Wednesday, December 4, 2013

แค่ลอง หันมองหน่อย

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 4 ธันวาคม 2556

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ต้องบอกว่า ยืนได้ด้วยความหวังจริงๆครับ ความหวังที่ว่าความวุ่นวายในบ้านเมืองจะจบลงซึ่งหากจบลงจริง ตลาดจะหยิบประเด็นอะไรขึ้นมาเล่นต่อ นั่นเป็นคำถามที่ต้องตอบ
  
ผมไม่ใช่แฟนเพลงอ๊อฟ ปองศักดิ์ แต่เพลง คำถามที่ต้องตอบ ก็เป็นเพลงที่ผมได้ยินอยู่บ่อยๆ ซึ่งหลังจากนี้ตลาดหุ้นน่าจะเริ่มหันไปโฟกัสในเรื่องของตัวเลขเศรษฐกิจมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นของประเทศไทย หรือ ของโลก
  
ของไทยเองนับว่าเป็นข่าวดี ที่ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current account) ในเดือนพฤศจิกายนกลับมาเป็นบวกได้อีกครั้ง สอดคล้องกับ 2 ประเทศหลักในเอเซียที่มีปัญหาอย่างอินเดีย และ อินโดนิเซียที่รายงานตัวเลขดังกล่าวเซอร์ไพรส์ตลาด ดีขึ้นมวักๆ.. อย่างไรก็ดี ตัวเลขส่งออกบ้านเรายังแผ่ว นำเข้ายังอ่อน (แม้ตัวเลขนำเข้าที่อ่อนจะส่งผลให้ตัวเลขดุลเป็นบวกมากขึ้นแต่นั่นบอกเป็นนัยว่า domestic demand อ่อนแอ หมายถึง ภาคธุรกิจยังไม่กล้าใช้จ่าย หรือ สั่งสินค้าเข้ามามากเพื่อลงทุน หรือ ขยายธุรกิจ)
  
ส่วนเงินเฟ้อบ้านเราก็ทรงๆครับ บวกขึ้นมา 1.92% ในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับปีก่อน และถ้าดูตัวเลข 11 เดือนแรกของทั้งปีก็ +2.24% ซึ่งถือว่ายังอยู่ในกรอบที่แบงค์ชาติให้ไว้ที่ 0.5-3.0% นั่นหมายถึง แบงค์ชาติยังสามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายแบบนี้ต่อไปได้อีกซักพัก
  
ก่อนจะปิดท้าย ขอวกไปที่ระดับโลกนิดนึงอเมริกาจะมีการประกาศตัวเลขจ้างงานในวันศุกร์นี้ครับ โดยเฉพาะตัวเลขอัตราว่างงาน (Unemployment rate) เป็นที่ต้องจับตา ของเดิมคือ 7.3% แต่ตลาดคาดว่าจะดีขึ้นเป็น 7.2% ตรงนี้ถ้าประกาศออกมาแล้วดีขึ้นมากๆๆ (เช่น น้อยกว่า 6.5%) อาจจะเป็นการส่งสัญญาณว่า QE อาจถูกลดเร็วกว่าที่คิดไว้ โดย 17-18 ธันวาคมจะเป็นการประชุม FOMC ครั้งสุดท้ายของปีครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้.. หรือบางทีอาจถึงเวลาที่ต้องหันมามองน้องตราสารอนุพันธ์เพื่อใช้ป้องกันความเสี่ยงบ้างซะกะละมัง



Wednesday, November 27, 2013

Déjà vu

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2556

ผมเพิ่งกลับจากฮ่องกง แวะไปเยี่ยมลูกค้าที่น่ารักมาครับกลับมาก็ตกใจ  เพราะทราบว่ามีบริษัทฝรั่งรายใหญ่เจ้าหนึ่งปรับลดอันดับหุ้นไทยโดยให้น้ำหนักเพียงต่ำกว่าตลาด (Underweight) โดยพ่วงอินโดนิเชียฮ่องกง และออสเตรเลีย ไปด้วย
  
