Wednesday, August 21, 2013

คำตอบสุดท้าย

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 21 สิงหาคม 2556

ในบทความสัปดาห์ที่แล้วคุณชายหมอได้แนะนำกฎเหล็กไป 5 ข้อ.. จากวันนั้นที่ดัชนีปิดไปที่ 1460 จนเพลานี้ SET น้อยๆของเราก็ลงมาร่วมร้อยจุด ก็หวังว่าท่านจะได้ป้องกันความเสี่ยงกันไปตามสมควรนะครับ

สัปดาห์นี้มีอะไร? ก็อย่างที่ทุกท่านได้ทราบกันตั้งแต่ช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 19 ส.ค. เวลา 9.30 น. ครับว่า เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่สภาวะถดถอย (Recession) ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ไปเสียแล้ว โดย GDP ติดลบถึง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่เราเข้าสู่สภาวะถดถอยนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี 2008 เลยละ


ตรงนี้ถามว่ามีผลอย่างไร? แน่นอนครับ ตอนนี้เราก็สามารถพูดได้เต็มปากแล้วครับว่าประเทศไทยไม่ตกเทรนนะ เพราะในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วในยุโรป อเมริกา ต่างทยอยกันออกจากสภาวะถดถอย ไทยเราก็ถดถอยแทน (ฮา)... ล้อเล่นนะครับ! ความจริงก็คือผมคิดว่าสถานการณ์มันยังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นดอก อย่าเพิ่งไปตื่นอกตกใจอะไรมากมาย (เป็นแค่ Technical Recession) เพราะถ้าดูตัวเลขไตรมาสสองเราก็ติดลบเพียง 0.3% QoQ เท่านั้น (คืออีกนิดเดียวมันก็จะบวกอยู่แล้ว) และถ้าสังเกตจากชาร์ตด้านบน ก็จะเห็นว่าเส้น GDP ที่เป็น QoQ ส่วนใหญ่มันก็เกาะๆอยู่ในช่วง 0-3 นี้แหละ มีน้อยครั้งที่ออกนอกลู่ไปบ้าง อีกทั้งด้วยอัตราว่างงานของไทยที่อยู่ต่ำเพียง 0.71% เพราะงั้นประเมินในเบื้องต้นเศรษฐกิจไทยก็น่าจะกลับมาเป็นบวกในไตรมาสถัดไปได้ไม่ยากหากมีการบริหารจัดการที่ดีครับ รวมถึงเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่เริ่มฟื้นก็น่าจะช่วยผลักดันให้ภาคการส่งออกของไทย (70% ของ GDP) ดูดีขึ้นได้บ้าง ประกอบกับค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี (เทียบ USD) ผมเลยเชื่อเหลือเกินว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยแม้จะไม่เฉิดฉาย แต่ก็จะไม่ตกหลุมดำเช่นกันครับ

ในส่วนของตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์เองก็ต้องยอมรับครับว่า ฝรั่งกลับมาเป็นตัวการทำให้ดัชนีลงอีกครั้ง.. ขาย ขาย ขาย เป็นคำตอบสุดท้ายที่ผมเปรยๆกับลูกค้าสถาบันต่างประเทศไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่อย่าเพิ่งไปถือโทษโกรธเค้านะครับ เพราะมันก็เป็นไปตามเกม และเค้าก็ขายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดฯเช่นกัน (หนึ่งในกลุ่ม TIPs) แต่อินโด มันมีประเด็นมากกว่าเราอยู่เล็กน้อย เพราะประเทศเค้าประสบกับภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง -4.4% ของ GDP ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 17 ปี (รูปล่าง) แถมเหล่า policy makers ก็ทำเปรี้ยวอีกด้วยการขึ้น reserve requirement ratio (RRR) และสร้างเงื่อนไขให้ธนาคารบางกลุ่มต้องกันสำรองเพิ่มหาก loan-to-deposit ratio ไม่ถึงเกณฑ์ ตรงนี้นักลงทุนกลัวครับ เพราะตีความได้ว่าเป็นการดึงเงินออกจากระบบ ทำให้สภาพคล่องภายในประเทศลดลง.. ในขณะที่ไทยเราแม้จะห่างไกลจากอินโดในเรื่องนี้ ก็แต่ประมาทไม่ได้นะครับ เพราะบัญชีเดินสะพัดเราก็กลับมาติดลบซะแล้ว (-5% ใน Q2 เทียบกับ GDP รายไตรมาส) ซึ่งปกติเราไม่ค่อยจะลบกับเค้าหรอก (หยวนให้ก็เฉพาะ Q2 เพราะวันหยุดเยอะ) สาเหตุหลักก็น่าจะมาจากเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งโป๊ะในช่วงครึ่งปีแรกที่กดดันให้การส่งออกชะลอตัวนั่นละครับ แต่หลังจากที่บาทเริ่มกลับมาอ่อนในช่วงนี้ ผมก็เดาว่าครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นนะ

