะครับ หลังจากนักลงทุนต่างชาตินับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาจนถึง 1 กันยา ได้กลับมาเป็นผู้ long สุทธิใน SET50 futures ถึง 28,609 สัญญา และซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยถึง 2 วันติดต่อกัน หลังจากขายมา 4 หมื่นกว่าล้านบาทในช่วงเดือนที่ผ่านมา พอผมเห็นตัวเลขตรงนี้แล้ว ก็เลยรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก จุ๊กกรู๊


Wednesday, August 19, 2015

ราคาของการเก็งกำไร

สวัสดีครับ,

และแล้วยุคซิ่งกระดิ่งแมวที่ได้เคยกล่าวไว้เมื่อเดือนก่อนก็ (น่าจะ) ได้ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ระเบิดสะท้านเมืองที่น่าสลดใจเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำไมผมถึงพูดแบบนั้น? เพราะหากเราไปดู PE ของตลาด MAI เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่ได้เคยทำจุดสูงสุดไว้ที่ 91 เท่า ณ ปัจจุบันได้ลดลงมาเหลือ 55 เท่า ในขณะที่ตัวดัชนีเองก็ได้ตกมาถึง 30% จากจุดสูงสุด ซึ่งหากลองเทียบกับ PE ของ SET ที่จากต้นปีอยู่ที่ 22 เท่า และลดลงมาเหลือ 18 เท่าในปัจจุบัน โดยที่ตัวดัชนีลงมา 15% นั้น แปลว่าดัชนี MAI ลงมามากกว่าดัชนี SET ถึง 2 เท่าครับ



อย่างไรก็ดี ด้วยผลประกอบการที่เห็นจนถึงตอนนี้ ผมเชื่อว่าการลงหนักของหุ้นซิ่งกระดิ่งแมวในตลาด MAI นั้นไม่ได้เป็นการลงด้วยพื้นฐานครับ เพราะกำไรของบริษัทก็ยังดีอยู่ แต่เป็นการลงเพราะการเก็งกำไรในหุ้นนั้นลดลงมากกว่า นักลงทุนกำลังให้ราคาของการเก็งกำไรลดลง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมา และ PE ของหุ้นก็ลดลงตาม ซึ่งหากถามว่าแล้วลงพอแล้วหรือยัง? ตรงนี้ยังตอบไม่ได้ครับ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนยังเชื่อมั่นในผลประกอบการในอนาคตอยู่หรือไม่ ถ้าเชื่อมั่น ก็โอเค แต่ถ้าไม่ อาจจะมีเสียวต่อ 
  
ในแง่ของภาพใหญ่ หากย้อนกลับไปดูกราฟ SET รายเดือน จะเห็นว่าดัชนีได้ลงมาแกว่งแถวแนวรับสำคัญที่เคยให้ไว้ที่ 1375 พอดีครับ (ระดับ 38.2% ฟิโบนาชี่) ซึ่งผมได้ลองลากเส้น Simple moving average ระยะเวลา 50 เดือน (เส้นสีเหลือง) มาประกอบดูเพื่อพิจารณาว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ก็พบว่าระดับแนวรับใหม่ก็อยู่ไม่ไกลจากแนวรับสำคัญเดิมมาก คือที่ 1360 ครับ ซึ่งแนวนี้น่าจะช่วยค้ำดัชนี SET ให้ยืนเท้งเต้งได้ไปอีกซักระยะหากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเซอร์ไพรส์อะไรออกมาอีก อย่างไรก็ดีด้วยสถานการณ์ในขณะนี้ ผมอยากแนะนำให้นักลงทุนทุกท่านเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น ลดการเก็งกำไรที่ไม่จำเป็นลง และมองไปที่ผลประกอบการของบริษัทในระยะยาว.. แล้วเราจะผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ ไปด้วยกันครับ ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ



Wednesday, August 5, 2015

ขาใหญ่สั่งลุย

สวัสดีครับ,

ในที่สุดดัชนี SET ก็ปิดที่ 1440 เมื่อสิ้นเดือนก.ค. ที่ผ่านมา หลุดกรอบขาขึ้นที่ลากกันมาตั้งแต่สิ้นปี 2008 ที่ 1475 ไปเรียบร้อย อย่างไรก็ดี การปิดหลุดในลักษณะนี้ไม่ได้แปลว่าหุ้นไทยจะเปลี่ยนเป็นขาลงเลยซะทีเดียวครับ แต่น่าจะเป็นในลักษณะการวิ่งออกข้างซะมากกว่า โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1375 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิมเมื่อช่วงสิ้นปี 2014 (และบังเอิญตรงกับระดับ 38.2% ฟิโบนาชี่พอดี) และมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1480 ซึ่งตรงกับระดับ 61.8% ฟิโบนาชี่