ที่เค้าสะบั้นตลาดหุ้นไทยลงมา ส่วนหนึ่งเพราะเค้าเชื่อว่าตลาดหุ้นในอาเซียนน่าจะ underperform ตลาดหุ้นในเอเซียต่อไปจนถึงปีหน้า เหตุผลก็ง่ายๆครับเพราะเรา outperform คนอื่นมาตลอดตั้งแต่ปี 2006 – 2012 อีกทั้ง 2 ประเทศหลักอย่างไทยกับอินโดนิเซียก็ยังมีประเด็นเรื่องขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (Current account deficit) กับ การขยายตัวของสินเชื่อที่ดูจะมากไปนิส (Excess credit growth) เค้าเลยสรุปว่าเจอกันอีกทีนู้นเลย ครึ่งหลังปีหน้า ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่การเมืองในไทยนิ่งและทุกอย่างถูกปรับเข้าสู่สมดุลแล้ว



มาถึงตอนนี้ก็ต้องยอมรับครับว่า หากมองในเชิงพื้นฐานโอกาสที่ตลาดจะกลับขึ้นไปสูงๆ.. ยาก ในขณะที่ downside ดูจะเปิดซะมากกว่าประเด็นความวุ่นวายทางการเมืองน่าจะส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยไปอีกซักพักอย่างไรก็ดี ผมกลับมีความรู้สึกเดจาวู มันเหมือนว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมนที่เหล่าสำนักเศรษฐกิจทยอยปรับลดคาดการณ์ต่างๆลงมาคล้ายกับช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2011 ซึ่งน่าแปลกที่ช่วงนั้นหุ้นไทยกลับไม่ค่อยลงเท่าไหร่
  
หลายๆอย่างอาจไม่เหมือนกัน แต่ลองดูตลาดหุ้นอียิปต์เป็นตัวอย่างครับช่วงเกิดเหตุการณ์รุนแรงมากๆในเดือนมิถุนา ดัชนี EGX30 ถูกถล่มลงไปราว20% แต่หากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) ตลาดกลับเป็นบวกได้ราว17% และถ้านับ 1 ปีย้อนหลัง เป็นบวกถึง 27%



หากมองไปในอนาคต ผมก็มีความหวังลึกๆครับว่าครึ่งปีหลังของปี 2014 ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น และถ้าท่านเชื่อว่าหุ้นซื้อขายบนความคาดหวังเหล่านั้น ก็อาจสรุปได้ว่าณ ช่วงเวลาที่สิ้นหวัง หาทางออกไม่ได้ จนทำให้หุ้นตกหนัก นั่นอาจเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อก็เป็นได้

Wednesday, November 20, 2013

ณ จุดนั้น ชั้นทำอะไร

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2556

วันก่อนได้อ่านเปเปอร์สั้นๆฉบับหนึ่ง เจอรูปน่าสนใจดี เลยนำมาฝากแฟนๆคอลัมภ์ซะหน่อยครับ
ก่อนจะอธิบายรูป ผมอยากจะพูดถึงศาสตร์หนึ่งที่ชื่อว่า จิตวิทยามวลชน (Behavioral Finance) ก่อน ศาสตร์นี้เกี่ยวข้องกับพวกเรานักลงทุนแน่นอนครับ เพราะบางครั้งมันช่วยอธิบายถึงความไม่มีเหตุผลของราคาสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือ ตราสารอนุพันธ์ ว่าทำไมบางครั้งราคามันถึงไม่เป็นไปตามพื้นฐาน ทำไมหุ้นตัวนั้นแพงแล้วถึงแพงได้อีกแต่ทำไมบางตัวถูกอยู่อย่างนั้นสม่ำเสมอ หรือ ทำไมเมื่อมีความกังวลต่างๆเยอะแยะตาแป๊ะเป็นลม แต่หุ้น หรือ ตราสารอนุพันธ์ของหุ้นกลับไม่ลง.. บางทีมันก็อาจเป็นเรื่องของอารมณ์ และ ความคาดหวัง