 

Wednesday, August 14, 2013

เตรียมตัวไปกับคุณชายหมอ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 14 สิงหาคม 2556

มีเวลาอีกราว 1 เดือนครับก่อนจะถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในวันที่ 17 - 18 ก.ย.นี้ [จริงๆสัปดาห์นี้เรามีเรื่องพ.ร.บ.งบประมาณปี 57 เข้าสภา แต่ผมไม่คิดว่าจะมีประเด็นอะไรร้อนแรง ส่วนสัปดาห์หน้ามีเรื่องพ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าจะไม่ผ่านอีกเช่นกัน.. ไปว่ากันต่ออีกทีในศาลรัฐธรรมนูญโน่น] ซึ่งผมขอเรียกเลยว่ามันเป็นการประชุมหยุดโลก! เพราะมีนักวิเคราะห์ กูรู ปรมาจารย์ นักเศรษฐศาสตร์อีกหลายท่านมองว่าเพลานี้น่าจะเหมาะที่สุดที่จะลดขนาด QE ลงมาบ้าง.. อีกทั้งเหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้ผมต้องมาเขียนล่วงหน้าก่อนเป็นเดือน นับว่าไม่ธรรมดา เราควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนจะถึงวันนั้น มีข้อแนะนำ (แต่ไม่จำเป็นต้องทำตาม) ดังนี้

           1. ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด (เพราะถ้าดีขึ้นเยอะๆ โอกาสที่จะยก QE ออกบ้างก็มีสูง) โดยล่าสุดตัวเลข Retail sales ในเดือนก.ค.ปีนี้ขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 บอกเป็นนัยๆครับว่าการจ้างงานดีขึ้นอีกแล้ว เศรษฐกิจอเมริกาไม่แจ่มให้มันรู้ไป
           2. ตามข่าวผู้ว่าธนาคารกลางคนใหม่ของสหรัฐฯจักกะหน่อย แม้ว่าผมจะเคยเขียนไปแล้วเมื่อเดือนก่อนที่นี่ http://nakkanaayok.blogspot.com/2013/07/blog-post_17.html แต่ก็มีความคาดหมายใหม่ออกมาครับว่า คุณ Lawrence Summers ได้มาแรงแซงโค้งขึ้นเป็นตัวเกร็งแทนคุณ Janet Yellen เรียบร้อยแล้ว โดยคุณ Lawrence หรือ Larry นิเป็นตัวดีเลยละครับ เพราะถึงแม้แกจะชอบนโนบายดอกเบี้ยต่ำ แต่ก็ชอบที่จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคุณ Janet ซึ่งหากมีความคาดหวังว่าแกจะได้เป็นผู้ว่าฯเพิ่มขึ้น ก็น่าจะไม่ค่อยดีกับหุ้นในตลาดเกิดใหม่เท่าไหร่ครับ
           3. เตรียม list รายชื่อหุ้นที่พื้นฐานดี (บริษัทดี) แต่ราคาตอนนี้ไม่ถูกไว้ซัก 5-10 บริษัท (หรือจะมากกว่านั้นก็ตามแต่ศรัทธา) เผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจะได้พร้อมเลือกสอยตอนราคาถูกๆ
           4. หาจังหวะเหมาะๆ รอตลาดหุ้นเด้งดีดๆ Short Futures ซักนิดเพื่อป้องกันความเสี่ยงซักหน่อย
           5. เตรียมเงินสดให้พร้อม

