Wednesday, June 19, 2013

หัวใจของการลงทุนสไตส์ไวไว

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2556

ช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องยอมรับครับว่า นักลงทุนสไตส์ VI (Volatility Investors) หรือไวไว (คู่แข่ง Value Investors) คงไม่แคล้วกุมขมับกันเป็นแถวๆ ผมเองในฐานะที่คอยรับ order ลูกค้าสถาบันฝรั่ง ก็เลือดซิบๆไม่แพ้กันครับ มีคาดการณ์ผิดบ้างถูกบ้างตามประสา แต่หัวใจสำคัญคือเราต้องถูกมากกว่าผิด และรอบที่ผิดต้องเจ็บตัวน้อยที่สุด

ความจริงผมเคยเขียนไว้ในบทความเมื่อกลางปีที่แล้วว่า เราต้องมองเทรนใหญ่ให้ออก แล้วเทรดโดยยึดเทรนใหญ่เข้าไว้ (กำลังพูดถึง futures นะครับ) หมายถึง ถ้าเทรนใหญ่เป็นขาขึ้น การหาจังหวะ long เมื่อตลาดย่อ ควรจะทำกำไรได้ดีกว่าการหาจังหวะ short เมื่อตลาดเด้ง ในทางกลับกันหากมองว่าเทรนใหญ่เป็นขาลง การหาจังหวะ short เมื่อตลาดเด้ง ควรจะทำกำไรได้ดีกว่าการหาจังหวะ long เมื่อตลาดย่อ

แน่นอนครับ คำถามที่ตามมาหลังจากจบย่อหน้าที่สองก็คือ แล้วจะมองเทรนใหญ่ให้ออกอย่างไร? ตรงนี้ขึ้นกับมุมมองของแต่ละคนบวก skill ครับ ตอบยาก แต่ผมก็พอจะมีเครื่องมือแนะนำในการคิดง่ายๆ อาทิ การตี Trend line จากจุดต่ำสุดของช่วงหนึ่งไปยังจุดต่ำสุดของอีกช่วงหนึ่ง หรือตี Trend line จากจุดสูงสุดของช่วงหนึ่งไปยังจุดสูงสุดของอีกช่วงหนึ่ง แล้วยึดเส้น Trend line นั้นเป็นหลัก หากมีการหลุดหรือทะลุอย่างมีนัยสำคัญ นั้นหมายถึง Trend อาจเปลี่ยนไปแล้ว โดยช่วงเวลาที่ว่าอาจจะเป็น 6 เดือน 1 ปี 2 ปี หรือ 5 ปีก็ได้ครับ

สุดท้ายเมื่อพูดถึงเจ็บตัวน้อยที่สุดก็ต้องย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นครับว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการลงทุน (รวมถึงเก็งกำไร) คืออะไร สำหรับผมคือการรักษาเงินต้น นักลงทุนส่วนใหญ่มักแสวงหาวิธีที่จะทำอย่างไรให้กำไรมากที่สุด แต่มักลืมเรื่องสำคัญอย่างทำอย่างไรให้ขาดทุนน้อยที่สุดหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น นั่นละครับ ผมกำลังพูดถึงกฎของการ cut loss (โดยเฉพาะในการเทรด futures) ให้จำไว้ว่าเข้าด้วยเครื่องมือหรือสัญญาณอะไร ก็ให้จบด้วยสัญญาณนั้น เช่น การเข้าซื้อเพราะเกิดสัญญาณซื้อจาก MACD หาก MACD เปลี่ยนทิศไม่เป็นตามที่คาดและส่งสัญญาณกลับลง เราก็ต้อง cut เลือดซิบๆก็ต้องยอม หรือหากเปรี้ยวเข้าโดยไม่ใช้สัญญาณอะไรเลย ก็ควรมีตัวเลขในใจไว้ครับว่า ขาดทุนได้ไม่เกินกี่ % (ผมแนะนำตัวเลข 2 ตัว คือ 7% หรือ 10%) ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือตราสารอนุพันธ์ หากจุดประสงค์หลักคือการเก็งกำไร ต้องห้ามละเลยเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดนะครับ เพราะไม่ว่าตลาดไทยจะอินดี้เพียงใด ถ้าเราอยู่ในระเบียบวินัยเคร่งครัด คนที่หัวเราะคนสุดท้ายย่อมต้องเป็นเรา ฮ่าๆ เอิ๊กๆ