ในแง่ของตัวเลขการซื้อขาย จะเห็นว่านักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงเป็นผู้ซื้อสุทธิต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี โดยมียอดสะสม 4 หมื่นกว่าล้านบาทเข้าไปแล้ว ในขณะที่ฝรั่งยังคงเป็นผู้ขายสุทธิอย่างต่อเนื่องครับ


พอเราทราบแล้วว่าใครเป็นขาใหญ่ของตลาดในปีนี้และถือหุ้นไทยอยู่เยอะ (นักลงทุนสถาบันในประเทศนั่นเอง!) ผมเลยนำมุมมองจากผู้บริหารกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาฝากครับ (น่าจะมีผลต่อทิศทางตลาดบ้างไม่มากก็น้อยละ) คุณวิน พรหมแพทย์ หัวหน้ากลุ่มงานลงทุน สำนักงานประกันสังคม ผู้บริหารเงินกว่า 1.2 ล้านล้านบาท ได้เขียนบทความลงบล็อกส่วนตัวเมื่อประมาณสิ้นเดือนก.ค. และได้ถูกสำนักข่าว Bloomberg นำไปแปลและเผยแพร่ทั่วโลก คุณวินสรุปว่าตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังน่าจะมีอาการซึมไปเรื่อยๆ แต่นั่นเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะทยอยเก็บของเมื่อดัชนี SET เข้าใกล้ 1400 จุด (หรือต่ำกว่า) โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่คุณวินแนะนำจะเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และค้าปลีกที่เน้นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันครับ


ในขณะที่หลักทรัพย์บัวหลวงเรา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้มีการหั่นเป้าดัชนี SET ลงอีกครั้ง จาก 1570 เป็น 1505 เพื่อสะท้อนประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนและ GDP ที่ลดลง ในขณะที่ความเสี่ยงที่เรากังวลก็เป็นเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (กันยา หรือ ธันวา) อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าภาพตลาดในตอนนี้จะเหมือนกับการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงปี 2004 ที่ตลาดได้ price in และ bottom ไปก่อนที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจริงแล้ว ไม่เหมือนกับช่วงปี 1994 และ 1999 ที่การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เป็นการ surprise ตลาดและทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลงต่อรุนแรง เพราะงั้นก็น่าจะสบายใจไปได้เปราะหนึ่งละครับ... โชคดีในการลงทุนทุกท่าน



Wednesday, July 22, 2015

หมดยุคซิ่งกระดิ่งแมว

สวัสดีครับ,

ผ่านไป 2 สัปดาห์หลังจากที่บทความ “เสียวสันหลัง” ได้ออกไป ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่จะปิดสิ้นเดือนนี้ด้วยระดับที่ต่ำกว่า 1475 ซึ่งเป็นเส้นแนวรับใหญ่ที่ลากมาตั้งแต่ปลายปี 2008 ทำให้ภาพตลาดจากนี้น่าจะเป็นลักษณะวิ่งออกด้านข้างซึมๆ หงอยๆ ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ลดลง กอปรกับแนวโน้มค่าเงินบาทที่ดูอ่อนค่าต่อเนื่อง (ล่าสุด 34.6 ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงลดน้ำหนักหุ้นไทยด้วยเหตุผลที่ว่า เค้าอาจขาดทุนจากค่าเงิน (เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากขึ้นในการแลกเงินกลับไป) 



ที่น่าสนใจก็คือหากดูข้อมูลจาก Bloomberg ด้านล่างจะพบครับว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินฝรั่งไหลไปเข้าตลาดอินเดียกับไต้หวันมากที่สุด ในขณะที่ขายญี่ปุ่นค่อนข้างหนัก ซึ่งดูแนวโน้มแล้ว อินเดียดูเหมือนว่าจะเป็นที่รักของฝรั่งมากนะครับเพราะตัวเลขเป็นซื้อสุทธิแทบจะทุกช่วงตั้งแต่ต้นปี ในขณะที่พี่ไทยดูเหมือนจะถูกทิ้ง (ชั่วคราว?) เพราะเป็นประเทศเดียวที่ฝรั่งขายสุทธิมาตลอด ตรงนี้ก็ชัดเจนครับว่ามันสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอ่อนแอของเรา หลายสำนักเศรษฐกิจมีการปรับตัวเลขประมาณการ GDP ลงหลายครั้ง จนล่าสุดมีข่าวว่าท่านนายกฯ จะปรับทีมเศรษฐกิจใหม่และเร่งโครงการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 