ทั้งนี้และทั้งนั้นอะไรก็ไม่แน่นอนครับ เกิดผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯคนปัจจุบันเกิดทำอะไรแผลงๆขึ้นมาเป็นการทิ้งทวนก่อนอำลาตำแหน่งในต้นปีหน้า เช่น เพิ่มขนาด QE ซะเลย ไหนๆเศรษฐกิจอเมริกามันกำลังดีกำลังมันส์ก็ให้มันดีมันส์ๆด้วยอัตราเร่งไปเล้ยย... ถ้าเป็นงั้นจริงผมคงจนปัญญายอมศิโรราบขอกราบงามๆซัก 3 จบ และหุ้นในตลาดเกิดใหม่ก็คงทะยานทะลุเพดานไป แต่หากลืมตาตื่นขึ้นมาในชีวิตจริงไม่อิงอะไรก็จะพบว่ามันแทบจะเป็น Mission Impossible ครับ.. เพราะถ้าคิดตามเหตุและผลแล้วในเมื่อคนไข้(กรองแก้ว)เริ่มฟื้น คุณ(ชาย)หมอจะให้ยาโด๊ปฉีดๆๆเข้าไปเหมือนตอนอาการโคม่าได้หรือ? รังแต่จะทำให้อาการที่ดีขึ้นแล้วกลับแย่ลงครับ ฉันใดก็ฉันนั้น เศรษฐกิจที่ดีขึ้นแล้วหากยังกระตุ้นด้วยการอัดฉีดเงินในปริมาณที่สูงเท่าเดิม เผลอๆจะเป็นอันตรายเอา (Balance sheet ของ Fed เต็มไปด้วยเหล่าพันธบัตรและ MBS หมดแว้ว อ่ะจ๊าก!) ไม่แน่นะ เราจะเห็นการ Exit strategies เร็วกว่าที่คิดไว้ก็ได้ใครจะรู้

สุดท้ายนี้ไหนๆสภาก็กำลังถกกันเรื่องงบประมาณ ผมเลยนำ breakdown งบประมาณปี 56 มาให้ดูกัน.. โชคดีทุกท่านครับ

Wednesday, August 7, 2013

แวะพักที่โอเอซิส

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 7 สิงหาคม 2556

หากเปรียบการเล่นหุ้นเหมือนดั่งการเดินเท้งเต้งในทะเลทราย สองสามวันที่ผ่านมาก็เหมือนได้เข้าพักที่โอเอซิสละครับนะ ก็แหม! วอลุ่มเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาปาเข้าไปกระจึ๋งที่ 2 หมื่นล้านต้นๆ น้อยที่สุดในรอบกว่า 8 เดือน ในขณะที่วอลุ่มเจ้า S50U13 (SET50 Index Futures) ก็เบาบางสเลนเดอร์ไม่แพ้กัน มูลค่าเหลือเพียง 1.5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น งี้ไม่ให้หลับยังไงไหวละครับพี่น้อง


ว่าแล้วก็ขอแนะนำโอเอซิสที่สวยงามนาม Huacachina ตั้งอยู่ที่เมือง Ica ประเทศเปรู หรือที่ขนานนามกันว่า โอเอซิสของอเมริกา (ดังรูป) ผมเองเคยรู้สึกสงสัยครับว่า.. ท่ามกลางทะเลทรายที่เร่าร้อนซะขนาดนั้น แดดก็แผดเผา อูฐก็มี 2 โหนก ไหงมีสถานที่ที่สวยงามนามโอเอซิสตั้งอยู่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ท่ามกลางเหตุการณ์ทางการเมืองที่วุ่นวาย ข่าวร้ายก็ถาโถม เสียงโห่ร้องก็โครมๆ หุ้นก็อาจจะเด้งได้อย่างไม่มีเหตุผลเช่นกัน เพราะงั้นอย่าลืมกำหนดจุด stop loss ในการ trading (โดยเฉพาะ SET50 Index Futures) ทุกครั้งนะครับ!!


ถัดมาผมเอารูปพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปีมาให้ดู.. จะเห็นว่าช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา yield กลับขึ้นมาสูงอีกครั้ง จากราว 3.6% เมื่อกลางเดือนที่แล้ว มาอยู่ที่ 3.95% ณ บัดนาว ตรงนี้สะท้อนอะไร? สะท้อนว่าความเสี่ยงประเทศเริ่มมากขึ้นอะครับ จากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองนิแหละ ซึ่งอาจกระทบประมาณการหรือ Target price ของหุ้นในอนาคตได้ (Risk free ที่สูงขึ้นเมื่อใส่ใน model แล้วจะทำให้ Target price ลดลง) อย่างไรก็ดี เนื่องจากนักวิเคราะห์บัวหลวงเราใช้ค่า Risk free ที่ราว 4% ในการ pricing อยู่แล้ว (มองการณ์ไกลโฮกๆ) จึงยังไม่กระทบกับ Target price ของหุ้นในตอนนี้ครับ


สุดท้าย เนื่องจากผมเคยเอาแต่รูป Fund flows มาให้ดู วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศนำรูปกำไรต่อหุ้น (EPS) มาให้ดูบ้างครับ จากรูปจะเห็นว่า อเมริกา อังกฤษ และกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ กำไรต่อหุ้นกลับขึ้นมาพอๆกับช่วงก่อนวิกฤต Subprime ละ (EM ดูหล่อสุด) ในขณะที่ญี่ปุ่น และยุโรป (ไม่รวมอังกฤษ) ยังต่ำกว่าอยู่เลย.. ตรงนี้บอกอะไร? ทิ้งท้ายไว้ให้คิดต่อเล่นๆครับ.. แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า

Thursday, August 1, 2013

ครบรอบ 4 ปี

วันที่ 1 สิงหาคม 2556

วันนี้ถือว่าเป็นวันครบรอบ 4 ปีที่ผมได้ทำงานในสายธุรกิจการเงินครับ และเป็นวันที่ผมจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรมหาบัณฑิต ในช่วงบ่ายนี้^^

ดีใจครับ เผลอแป๊บๆเวลาผ่านไป 4 ปีแล้ว (ไม่รวมเวลาที่ได้ทำงานในสายวิศวะอีกเล็กน้อย) ซึ่งผมถือว่ามันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในชีวิตการทำงาน มีอะไรอีกเยอะแยะมากมายเป็นภูเขาเลากาที่ผมยังไม่รู้และใคร่อยากจะรู้ เรียนรู้.. ความจริงผมคิดว่าผมโชคดีมากที่ได้รับ “โอกาส” ให้เข้าทำงานที่บริษัทที่ผมทำอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ได้มีโอกาสดูแลลูกค้าสถาบันที่เป็น “ระดับโลก” ได้มีโอกาสทำงานกับหัวหน้าที่มีความสามารถสูง มีความเป็นผู้นำ และเป็นกลางในการทำงาน ได้มีโอกาสทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่มีศักยภาพ มีความรับผิดชอบสูง ได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้บริหารระดับสูงที่เก่งและมีวิสัยทัศน์กว้างไกล สิ่งเหล่านี้ผมถือว่าเป็น “ความโชคดี” อย่างมากในชีวิตผม

สิ่งต่อมา เมื่อมีความโชคดี มันก็ย่อมมาคู่กับ“ความโชคร้าย”หรือ“ความล้มเหลว” ซึ่งผมขอเรียกมันว่า “ความล้มเหลวชั่วข้ามคืน”.. ชีวิตผมเจอความล้มเหลวไม่บ่อยครับ เนื่องด้วยเป็นคนที่ตั้งใจเรียนตั้งใจทำงานมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่า คะแนนอยู่ในอันดับต้นๆของห้องมาตลอดจนกระทั่งจบม.6 เคยเรียนได้ที่ 2 ของชั้นสมัยอยู่ม.5 ตอนนั้นดีใจมว้าก.. แต่ผมว่าชีวิตคนเราล้มบ้างก็ได้ การที่ไม่เคยล้มเลยมันทำให้ตอนล้มครั้งแรกเจ็บสุดๆ ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่อาจกระทบจนทำให้เรื่องอื่นเสียเอา ผมคิดว่าหากเราเจอความล้มเหลว ก็ขอให้เราคิดว่าเป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วครั้งชั่วคืนครับ ท่องคาถา “This too, shall pass” ไว้ “แล้วมันจะผ่านไป” เพราะบางครั้งแม้เราจะตั้งใจทำอะไรแบบสุดๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจไม่เป็นอย่างที่คิด (ซึ่งมันก็เกิดขึ้นกับผมในชีวิต 1-2 ครั้ง) ถึงตอนนั้นเราต้องไม่ท้อครับ ต้องสู้ ซึ่งผมเชื่อว่าหากเราผ่านไปได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นจะเป็นภูมิคุ้มกันต่ออุปสรรคใหม่ๆที่จะเข้ามาหาเราในชีวิต นั่นแหละคือ“ความโชคร้าย”ได้กลายสภาพเป็น“ความโชคดี”แล้วครับ