Thursday, June 13, 2013

Idiot wave

Hello,
Written on Jun 14, 2013

According to Leonardo Fibonacci’s theory, the SET might bounce to touch the 1465.72 level this round, which equals to 61.8% (see pic1). A return of foreign investors to buy USD45 million in the stock market along with the strengthening baht to 30.71 this morning from yesterday’s high of 31.08 are signaling that inflows are coming back and downside could be protected at the moment. This game is not too complicated, I think. Just follow the flow, enjoy, and beat it. On the other hand, if you count the waves starting from Oct 2011 (flooding time), the SET is now establishing wave B (see pic2) and it could extend and end at 1465.72 due to the Fibonacci number mentioned above. Nonetheless, if wave A hasn’t finished yet, the SET could then dive lower to 1246 level, which I don’t think it will happen soon. Lastly, apology for my headline spelling. It should be “Elliott wave” not “Idiot wave”.




Wednesday, June 12, 2013

TFEX กับสัญญาณเตือนสั้นๆ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 12 มิถุนายน 2556

ในฐานะ TFEX Trader ผมไม่ค่อยได้บรรยายถึง TFEX เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเขียนถึงภาพตลาดโดยรวมซะมากกว่า เพราะว่าสุดท้ายแล้วผมก็เชื่อเหลือเกินว่า Indication ของการเทรด TFEX ที่ดีที่สุดคือ ตัว Spot (SET50 Index) ไม่ใช่ Futures เพราะนั่นคือของจริง และถูกควบคุมยากกว่าตัว Futures เพียวๆ (manipulate SET50 futures ตัวเดียวเทียบกับ manipulate หุ้นใน SET50 50 ตัว อะไรหมูกว่ากันละโจ้ย) อย่างไรก็ดี วันนี้จะยกตัวอย่างง่ายๆให้เห็นซักเล็กน้อยครับ เป็นการเปรียบเทียบ Basis (Futures – Spot) จะได้พอเป็นสัญญาณเตือนสั้นๆ ใช้ดูประกอบกับเครื่องมือ Technical อื่นๆ แบบพอไปวัดไปวาได้


จากรูปมุมซ้ายล่าง (ดูจากซ้ายไปขวา) จะเห็นว่า Basis ในช่วงเดือนเมษามีแนวโน้มแคบลงเรื่อยๆครับ (พื้นที่สีแดงเล็กลง --> ราคา Futures เริ่มไล่ชิด Spot) และกลับมาเป็นบวกชัดเจนในเดือนพฤษภา (พื้นที่สีเขียว --> ราคา Futures แซง Spot) ซึ่งตลาดหุ้นก็ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1649.77 ในวันที่ 21 พฤษภา ตามสัญญาณ แต่สุดท้าย นั่นเป็นการสับขาหลอกครับ เพราะค่า Basis กลับวกลดช่วงบวกลง แนวโน้มเป็นขาลง และเพิ่มพื้นที่สีแดงใหม่ และนั่นก็นำมาสู่หายนะลบ 76 จุดเมื่อวาน โดย Basis หล่นโพละไปที่ -10.23 อย่างไรก็ดี ณ ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ Basis แคบลงไปเยอะครับ (อยู่ที่ราว -2) มีเผลอเป็นบวกบ้างระหว่างวัน ทำให้พอเดาเล่นๆได้ว่า Downside ในระยะสั้นอาจจำกัดก็ได้นะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น วิธีนี้ผมใช้ดูประกอบกับสัญญาณอื่นหลายๆอย่างด้วยครับ เช่น Fair value, Volume, Open interest, หรือ Technical Indicators อื่นๆ  สิ่งที่ผมต้องย้ำคือ อย่ายึดติดกับสัญญาณใดสัญญาณหนึ่งไปตลอดครับ เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เครื่องมือที่ใช้ก็อาจต้องเปลี่ยนตาม กิ้งก่าเปลี่ยนสีได้ไวฉันใด Trader ก็ต้องปรับตัวให้ทันฉันนั้นครับ