อย่างไรก็ดี นี่ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีครับ ที่เราจะได้มีเวลามาศึกษากันให้ลึกขึ้นถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและผลประกอบการ เพราะจากนี้ไปผมเชื่อว่าหุ้นซิ่งกระดิ่งแมวที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานดีมาสนับสนุนคงจะยากที่จะขึ้นได้ฉวัดเฉวียนเหมือนเมื่อก่อน (ลองดูรูป PE ของดัชนี MAI เทียบกับ SET ประกอบ) หุ้นที่ผลประกอบการออกมาดีและมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง คงจะ outperform ตลาดได้ในช่วงนี้ เพราะตลาดไทย efficient ขึ้น โดยมีเจ้ามือที่แท้จริงก็คือ กำไรของบริษัทจดทะเบียนนั่นละครับ



Wednesday, July 8, 2015

เสียวสันหลัง

สวัสดีครับ,

ต้องยอมรับครับว่าตลาดหุ้นทั่วโลกได้เข้าสู่ risk-off mode เป็นที่เรียบร้อย โดยประเด็นที่เป็นกังวลกันก็หนีไม่พ้นเรื่องปัญหาหนี้กรีซ และฟองสบู่ในตลาดหุ้นจีน ทั้งนี้ทั้งนั้นความกลัวได้สะท้อนมาถึงตลาดหุ้นไทยในรูปของความห่างระหว่างดัชนี SET50 futures กับ SET50 Index ที่เราเรียกว่าค่า basis ด้วยครับ ซึ่งหากดูราคาปิดเมื่อวานจะพบว่าดัชนี SET50 futures ซีรีย์ U มีราคาน้อยกว่า SET50 Index อยู่ถึง 18.93 จุด (เทียบกับในทางทฤษฎีที่ควรห่างเพียงประมาณ 7-8 จุด) ซึ่งถือว่ามากผิดปกติ โดยในวันนี้เปิดตลาดเช้ามาช่วงความห่างก็ยังคงอยู่ที่ระดับนั้น แปลว่าเราต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้นนะครับ



ถ้ายังจำกันได้ในบทความเมื่อเดือนก่อน ผมได้บอกถึงจุดชี้เป็นชี้ตายของตลาดหุ้นไทยในเชิงเทคนิคไปว่าอยู่ที่ 1460 ซึ่งเป็นเส้นแนวรับสำคัญสำหรับภาพระยะกลาง เพราะใช้เส้นลากยาวตั้งแต่ปี 2008  ..ผ่านไป 3 สัปดาห์ จุดชี้เป็นชี้ตายนี้ได้ถูกปรับขึ้นมาเป็น 1475 ครับ แต่นัยตรงนี้ไม่ได้แปลว่าหาก SET Index หลุดระดับ1475 ลงไประหว่างวันแล้วจะจบข่าวนะครับ การแกว่งหลุดระหว่างวันเกิดขึ้นได้หากดัชนีกลับมาปิดสิ้นวัน สิ้นสัปดาห์ หรือสิ้นเดือนได้เกิน 1475 ซึ่งนั่นแปลว่าภาพใหญ่จะยังไม่เปลี่ยน แนวโน้มขาขึ้นในกรอบนี้จะยังคงดำเนินต่อไป และจุด 1475 จะกลายเป็นจุดซื้อที่สำคัญสำหรับนักลงทุนผู้ใจกล้าด้วยครับ



อย่างไรก็ดีมี 2 สัญญาณเตือนในภาพใหญ่ที่น่าติดตามครับ สัญญาณแรกได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว นั่นคือ Negative Divergence (เส้นสีชมพู) ระหว่างดัชนี SET กับ RSI Indicator ซึ่งมันได้บอกเราว่าการขึ้นรอบก่อนนั้นเป็นของปลอม ดัชนีจะไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ซึ่งดัชนีก็ได้ปรับตัวลงมาจริงๆ ส่วนสัญญาณที่ 2 คือการไม่เกิดสัญญาณครับ นัยหมายถึงการที่ทั้งดัชนี SET และ RSI Indicator ทำ lower high เหมือนกัน แปลว่าการลงรอบนี้มีเสียวสันหลังแล้วละ จุดที่วัดกันก็คือจุด 1475 นั่นละครับ หากสิ้นเดือนนี้ยังปิดเหนือกว่าได้ ก็ยังไม่มีอะไรต้องกังวล

สุดท้าย อยากให้จับตาดูค่าเงินบาทเทียบ USD ไว้หน่อยครับ เพราะเฮียแกกำลังทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 6 ปี และกราฟกำลังฟอร์มตัวสวยเชียว แปลว่าโอกาสอ่อนต่อมีสูง ยังไงลองพิจารณาประกอบถึงบริษัทที่ได้รับผลดีผลเสียจากตรงนี้ด้วยนะครับ พึ่งระลึกไว้เสมอว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส แล้วชีวิตการลงทุนท่านจะได้สบายๆ ชิลๆ มากขึ้น โชคดีครับ