ความจริงมีอีกหลายเรื่องอยากจะกล่าวถึง แต่เหลือบมองนาฬิกาอุ้ยเที่ยงกว่าแล้ว เดี๋ยวไปไม่ทันถ่ายรูป.. ก็เอาเป็นว่าขอจบภาคแรกแต่เพียงเท่านี้ อย่าลืมนะครับ! หน้าที่ของเราคือต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ อย่ารอ เพราะเมื่อโอกาสเข้ามาต้องอย่าปล่อยให้หลุดมือไป และหากพบกับความโชคร้าย ก็ขอให้เชื่อว่าสุดท้ายมันจะกลายเป็นความโชคดีในที่สุดครับ สวัสดี : )




Wednesday, July 31, 2013

เดอะแก๊งค์สี่โมง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 31 กรกฎาคม 2556

สัปดาห์ที่ผ่านมามีนักลงทุนหลายท่านได้บอกกับผมว่าชอบข้อมูลในส่วนของ Flows Fund เอ้ย Fund Flows (:P) วันนี้เลยนำข้อมูลมาอัพเดทให้ครับ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาฝรั่งเป็นยอดซื้อสุทธิเบาๆในตลาดหุ้นไทย 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, หนักหน่อยใน Philippines 164 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ขายใน Indonesia 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความจริงผมเริ่มรู้สึกว่าตลาดหุ้นปีนี้มันชักจะเล่นยากขึ้นไปทุกที (เพิ่งจะรู้สึกเรอะ!) เรื่องที่ไม่มีเหตุผลมักเกิดขึ้นได้เสมอๆ ดังเช่นช่วงเวลา 4 โมงเย็นของทุกวัน ที่ตลาดหุ้นมักถูกทำมิดีมิร้ายอย่างไม่ทราบสาเหตุโดยกลุ่มคนต้องสงสัยที่ผมขอขนานนามว่า “The 4 PM-Gang” หรือชื่อเป็นภาษาไทยว่า เดอะแก๊งค์สี่โมง.. ไม่รู้อัดอั้นตันใจมาจากไหนสี่โมงทีไรหุ้นดิชั้นโดนเสยทุกที!” สาวน้อยเพียงดอยท่านหนึ่งบ่นงุบงิบ .. เห็นเนิบๆมาทั้งวังไม่น่ามีอังไล วอลุ่งก็น้อยขนาดนั้น ไหงทิ้งพรวดๆๆไม่ให้อั๊วะตั้งตัวเบยอาม่าอินเทรนกล่าวอย่างหัวเสีย

ผมก็ไม่แน่ใจนะครับว่าในต่างประเทศจะมีช่วงเวลาต้องระวังแบบเมืองไทยหรือไม่ แต่เรื่องของเรื่องก็คือฝรั่งเค้าก็แปลกใจกับช่วงเวลา 4 pm ไม่น้อยไปกว่าคนไทย.. หยั่งล่าสุดเมื่อวานก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเองก็พยายามหาสาเหตุต่างๆนานามาอธิบาย เช่น นักลงทุนขายเพื่อลดความเสี่ยงรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในวันที่ 30-31 กรกฎาคม รวมถึง ECB meeting ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ไง แล้วก็มี การเมืองไทย! เพราะเค้าจะเปิดประชุมสภาในอีกวันสองวันนี้แล้ว ก็กลัวว่าจะมีชุมนุมอะไรรุนแรง (แม้ปัจจัยการเมืองจะไม่ได้กระทบตลาดหุ้นในระยะยาว แต่หากเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นมา มันก็มีผลในระยะสั้นนะ) และอีกเรื่องที่สำคัญก็คือเรื่องโครงการ 2 ล้านล้าน ถ้าไม่ผ่านนิ catalyst ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยก็แทบจะไม่เหลือ (exports ก็หด การบริโภคกำลังซื้อก็ลด การลงทุนภาคเอกชนก็ถดถอย) ดูญี่ปุ่นซิ เค้ามีรถไฟความเร็วสูงตั้งกะปี 1964 จึงทำให้เกิดการพัฒนา กระจายความเจริญของสังคมเมืองสู่จังหวัดต่างๆ (Urbanization) และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาแล้ว.. ส่วนไทย ประเทศกำลังพัฒนา อดีตเสือตัวที่ห้าของเอเชีย และเป็นผู้ที่ถูกคาดหวังว่าจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการเชื่อมโยง (Connectivity) เมื่อเกิด AEC ก็ตามหลังญี่ปุ่นอยู่ 50 ปีเองง..