Wednesday, June 5, 2013

Unlovable

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 5 มิถุนายน 2556

สัปดาห์นี้จะเริ่มต้นด้วยเรื่องอะไรก่อนดี ถ้าอินเทรนวัยสะรุ่นหน่อยก็ต้องนี่เลย -- ข่าว Moody’s ขู่เตรียมลดอันดับเครดิตประเทศไทยจากขาดทุนจำนำข้าวสูงกว่าคาด ซึ่งถ้าหากลดจริงคงไม่ดีแน่เพราะนั้นหมายถึงต้นทุนทางการเงินของประเทศที่สูงขึ้น ซึ่งนั่นก็จะส่งผลกระทบไปถึงภาคเอกชนตามลำดับครับ เอ.. บางท่านอาจจะงงว่า Moody นิอะไร อารมณ์เสียรึป่าว? อย่ากระนั้นเลยทาเคชิ เดี๋ยวจะออกทะเลไปไกล.. Moody’s เป็นสถาบันจัดอันดับความเชื่อถือชื่อดัง (ไม่ใช่พันกร!) แห่งหนึ่งครับ ทำหน้าที่ให้บริการจัดอันดับคุณภาพและความเสี่ยงของตราสารหนี้ของบริษัท องค์กร จนถึงระดับประเทศ โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงาน อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ฐานะทางการเงิน ขนาด หรือปัจจัยเสี่ยง เป็นต้น ซึ่งในประเทศไทยมีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit rating agency) ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. 2 แห่งครับ ได้แก่ บริษัท ทริสเรตติ้ง จำกัด (TRIS) และบริษัท ฟิทช์เรตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (Fitch) แต่ถ้าในระดับโลกต้องแถมอีก 2 แห่งครับ คือ Moody’s และ S&P’s


สำคัญคือระดับเครดิตประเทศ หรือบริษัทก็ตาม หากมีอันดับอยู่ที่ Baa3 หรือ BBB- อาจต้องให้ความระมัดระวังดูแลเป็นพิเศษหน่อยครับ เพราะถ้าเกิดปัญหาใดๆที่กระทบกับความสามารถในการชำระหนี้ปุ๊ป อันดับเครดิตโดนสอยปั๊ป จะกลายเป็น Non-Investment Grade หรือ Junk ทันที อะโจ๊ะ อ่านมาถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะสงสัยแล้วว่า แล้วประเทศบ้านเกิดเมืองนอนเรา อันดับเครดิต ณ บัดนาวอยู่ที่เท่าไร? Moody’s ให้ Baa1 และ S&P ให้ BBB+ ครับ Ok!


ด้านสถานการณ์ในตลาดหุ้นก็คงไม่เร้าใจน้อยไปกว่าสถานการณ์ในตลาดอนุพันธ์ครับ ฝรั่งขายหุ้นไทยวันละสี่ห้าพันล้านบาทหลายวันติดต่อกัน เค้าไม่รักเราแล้วหรือ หรือเพราะรักไม่ได้ หรือเพราะหุ้นเราไม่ถูกแล้ว? จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่นี่คงไม่ใช่สัญญาณดีเท่าไหร่ละครับ เพราะนอกจากเค้าจะขายหุ้นไทยแล้ว เค้ายังขายตราสารหนี้เป็นมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาทเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา (จบกันทีที่ซื้อติดต่อกันมากว่า 19 เดือน) ค่าเงินบาทก็เลยอ่อนค่าอย่างที่เห็นละครับ ถ้าจำกันได้ ผมได้เสนอทางเลือกไปในบทความเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนในตอน 'อกหัก' ว่าอาจจะ short futures เพื่อ hedge พอร์ตการลงทุนของท่าน จากวันนั้นถึงวันนี้ดัชนีลงมาร่วม 100 จุดแล้วละครับ ดังนั้นหากท่านใดทำตาม แม้จะขาดทุนหุ้นไปบ้าง แต่ก็มีกำไรจาก futures มาโป๊ะ คงพอไหวกระมัง