Wednesday, June 17, 2015

เส้นแนวรับสะท้านพิภพ

สวัสดีครับ,

วันนี้ผมตีเส้นง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ตีได้ลงกราฟ SET ระยะเดือน สิ่งที่พบก็คือ แนวโน้มขาขึ้นหลักที่สร้างกันมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2009 นั้นมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 1460 ครับ ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ควรจะหลุด เพราะไม่งั้นภาพขาขึ้น 6 ปีที่สร้างกันมาอาจเป็นอันต้องจบลง (นักลงทุนแนวเทคนิคคงรู้ว่าต้องทำอะไรหากหลุด) ถามว่าความเสี่ยงมีมากน้อยแค่ไหนที่ดัชนี SET จะหลุดแนวนี้ลงมา? ก็ตอบว่าพอมีบ้างครับ เพราะตลาดไม่ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ดังเช่นช่วงที่ผ่านมา (สังเกตุเส้นสีชมพู) แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดว่าถ้าหลุดแล้วจะเลวร้ายเหมือนในปี 2008 นะครับ (น่าจะเป็น sideways ไปก่อนมากกว่า) ส่วนตอนนี้ก็อย่าเพิ่งไปกังวลอะไรมาก เพราะตลาดยังยืนแถว 1500 ได้สบายๆ แถมใกล้ครึ่งปี เรื่อง Window dressing น่าจะช่วยจำกัด downside และผลักดันดัชนีขึ้นได้อีกหน่อย ลืมเรื่อง 1460 ไปก่อนตอนนี้ก็ยังได้ครับ



ถัดมา เป็นเรื่องของภาพใหญ่ทั่วโลก ผมจะหยิบเฉพาะประเด็นที่น่าสนใจมาสรุปให้ฟังละกันครับ คือเผอิญว่าเมื่อสัปดาห์ก่อน ทาง Morgan Stanley เค้าจัด Global Investment Seminar แล้วเชิญนักลงทุนอาวุโส 45 ท่าน มาทำแบบสำรวจ ผลปรากฎว่าในจำนวนสินทรัพย์ทั้งหมดท่านเหล่านั้นยังคงชอบหุ้นมากที่สุดเป็นสัดส่วนถึง 74% ในขณะที่ชอบตราสารหนี้ (ทั้งภาครัฐและเอกชน) น้อยที่สุด เป็นสัดส่วนเพียง 2%

เจาะลงไปนิดครับ ชอบหุ้น แล้วหุ้นที่ไหนดีละ? นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบหุ้นในยุโรปมากที่สุดครับ สาเหตุหนึ่งอาจจะเพราะเค้าเชื่อว่ากรีซจะได้รับการช่วยเหลือและไม่น่าจะถูกเตะออกจากยูโรโซนในปีนี้ (แต่ระยะ 3-5 ปีเค้าเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในยูโรโซนนะครับ) ถัดมาเป็นหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (รวมไทยแต่ไม่รวมจีน) ในขณะหุ้นอเมริกาชอบน้อยที่สุด สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย ที่คนส่วนใหญ่คาดการณ์กันว่าจะเป็นไตรมาส 3 ปีนี้ (แต่ถ้าขึ้นจริงเราก็ได้รับผลไปด้วยนะครับ)
ก็ประมาณนี้ หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ ช่วยในการตัดสินใจลงทุนของท่านได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ^^

Wednesday, June 3, 2015

ทางแยกอีกครั้ง

สวัสดีครับ,

ในฐานะนักค้าหลักทรัพย์ที่ดูแลสินค้าประเภทตราสารอนุพันธ์เป็นหลัก ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงตัวเลข net short ใน SET50 Index Futures ของนักลงทุนต่างชาติเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมาที่เป็นจำนวนถึง 23,373 สัญญา หลายคนค่อนข้างกังวลกับตัวเลขนี้ครับ เพราะว่ามันดูสูงผิดปกติในแง่ของจำนวนสัญญา แต่อย่าลืมครับว่า ตัวคูณดัชนีได้ถูกปรับลดลงจาก 1,000 บาท ไปเป็น 200 บาท ต่อ 1 จุด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 แปลว่าถ้าเทียบกับขนาดสัญญา SET50 Index Futures เดิมแล้ว ตัวเลข 23,373 ต้องถูกหาร 5 ลงไป อีกทั้งถ้าลองคำนวณออกมาเป็นตัวเงินจะพบว่ามูลค่าอยู่ที่ราว 4.6 พันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจอะไรถ้าเราเห็นฝรั่งเป็นยอดขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อวันเท่ากับตัวเลขนี้ ส่วนตัวแล้วผมกลับคิดว่าฝรั่งเค้าทำเพียงเพื่อ hedge positions มากกว่าเพราะในวันถัดมา (29 พฤษภาคม) มีการทำ MSCI Rebalancing ครับ