ตรงนี้ถามว่าเราเองมีตัวอย่างที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมไหม.. มีครับ ลองดู GDP เมื่อปี 2003-2006 การเจริญเติบโต GDP เชียงใหม่เทียบกับลำปางพบว่า GDP เชียงใหม่พุ่งสูงกว่าประเทศปรี๊ดๆ เพราะในปี 2003 เป็นปีที่มี Low-cost airline ที่เชียงใหม่เป็นครั้งแรก! พอมีระบบการบินภายในก็ทำให้ผู้โดยสารเพิ่มขึ้น เกิดการสร้างงาน ความเจริญก็กระจาย ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นเป็นลำดับ

เอ้านอกเรื่องไปตั้งไกล ขอกลับมาที่เดอะแก๊งค์สี่โมงครับ เอาเป็นว่า เวลาสี่โมงเย็นของทุกวันทำการตลาดหุ้นไทย.. ระวังหลังกันให้ดีนะทุกคน!!

Wednesday, July 24, 2013

เคล็ดไม่ลับของ Buffett

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 24 กรกฎาคม 2556

สัปดาห์ที่ผ่านมามีกี่นิ้วก็ต้องขอยกให้ทีม Tactical Research แห่งค่ายบัวหลวง นำโดยเซียนนิด ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ และกูรูตุ๊ ชาญณรงค์  มีชัยเจริญยิ่ง (สังเกตนะครับว่าชื่อและนามสกุลของพี่ทั้งสองมีทั้ง ชัย(ชนะ)และ เจริญ .. ช่างมงคลจริงๆ) ที่คาดกันตั้งแต่เดือนที่แล้วครับว่า หุ้นไทยในเดือนก.ค.นี้จะกลับมาสวีวี่วีได้จนถึง 1500++ จุด ซึ่งจากนี้ไปพี่เค้าก็ยังคาดครับว่า momentum น่าจะเดินเครื่องต่อ อาจมีลุ้นแถว 1530++ จุด ซึ่งถ้าดูประกอบกับผลสำรวจโดย Bloomberg ก็ชี้ว่า นักเศรษฐศาสตร์ทุกคน (ที่ทำ poll) เชื่อว่า การประชุม FOMC ในวันที่ 30-31 กรกฎาคมนี้ จะไม่มีการถอน QE แน่ๆ แต่ กว่าครึ่ง! เชื่อว่า Fed จะลดขนาด QE ลงในเดือนก.ย.ที่จะถึงนี้ (จำนวนเพิ่มขึ้นจาก 44% ที่สำรวจเมื่อเดือนที่แล้ว) โดยมีการคาดการณ์กันครับว่าจะลดจาก 85,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน เหลือ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน แบ่งเป็น Treasuries 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Mortgage-backed security 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความจริงแล้วก็ไม่อยากจะให้ไปยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องถอนไม่ถอน QE มากไปครับ เพราะมันเป็นเครื่องกำหนดราคาหุ้นในระยะสั้น-กลาง (แต่เราจะไม่รู้เลยก็ไม่ได้) ซึ่งในระยะยาวแล้วราคาหุ้นก็วิ่งตามผลประกอบการของบริษัทเท่านั้น ไม่ใช่ปัจจัยเรื่องสภาพคล่องเหล่านี้.. ในวันนี้ผมเลยมีเคล็ดไม่ลับของ Buffett มาฝากแฟนๆปิดท้ายสั้นๆครับ