Monday, June 3, 2013

Significant Issues U Shouldn't Miss

Hello,
Written on Jun 3, 2013

While I was away, there were some significant issues being announced which I shouldn’t miss to mark. Firstly, on May 29, the MPC finally decided to cut its policy rate by 25 bps, though it was in line with the street, the market wasn’t impressed and twisted down relentlessly and subsequently. Why? Because this time was not just a cut. The BOT also came up with the two endorsed regulations related to capital outflows and inflows (subjected for MOF approval), e.g. requirement to do fully-hedge, liberalizing capital outflows up to USD50 million. This is the felon to push market sentiment in flimsy mood and partially stop capital inflows as it has signaled to make things difficult for foreigners if they want to bring more money to Thailand. In addition, export numbers in April, which was initially declared at +10.52%, was revised down to merely +2.89%, due mainly to incorrect figures from Hong Kong’s exports. Thailand’s Manufacturing Production Index (MPI) in April also nosedived to its lowest level in 16 months to 159.16, a reduction by 3.8%, owing to the baht appreciation. In a nutshell, all these are the risks that could threaten the Thai economy going forwards, apart from costly valuation whilst I mentioned to you before (17% premiums of P/E to the seven-year average). That’s why the central bank left the future course of policy action open ended in their latest statement, pinpointing that “the MPC will closely monitor development of the Thai economy, financial stability risks as well as capital flow situation, and stand ready to take appropriate action as warranted”.

Well, to make it clearer, let’s see the numbers. Thailand last week published net foreign outflows of USD488 million in equities, making it the top note weekly net outflows since Sept 2011. Furthermore, in the Thai bond market, offshore investors turned new sellers of USD1 billion in May, ending a record of 19 consecutive months of net buying. So you can see significant differences here. The exodus of foreign investors could be a sphere eclipsing upside of the SET index going forward. I have been warning you since the SET was at high of 1648 (on May 22). Deserving notice that Thailand is the only country in TIP which has remained net foreign outflows in equities since the onset of this year (USD738 million). Indonesia +USD1236 million, whereas the Philippines +USD1475 million.

Wednesday, May 29, 2013

แมลงหวี่ มีพลัง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 29 พฤษภาคม 2556

ปลายสัปดาห์นี้ผมลาพักร้อนเพื่อเก็บข้อมูล จึงขอเปิดตัวด้วยรูปและปิดตัวด้วยรูป แบบเบาๆ


รูปแรกจะเห็นว่าฝรั่งเป็นยอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นทั้ง Philippines และ Indonesia (สมาชิก 2 ใน 3 ของกลุ่ม TIP) ต้นแต่ต้นปีจนถึง ณ บัดนาว มูลค่าก็หนาตาใช้ได้เลยละครับ... ลองมาดู Thailand (1 TIP ที่เหลือ) กัน


อ่าวไหง Thailand ยอดสุทธิของฝรั่งตั้งแต่ต้นปีกลับเป็นลบซะงั้น (ต่างจากเพื่อนบ้าน 2 แห่งอย่างชัดเจน) เอ แบบนี้ตีความได้ว่าไงน้า แสดงว่าที่ตลาดขึ้นมาแต่ต้นปีร่วม 15% ใครเป็นคนลากละนิ... แมลงหวี่รึป่าว! ฮ่าๆ ที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือถ้าไปดูยอดในฝั่งตลาด bond ไทยแล้ว ฝรั่งกลับเป็นยอดซื้อสุทธิแบบมหาศาล (ค่าเงินบาทมันถึงแข็งขึ้นจากต้นปี) เออ ฝรั่ง ซื้อ bond ขาย stock อ่ะ เจ้ย!?... ดูรูปต่อไปดีกว่าครับ


รูปนี้รูปสุดท้ายแล้วละครับ จัดให้เบาๆ เป็นการสรุปมูลค่าพื้นฐานของแต่ละ sector ในตลาดหุ้นไทย โดย Morgan Stanley ขาโหด ชอบกลุ่มไหน growth ดี P/E หล่อ ก็จัดไป แน่นกลุ่มไหน มูลค่าแพง ก็ยกออกไป... โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ!