เอาละไขข้อสงสัยไปแล้ว วันนี้ผมเลยลองนำรูปที่น่าสนใจมาให้ดูครับ ด้านบนรูปซ้าย เป็นการชี้แนวโน้มให้เห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่ Flows (แท่งสีน้ำเงิน) เป็นยอดขายสุทธิ ตลาดหุ้น (เส้นสีส้ม) ก็มักจะมีแนวโน้มที่จะลดลงตามซึ่งพอหันมามองรูปขวาแล้วก็น่ากังวลใจครับ เพราะ Flows ที่เข้าตลาดเกิดใหม่กับตลาดพัฒนาแล้วได้มาพบกันที่ทางแยก (อีกครั้ง) ซึ่งประเมินเบื้องต้นก็มีแนวโน้มที่เส้นสีแดงนั้นจะตัดเส้นสีดำลงมา ในขณะที่เส้นสีดำน่าจะยืนยื้อออกด้านข้าง นั้นหมายความว่า Flows น่าจะค่อยๆ ออกจากตลาดเกิดใหม่ (รวมทั้งไทย) ต่อไป โดยหมุนมาเข้าตลาดพัฒนาแล้วแทน แต่ก็คงเป็นไปด้วยอัตราเร่งที่ลดลงนะครับ (จากกราฟสีดำก่อนหน้าที่ขึ้นมาค่อนข้างชัน) ตรงนี้เลยพอจะสรุปคร่าวๆ ได้ว่าภาพตลาดเกิดใหม่จากนี้ไปคงจะไม่ค่อยสดใสนัก ส่วนตลาดพัฒนาแล้วน่าจะทรงๆ หรือซึมขึ้นต่อไปได้



อย่างไรก็ดี หากลงเจาะลงมาเฉพาะในตลาดหุ้นไทยแล้ว จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติได้เริ่มขายหุ้นไทย (รอบหลัง) ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2013 และก็ขายมากกว่าซื้อมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็สอดคล้องกับกราฟรูปขวาด้านบน แต่ที่น่าสนใจก็คือนักลงทุนสถาบันในประเทศครับ ที่พลิกมาเป็นผู้ซื้อสุทธิที่แข็งแกร่งที่ช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยให้ยืนเท้งเต้งได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้ QE จากอเมริกาจะค่อยๆ ลดจนหมดไปเมื่อปลายปีก่อน ผมเลยประเมินว่าทุกครั้งที่ตลาดหุ้นไทยลงแรงๆ นักลงทุนสถาบันในประเทศนิละครับที่จะเข้ามาช่วยประคองไว้ ซึ่งคงทำให้ตลาดหุ้นไทย resilient (ฟื้นไข้ได้เร็ว) กว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตรงนี้ก็น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยวิ่งอยู่ในกรอบ sideways ไปซักพักจนกว่าจะมีสัญญาณดีใหม่ๆ เพื่อดันดัชนีขึ้นไปต่อ หรือมีสัญญาณร้ายใดที่รุนแรงจนทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศไม่เชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นไทยครับ

Wednesday, May 20, 2015

ทรงยังดี

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นไทยกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนอีกครั้ง โดยรอบนี้มาพร้อมกับ 2 สัญญาณทางเทคนิค คือ 1. Positive divergence และ 2. Double bottom พอเห็นแบบนี้แล้วเลยพอจะเดาได้ครับว่าดัชนี SET น่าจะมี downside ในรอบนี้แถวๆ 1480 จุด ซึ่งเป็น low ที่ได้ทำไว้เมื่อ 12 พฤษภาคม ในขณะที่ upside ระยะสั้นน่าจะอยู่แถว 1540 ซึ่งเป็น Gap ที่เปิดไว้เมื่อ 16 เมษายน



ในมุมของตราสารอนุพันธ์ จะเห็นว่าในช่วงนี้เจ้า SET50 futures ตัวล่าสุดเทรด discount ดัชนี SET50 อยู่เพียงไม่กี่จุด หรือบางครั้งก็ขึ้นมาเป็น premium ด้วยซ้ำ แบบนี้มองมุมหนึ่งก็สบายใจได้เปราะหนึ่งครับว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าตลาดไม่ได้เป็นขาลง (เพราะโดยปกติแล้ว SET50 futures จะ discount ดัชนี SET50 อยู่ถึง 5-7 จุด)