Warren Buffett ลงทุนในบริษัท Washington Post ด้วยเงิน 11 ล้านเหรียญตั้งกะปี 1973 และถือมาจนถึงตอนนี้โดยไม่เคยขายซักกะหุ้น! ทราบมั้ยครับเงิน 11 ล้านเหรียญ ในตอนนั้น ผ่านมาถึงตอนนี้ขึ้นมาเป็น 900 ล้านเหรียญ กว่า 8000% !!! "เวลาในการถือหุ้น" เป็นหนึ่งในเคล็ดไม่ลับที่ทำให้ Buffett รวยเป็นอันดับต้นๆของโลก ดังที่อดีตลูกสะใภ้ Mary Buffett กล่าวไว้ครับว่า "Warren has learned that time will make him superrich when he invests in a company that has a durable competitive advantage working in its favor." .. แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ


Wednesday, July 17, 2013

ฤาเหยี่ยวกำลังจะกินพิราบ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 17 กรกฎาคม 2556

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสพบผู้จัดการกองทุนระดับแสนล้านในห้องลับแห่งหนึ่ง ผมได้เกริ่นกับท่านว่าเหมือนงบ Q2 ของสถาบันการเงินในอเมริกาจะดูดีกว่าที่คาดเยอะนะครับ (มาถึงก็เข้าเรื่องเลย คริคริ) -- Wells Fargo กำไรโต 19%, Citigroup โต 41%, JP Morgan โต 31% (ถ้าจำกันได้แบงค์นี้แหละที่ทำ Trading loss มูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อกลางปีก่อน) และล่าสุด Goldman Sachs (ชอบชื่อนี้มากไม่รู้ทำไม คริคริ) ประกาศกำไรโตเท่าตัว! -- ตรงนี้น่าจะเป็นสัญญาณชี้อย่างหนึ่งว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวใช่หรือไม่ เพราะภาคการเงินน่าจะเป็น Indicator ที่ดีอย่างหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ สังเกตจากวิกฤตครั้งใหญ่แทบทุกครั้งสาเหตุก็มาจากภาคการเงินทั้งนั้น.. ท่านไม่ได้ตอบผมตรงๆแต่แชร์มุมมองเพิ่มครับว่า จริงอยู่เราอาจเริ่มเห็นบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯทยอยประกาศผลประกอบการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ แต่มันจะกลายเป็นว่า เมื่อคนอเมริกามีความเชื่อมั่นมากขึ้น ภาคธุรกิจการเงินดูดีขึ้น สถาบันการเงินเหล่านั้นก็อาจดึงเงินที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่กลับไปเร็วขึ้น เพื่อไปเสริมสภาพคล่องหรือปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนรวมถึงภาคเอกชนเพื่อให้เกิดการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง (Real sector) ต่อไป ก็ความเชื่อมั่นมันสูงขึ้นนิ!


อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ บังเอิญผมไปเจอรูปนี้มาครับ คริคริ คงไม่ลงในรายละเอียด แต่ขอสรุปให้อ่านสั้นๆครับว่า จากรูป ได้แบ่งเหล่าผู้มีอิทธิพลกับการยก QE ออกไม่ออก เป็น 2 สาย คือ 1. สายเหยี่ยว (Hawk) – เห็นด้วยสุดๆจะให้ยก QE ออกแบบด่วนๆ 2.สายนกพิราบ (Dove) – ไม่เห็นด้วยสุดๆที่จะให้ยก QE ออก (คืออยากให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป) ส่วนระดับความร้อนแรงของแต่ละท่านก็ลดหลั่นกันไปตามรูปนะครับ.. สังเกตว่าคนที่อยู่ใน Board รวมถึง Bernanke (ผู้ว่า Fed คนปัจจุบัน) และ Yellen (ตัวเกร็งผู้ว่าคนถัดไป) ยังอยู่ในโซน Dove ซะส่วนใหญ่ แต่เมื่อดูโดยภาพรวมเทียบปีนี้กับปีหน้าแนวโน้มเริ่มเปลี่ยนไปทางเหยี่ยว (Hawk) มากขึ้น... เห็นแบบนี้แล้วเราก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม ลงทุนด้วยความระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้นครับ