Wednesday, May 22, 2013

อกหัก


สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 22 พฤษภาคม 2556

ช่วงนี้ตลาดบ้านเราถูกกระทุ้งด้วยปัจจัยเยอะแยะมากมาย ไหนจะเรื่องที่ -- INTUCH ที่ถูกประกาศว่าจะเอาเข้าดัชนี MSCI Thailand ไปเมื่อวันก่อน แต่แล้วก็ต้องอกหักเพราะปริมาณ Free Float ในตลาดน้อยกว่า 1.8 เท่าของ Market Cap ซึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำของดัชนี MSCI Global Standard จึงได้มีการประกาศใหม่เช้านี้ว่าไม่เอาแล้ว กระต๊าก! ไงละครับ หุ้น INTUCH ก็ลงตาม sentiment ไปตามระเบียบ แต่ก็อย่าเพิ่งน้อยใจไป เพราะป๋า ADVANC ก็ยังอยู่ใน MSCI ไม่ได้ไปไหนอะนะ ระยะยาวก็ว่ากันไปตามพื้นฐานอะแหละ -- BEC ที่เจ้าของใจดีขายหุ้นชุดใหญ่ออกมาเมื่อคืนราว 4% ที่ราคา 66 บาท ทำให้หลงจ้งตระกูลมาลีนนท์ถือหุ้นเหลือเพียง 47% เท่านั้น.. จำได้มั้ยครับ เมื่อ 3 ปีก่อนตระกูลนี้ก็ขายออกมา 5% ที่ราคา 35 บาท (แสดงว่าในรอบ 3 ปี ตระกูลมาลีนนท์ลดจำนวนถือครองหุ้นลงถึง 9%) ตรงนี้ตีความได้สองแง่ครับว่า เจ้าของก็ขายหมูเป็นนะ หรือ ธุรกิจดิจิตอลทีวีมันเริ่มมีการแข่งขันสูงมากขึ้นทุกทีขอโกยขายทำกำไรก่อนบ้างดีกว่า โฮะๆ  


นอกจากนี้ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสหนึ่งที่เพิ่งประกาศออกมาเมื่อวาน (โต 5.3% vs คาด 6.0%) แม้ผิดหวังไปบ้าง แต่ตลาดหุ้นก็หาได้ลงไม่ เพราะนักลงทุนได้คาดหวังต่อไปว่าแบงค์ชาติจะลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อยก็ 0.25% ในวันที่ 29 พค.นี้ ทำให้เป็นผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ฮึ่ม! ก็เป็นไปได้นะ.. อีกทั้งคุณกิตติรัตน์ก็เพิ่งยืนยันว่า สัปดาห์นี้คงได้เห็นมาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งในการดูแลค่าเงินบาทแน่ๆ แต่ขออุบไว้ก่อน อุ๊บส์ -- ใจเย็นๆละครับพี่น้องครับ เพราะผมว่าไม่ว่าเหรียญจะออกหน้าไหน มาตรการนั้นน่าจะมีผลกระทบโดยตรงที่ตลาดตราสารหนี้มากกว่าตลาดหุ้นของพวกเรา แต่ในเชิงจิตวิทยา แน่นอนคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าใครใจไม่เปรี้ยวพอแถวนี้ก็ทยอยลดพอร์ตก่อนก็ได้นะครับ เน้นเลือกหุ้นเป็นตัวๆ หรือจะ short futures เพื่อ hedge พอร์ต (ย้ำเพื่อ hedge) แล้วไปว่ากันใหม่อีกทีหลังทุกอย่างคลี่คลายแล้วก็ได้นะครับนะ  

Thursday, May 16, 2013

The Best in AxJ !?

Hi,

Morgan Stanley launched a new report this morning saying that they are concerned over the persistent upward pressures on asset prices in some parts of the AxJ region and signs of weakening productivity of incremental credit. Leverage, though not a concern, continues to rise (see pic1) due mainly to weak growth and QE in the developed world, driving the current account surplus in the AxJ region back down to levels seen in 1998. The baht remained the best performing currency in the region, appreciating 2.7% YTD against the USD (see pic2). Meanwhile, Thailand’s real policy rate is protruding from the negative zone (see pic3) thanks to lower inflation in recent months. I think all these could primarily hint you what the MPC will act on May 29. Cheers.