ทีนี้ในแง่ของผลประกอบการ ก็ทราบกันไปแล้วครับว่าไตรมาสหนึ่งปีนี้กำไรของบริษัทจดทะเบียนโต 2%YoY และ 235%QoQ ซึ่งรวมๆ แล้วก็ถือว่าดีกว่าคาดนะครับ แต่หลักๆ ก็เป็นเพราะจากฐานที่ต่ำนั่นละ แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่กำไรผิดคาดไปถึง 38.8% รอบนี้ที่ดีกว่าคาดที่ 6.5% ก็ถือว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยกลับมาอยู่ในระดับที่ใช้ได้นะ โดยทีมวิเคราะห์ของบัวหลวงเราก็ยังคงเป้า SET สิ้นปีที่ 1670 อิง PE ที่ 16.5x และกำไรปี 2015 โดยระยะสั้นคีย์สำคัญที่จะผลักดันดัชนีให้ไปต่อคงขึ้นกับความชัดเจนของโครงการภาครัฐครับ


Wednesday, May 6, 2015

สนามประลองยุทธ์

สวัสดีครับ,

ชาร์จพลังไปเต็มที่หลังจากหยุดยาว 5 วันเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือน กลับมาสู้กันต่อครับ โดยช่วงนี้บอกเลยว่าตลาดหุ้นไทยเปรียบเสมือนสนามประลองยุทธ์ของระหว่างมุมแดงซึ่งก็คือหุ้นในกลุ่มพลังงาน (สัดส่วน 1/5 ของ SET market cap) และมุมน้ำเงินซึ่งก็คือหุ้นในกลุ่มธนาคาร (สัดส่วน 1/6 ของ SET market cap) ใครจะชนะยังไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือตลาดหุ้นไทยคงไม่ลงแรงง่ายๆ แน่หากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับนี้ (Brent 68 เหรียญต่อบาร์เรล) และคงไม่ขึ้นง่ายๆ จนกว่าจะเห็นแนวโน้มโครงการลงทุนภาครัฐที่ชัดเจนที่จะช่วยส่งผลดีต่อภาพรวมโดยเฉพาะหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ยังไงลองจับตาดู GDP ไตรมาส 1 ปีนี้ที่จะประกาศในวันที่ 18 พ.ค.นี้ประกอบด้วยก็ดีครับ



เอาละ ปลีกหนีจากสภาพตลาดที่ทำนายยาก มาดูรูปที่สีสันสวยงามกันครับ ช่องบนที่มีเส้นสีขาวและสีเหลืองหมายถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและของสหรัฐฯ ตามลำดับ จะเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ล่าสุดเหลือ 1.50% นั้นคือระดับที่เกือบต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ (เคยต่ำสุดที่ 1.25%) และต่ำที่สุดในอาเซียนตอนนี้แล้ว แปลว่าโอกาสที่ดอกเบี้ยจะลงกว่านี้ถ้ามีก็เหลือไม่มากแล้วครับ กอปรกับที่ล่าสุดท่านรัฐมนตรีคลังฯ สมหมาย ภาษี ได้ออกมายืนยันว่าระดับอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% นั้นเหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันแล้ว เพราะงั้นผมก็เชื่อว่าเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในเชิงนโยบายการเงินนั้นน่าจะเหลือไม่มากละ ที่เหลือก็คือปล่อยให้มันทำงานไปแล้วรอดูผลลัพธ์ แต่ที่น่ากังวลก็คือเมื่อใดก็ตามที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย (หลังจากคงไว้ที่ระดับเกือบศูนย์มา 6 ปีกว่า) นั่นจะทำให้ gap ระหว่างดอกเบี้ยไทยกับดอกเบี้ยสหรัฐฯ แคบลงไปอีก นั่นหมายถึงเงินที่จะไหลเข้ามาตลาดการเงินในประเทศเรานั้นมีแต่จะน้อยลง

ผลกระทบแน่นอนครับ ถ้าเงินไม่เข้า ก็คือออก แล้วก็น่าจะยิ่งออกมากขึ้นเพราะแบงค์ชาติเองเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ได้ผ่อนคลายมาตรการทุนเคลื่อนย้ายให้คนในประเทศสามารถนำเงินออกนอกประเทศได้มากขึ้น (ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนถึง 2.2% นับจากการประชุมกนง.เมื่อสัปดาห์ก่อน) ตรงนี้มองในมุมหนึ่งก็คือเป็นการช่วยเศรษฐกิจไทยในระยะกลาง-ยาว เพราะการที่ค่าเงินบาทอ่อน จะช่วยส่งออก (65% ของ GDP) ท่องเที่ยว (10% ของ GDP) และแก้ปัญหาเงินฝืดได้ (3 เรื่องที่รุมเร้าเศรษฐกิจไทยอยู่ในขณะนี้) แต่ในระยะสั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าค่าเงินบาทที่อ่อนจะเหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าเงินกำลังไหลออกนอกประเทศนะ และอาจทำให้นักลงทุนต่างชาตินำเงินออกจากตลาดหุ้นไทยไปด้วยได้ แต่ก็อย่าได้กังวลมากไปครับ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ค่าเงินบาทอ่อนได้ที่และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยจริงๆ แล้ว ผมเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกครั้งอย่างแน่นอน

Saturday, May 2, 2015

ดอกเบี้ยต่ำ ค้ำจุนหุ้น ?

สวัสดีครับ,

ช่วงวันหยุดยาว ผมชอบอ่านหนังสือและท่องเน็ตหาข้อมูลต่างๆ ไปเรื่อย แล้วก็เหลือบไปเห็นกราฟหุ้นญี่ปุ่นช่วงสิ้นปี 1989 ครับ ที่ดัชนี Nikkei ขึ้นไปถึง 39,000 จุด ดูแล้วก็ทำให้คิดถึงดัชนี SET บ้านเราในบางมุม








































ช่วงนั้นค่า PE ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากกว่า 50 เท่า แต่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็แย้งว่ายังไม่แพง โดยให้เหตุผลว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่น "ไม่เหมือนที่อื่น" เพราะหุ้นส่วนใหญ่ถือโดยนักลงทุนสถาบันหรือบริษัท ซึ่งคงไม่ขาย (ปัจจุบันหุ้นไทยก็ถือโดยสถาบันในประเทศ และบริษัทประกันเยอะ ซึ่งหลายท่านก็เชื่อว่าคงไม่ขายหนักเช่นกัน เพราะแนวทางการลงทุนที่เป็นแบบ VI) เหนือสิ่งอื่นใดอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นตอนนั้นต่ำมาก เพียง 1-2% ต่อปีเท่านั้น (ไทยเราตอนนี้ก็ 1.50% ครับ และก็มักจะมีคำกล่าวที่บอกว่า หุ้นยังไงก็ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ก็ดอกเบี้ยมันต่ำซะขนาดนี้ จะให้ไปลงทุนอะไรละ!?) ดังนั้นการลงทุนในหุ้น PE 50 เท่าไม่ถือว่าแพง เพราะมีผลตอบแทนกำไรปีละ 2% เท่าๆ กัน (ไทยเราดีกว่า PE ปัจจุบัน 21 เท่า, ปันผล 2.86%)

แต่นั่นเป็นจุดจบของตลาดหุ้นญี่ปุ่นครับ เพียงไม่ถึงหนึ่งปีทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่น ทั้งราคาที่ดินลงเละ ซึ่งจากกราฟจะเห็นว่า "นรกอเวจี" มีจริง (บนดินนี่ละครับ) โดยมันไปสิ้นสุดที่ปี 2003 ที่ดัชนี Nikkei ลงไปถึง 8,000 จุด รวมแล้วลดลงประมาณ 80% จากยอดเขา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ "ทศวรรษที่หายไป" ของประเทศญี่ปุ่น

สาเหตุนั้นมีงานวิจัยหลายที่ให้ไว้ครับ แต่ข้อสรุปก็คือเป็นเพราะการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่ยืดเยื้อยาวนานเกินไป ซึ่งความจริงแล้ว BoJ ได้ส่งสัญญาณจะ Tightening Monetary policy ตั้งแต่ปี 1987 แล้ว เพราะเศรษฐกิจเริ่มขยายตัว แต่ก็ได้ยืดออกไป ยืดออกไป เพราะความไม่แน่นอนต่างๆ (ส่วนหนึ่งเพราะผลจากค่าเงินเยนที่แข็งขึ้นหลังจากเหตุการณ์ Plaza Accord ในปี 1985 ด้วย) ตรงนี้ละครับเลยทำให้ราคา Asset รวมถึงหุ้น มันปูดขึ้นเรื่อยๆ ปูดขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นฟองสบู่ เพราะนักลงทุนเชื่อมั่นเหลือเกินว่ายังไง BoJ ก็จะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป (คล้ายๆ กับ Fed ในยุคนี้ไหมครับ? ยืดเอาๆ) ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าราคาหุ้นหรือ Asset นั้นมันเข้าสู่จุด "New Normal" แล้ว จะเอาไปเปรียบเทียบกับในอดีตหรือที่อื่นไม่ได้ แต่แล้วในที่สุดมันก็แตกโพละ