Wednesday, May 15, 2013

แบงค์ชาติจะทำอะไร ยังไง ในตอนต่อไป


สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2556

สัปดาห์นี้ตลาดดูสวย ขึ้นไม่หยุดยั้ง อีกทั้งในประเทศเราก็ไม่ค่อยมีข่าวอะไรน่าตื่นเต้ลเท่าไหร่นอกจาก เรื่องเกาเหลาชามเดิมระหว่างคลังกับแบงค์ชาติ (ข่าวรายวันยิ่งกว่า gossip ดารา!).. รอบนี้ท่านรัฐมนตรีคลังจัดเต็มครับ เพราะได้เชิญคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ทั้งคณะมาร่วมประชุมกับตัวแทนภาคธุรกิจทำที่เนียบรัฐบาลเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งผลการประชุมนะหรอ.. ก็เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์นะ (ผู้ว่าแบงค์ชาติเค้าว่า) แม้จะยังไม่มีมาตรการอะไรออกมาก็ตาม ผมเองลองมองอีกมุมก็คิดว่าความขัดแย้งครั้งนี้นับว่ามีประโยชน์อยู่ไม่น้อยครับ เราได้เห็นนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ อดีตผู้ว่าแบงค์ชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายๆท่านออกมาแสดงความคิดเห็น เขียนบทความ เสนอแนะทางออกกันต่างๆนานา ซึ่งต่างก็มีเหตุและผลที่ดี นอกจากนี้เรายังได้เห็นแบงค์ชาติออกบทความมากมาย (ลองเข้า (http://www.bot.or.th) เพื่ออธิบายถึงหน้าที่ของธนาคารกลาง นโยบายการเงิน รวมถึงหลายๆเรื่องที่เกี่ยวข้อง บ่องตง ผู้ชมอย่างเราได้รับความรู้ไปเต็มๆละครับ

เอาละ ทุกคนต่างก็คาดหวังว่าแบงค์ชาติจะทำอะไร ยังไง ในตอนต่อไป ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงที่ดอกเบี้ยนโยบายจะถูกลดลงมาซัก 0.25% ในการประชุมกนง.วันที่ 29 พ.ค.นี้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือจะมีมาตรการอื่นพ่วงมาด้วยหรือเปล่า? และน่าตกใจมั้ย? ซึ่งหากดูจาก 4 มาตรการที่แบงค์ชาติได้เสนอคลังแล้ว ถ้าให้เลือก ผมคิดว่ามาตรการห้ามต่างชาติซื้อพันธบัตรระยะสั้นของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจที่มีอายุ 3-6 เดือน น่าจะถูกใช้ก่อน เพราะเบาสุด ผลกระทบจำกัด และแบงค์ชาติสามารถทำได้เลย แต่หากเป็นมาตรการอื่น ก็ต้องมาดูเนื้อในกันอีกที (ซึ่งความน่าจะเป็นที่จะเป็นมาตรการรุนแรงมีน้อย)


ทีนี้ลองมาดูกราฟกันสนุกๆ (จาก Asian Development Bank) จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2010 จนถึงล่าสุดเมื่อมี.ค. ปีนี้ สัดส่วนของพันธบัตรไทยที่ถือโดยนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวนัก โอ้แม่เจ้า นิละครับเงินไหลเข้าที่เค้าว่า และนี่ละครับหนึ่งในตัวการหลักที่ทำให้บาทแข็งในช่วงที่ผ่านมา (จริงอยู่ค่าเงินประเทศอื่นที่อ่อนเองก็เกี่ยว) เพราะฉะนั้นหากจะแก้ก็ต้องแก้กันที่ตรงนี้ละครับ เพราะสัดส่วนเงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้นยังน้อยกว่ามาก แต่จะแก้ยังไงให้มีประสิทธิผล นักลงทุนไม่ตกใจ ตลาดหุ้นไม่สั่นไหว.. อันนี้ก็เป็นภารกิจของเหล่า Policy makers แล้วละ อาดิโอส

(ภาพจากโพสต์ทูเดย์)

หมายเหตุ ผมคิดว่าหากมีการลดดอกเบี้ยจริงตามที่คาดที่ 0.25% คงแก้ปัญหาเรื่องเงินไหลเข้าได้บ้าง แต่คงไม่มากละครับ เนื่องจากยังไม่ตรงจุดเท่าไหร่ เพราะยังมีส่วนต่างอีกตั้ง 2-2.5% กับอัตราดอกเบี้ยในอเมริกาและญี่ปุ่น แต่หากลดมากกว่านั้นก็เป็นกังวลเรื่องปัญหาฟองสบู่ ดังนั้นถ้าจะลดลงเยอะๆจริงๆอาจจะต้องออกมาตรการอื่นควบคุมไปด้วยซึ่งผมแนะนำ Macro prudential หรือมาตรการคุมให้สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ต้องระมัดระวังมากขึ้น พูดง่ายๆคือ คุมไม่ให้เกิดการเก็งกำไรหรือการใช้จ่ายที่เกินตัว เช่น เก็บภาษีการเปลี่ยนมืออสังหา เป็นต้น แต่มันดูจะยุ่งยากขึ้นมั้ยนิ...