จนถึงบรรทัดนี้ผมไม่อยากจะเขียนต่อละครับ (เดี๋ยวจะยาวไปละไม่มีคนอ่าน อิอิ) ข้อสรุปของผมก็คือ ความมั่นใจที่มากเกินไปของคนส่วนใหญ่นิละที่น่ากลัว ความจริงผมเองก็ไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นไทยในตอนนี้จะเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นญี่ปุ่นในตอนนั้นได้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมก็ชอบศึกษาประวัติศาสตร์และนำมาคิดต่อครับ เพราะถึงมันจะไม่เหมือนกันเป๊ะ แต่ก็พอจะมีเค้าลางอยู่บ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่า แม้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำติดดินยังไง แต่หุ้นก็ยังลงเละได้ แต่นั่นก็อาจจะเอามาใช้กับยุคนี้ไม่ได้นะครับ เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างมัน "ไม่เหมือนกัน"

Wednesday, April 22, 2015

คนหนุ่มสาว

สวัสดีครับ,

ตลาดหุ้นกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานำโดยกลุ่มพลังงานเนื่องจากราคาน้ำมันที่เหมือนจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง (อย่างน้อยก็ในระยะสั้น) ซึ่งพอไปดูตัวเลขแล้วก็พบว่าน่าจะเป็นนักลงทุนต่างชาตินิแหละครับที่ช่วยกันถีบหุ้นพลังงานขึ้นมากันยกใหญ่ เพราะตัวเลขเป็น Net buy ในตลาดหุ้นไทยถึง 9.8 พันล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว



แต่หากไปดูตัวเลขทั้งเดือนเมษา (MTD) จะพบว่าพวกเราเองนิละครับที่ขายเอาๆ เพราะนักลงทุนรายย่อยเป็นยอด Net sell ถึงกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ผู้ที่เป็น Net buy เกลี่ยๆ กันไปคนละ 8 พันกว่าล้านบาท ระหว่างนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบันและพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ ที่ต้องระวังก็คือพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์นิละครับที่กลับมาซื้อกว่า 8 พันล้านบาทในเดือนนี้ (เป็นยอด Net buy ทุกวัน!) แต่นั่นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขาขายหนักในเดือนที่แล้วเกือบ 9 พันล้านบาท (กุมภา -1,631.09 ล้านบาท; มกรา +8,260.48 ล้านบาท) ดังนั้นก็เป็นไปได้ว่าเค้าอาจจะกลับมาขายอีกครั้งในเร็วๆ นี้เพราะพวกเค้าไม่ค่อยชอบที่จะถือหุ้นนานนักหรอก



จะว่าไปแล้วเหมือนผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับตลาดในช่วงนี้เท่าไหร่นักครับ (และก็ยังไม่เชื่อว่าราคาน้ำมันจะขึ้นต่อได้แรงติดจรวดในเร็ววันนี้) ความจริงก็เพราะว่าดัชนี SET ได้ขึ้นมาพอสมควรแล้วจากจุดต่ำสุดที่ 1485 เมื่อสิ้นเดือนมี.ค.จนถึง ณ ระดับปัจจุบันที่ 1567 ก็ราว 5% กว่าในขณะที่ยังไม่มีพัฒนาการของกำไรบริษัทจดทะเบียนมากเท่าใดนัก พอดีกับที่เริ่มเห็นนักลงทุนไทยบางส่วนเริ่มที่จะหาช่องทางกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศมากขึ้น (เงินบางส่วนอาจไหลออก) ตีความได้นัยหนึ่งว่าเค้าคงเริ่มเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้น่าดึงดูดเท่าในอดีตแล้ว อีกทั้งการที่เทรนด์คนวัยทำงานอายุ 20 ปลายๆ ถึง 30 ต้นๆ (Gen Y) ที่เริ่มลาออกจากงานมีมากขึ้นเพื่อมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว ผมเลยค่อนข้างสงสัยว่าหากภาคธุรกิจจริงคนหนุ่มสาวทำงานน้อยลงเพราะหันไปหวังรวยจากการลงทุนหรือเล่นหุ้นมากขึ้นแล้ว ผลิตภาพที่แท้จริง (Productivity) คือหมายถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียน จะโตได้แรงและยั่งยืนได้อย่างไร (ยิ่งบ้านเรามีปัญหาขาดแคลนแรงงานอยู่ด้วย) ซึ่งสุดท้ายแล้วถ้ากำไรของบริษัทจดทะเบียน (ซึ่งเป็นเจ้ามือที่แท้จริงของหุ้น) ไม่ไปไหน ราคาหุ้นในระยะยาวก็คงขึ้นได้ยาก เพราะลำพังสภาพคล่องเพียงอย่างเดียวก็คงหนุนหุ้นได้ไม่นาน และสุดท้ายต้องมีวันหมด แล้วพวกที่ลาออกจากงานดังกล่าวสุดท้ายก็อาจต้องกลับมาทำงานใหม่ เป็นวงจร ก็เป็นได้ครับ