อย่างไรก็ดีหากไม่มีมาตรการอะไรออกมาเลยก็คงไม่ดีแน่ครับ เพราะเงินไหลเข้ามหาศาลในตลาดพันธบัตรคงไม่อยู่นิ่งๆและระเหยไปเองดั่งน้ำ.. เดี๋ยวก็ต้องมีบางบริษัทเข้ามาตักตวงเงินตรงนี้ไปใช้ โดยการออกหุ้นกู้ (ซึ่งแบงค์ชาติคุมไม่ได้) แล้วไปออกโครงการใหม่เรื่อยๆ (เช่น พวกอสังหา) ซึ่งกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่างๆก็อาจมาซื้อไป และเงินตรงนั้นก็มาจากนักลงทุนรายย่อยด้วยนิละครับ ดังนั้นหากเกิดอะไรขึ้นมา.. ฟองสบู่??? มันก็จะลามเป็นลูกโซ่ได้ ต้องระวัง! ดังนั้นผมจึงค่อนข้างสบายใจที่เห็นผู้กุมนโยบายการเงินและการคลังนั่งคุยกัน แม้จะขัดแย้งกันบ้าง แต่ก็เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งมันน่าจะพาเราไปสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้ไม่ยากครับ หวังไว้เช่นนั้น

Wednesday, May 8, 2013

ประสานเสียง


สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 8 พฤษภาคม 2556

ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ทำตัวหยั่งกับจะมุ่งหน้าไปดาวอังคารยังไงยังงั้น.. แหม่ ก็เล่นบวกทะลุทะลวงทำ new high วันแล้ววันเล่าแบบไม่ยอมชาติใด ที่ต้องบอกแบบนี้ก็เพราะว่าตลาดหุ้นทางสหรัฐหรือเยอรมันก็ทำ new high เช่นกันครับ แต่แม้กระนั้นนักลงทุนเน้นคุณค่าอันดับหนึ่งของโลกอย่าง Warren Buffett ก็ยังบอกว่า หุ้นยังไปต่อได้อีกในระยะยาว และคุณจะเห็นมันสูงกว่านี้อีกในช่วงชีวิตของคุณ” (http://www.cnbc.com/id/100709849) ซึ่งตรงนี้ ก็ประสานเสียงไปกับ นักลงทุนเน้นคุณค่าอันดับหนึ่งของเมืองไทยอย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่สรุปไว้ในคอลัมภ์ประจำสัปดาห์ของท่านว่า เมืองไทยจะยังเป็นประเทศที่กำลังเติบโตคึกคักและน่าจะโตต่อไปพอสมควร และนี่ก็เอื้ออำนวยต่อการลงทุน (ในหุ้น) โดยเฉพาะของชาว VI ทั้งหลาย (www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/ceo-blogs/nives/20130507/503991/บทเรียนจากกรุงปราก.html)


ด้านสถานการณ์ในตลาดอนุพันธ์ตอนนี้ตามทฤษฎีเรียกว่า contango ครับ หมายถึงราคา futures อยู่สูงกว่าราคา spot ซึ่งผมกำลังหมายถึงตัว SET50 futures เดือนมิถุนายน (S50M13) ที่อยู่เหนือกว่า SET50 ตัวจริงเสียงจริง ถึงกว่า 6 จุดด้วยกัน (ราคาปิด ณ วันที่ 7 พ.ค.) ตรงนี้ต้องยอมรับครับว่าตลาดได้ติดลมบนไปเสียแล้ว และยังตอบไม่ได้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน (ไม่รู้มันเริ่มจากตรงไหน~ และไม่รู้ว่าจะจบลงเช่นไร~) momentum ที่ไปต่ออย่างแรงในช่วงนี้ส่วนหนึ่งผมคิดว่ามาจากประเด็นความขัดแย้งระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทยที่คลี่คลายลงไปมากด้วยละครับ หลังจากที่มีการเสนอมาตรการหลากหลายในการแก้ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งกระโป๊กมานานเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของผู้ส่งออก อย่างไรก็ดีหากเริ่มใช้มาตรการจริง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการใด อาจมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นในช่วงสั้นได้แบบเบาะๆไล่ไปตามความรุนแรงของมาตรการ อย่าตกใจละครับ