คำอธิบายของ Behavioral Finance โดยตรงก็คือ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ครับ ไม่ว่าจะเป็นทางสังคม อารมณ์ หรือความรู้สึก เพื่อนำไปอธิบายถึงการตัดสินใจของนักลงทุนในสถานการณ์ต่างๆ ที่จะมีผลต่อราคาสินทรัพย์ เช่น พฤติกรรมตอบสนองมากเกินไปหรือน้อยเกินไป (Over-react and Under-react) พฤติกรรมแห่ตามคนส่วนใหญ่ เค้าว่าไงเราว่างั้น (Herd instinct) หรือ พฤติกรรมการซื้อขายตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง หุ้นผีบอก เค้าบอก (Noise trading) ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้นักวิชาการเค้ามักนำมาใช้โต้แย้งกับทฤษฎีความมีประสิทธิภาพของตลาดครับ (Efficient market theory)

ผมคงไม่ลงในรายละเอียดมากไปกว่านี้ เพราะเขียนไปก็รู้สึกว่าเริ่มจะงงเอง.. กลับมาที่รูปดีกว่า คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิตการลงทุนรึเปล่า เช่น รู้สึกว่า “โอ้วว ช่วงเวลานี้ฉันอยากลงทุนจริงๆเลย รู้สึกดีมากๆเลย ซื้อเต็มแมกส์!” นั่นละครับ ณ จุดความรู้สึกนั้น คุณอาจกำลังใกล้ถึงยอดดอย ซึ่งในรูปแทนด้วยคำว่า “Euphoria” (หมายถึง ความรู้สึกสนุกสนานตื่นเต้นเป็นที่สุด) ซึ่งจากนั้นไม่นาน หุ้นก็ลง หรือ คุณเคยรู้สึกหดหู่แบบนี้บ้างไหม “เอ้อ เล่นทีไร โดนทุกที เซงเป็ดพะโล้จริงๆ ตลาดหุ้นคงไม่เหมาะกับเรากระมัง ขายโล๊ะพอร์ต!” ซึ่งหารู้ไม่ว่า ณ จุดนั้นราคามันอาจกำลังจะถึงก้น และหลังจากนั้นไม่นาน มันก็เด้ง

ที่เขียนทั้งหมด เพียงเพื่อจะให้ตระหนักว่า บางทีอะไรๆที่เราคิด มันก็อาจไม่เป็นอย่างที่คิดครับ ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน (Uncertainty is the only certainty) การวิเคราะห์การลงทุน บางทีมองในแง่มุมเดียวคงไม่ได้ การบริหารความรู้สึก อารมณ์ เป็นเรื่องจำเป็น และที่สำคัญคือ รู้ให้เยอะเข้าไว้ครับ เพราะไม่ว่าสถานการณ์ใดมาถึง เราก็แค่เปิดลิ้นชัก หยิบความรู้ที่เรามีมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์  เท่านั้นเอง

Wednesday, November 13, 2013

คิดถึงคิทแคท

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2556

ช่วงปลายสัปดาห์ก่อนผมได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาซึ่งจัดโดยนิตยสาร Asia Asset Management ผู้พูดหลายท่านเป็นกูรูผู้บริหารเงินมูลค่านับล้านล้านบาท โดยมีประเด็นที่น่าสนใจนำมาฝากเล็กน้อยครับ

กูรู เชื่อว่า ปัจจัยที่สนับสนุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอาจกำลังจะเปลี่ยนเป็นปัจจัยคุกคามนับแต่นี้ไป อันได้แก่ US QE tapering การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ระดับหนี้ที่เพิ่มขึ้นของบางประเทศในเอเซีย และตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของอเมริกาและยุโรป (ทำให้อาจมีการโยกย้ายเงินทุนจาก Emerging markets ไป Developed markets มากขึ้น) อย่างไรก็ดี  แม้จะมีปัจจัยคุกคาม แต่ก็อย่าเพิ่งทุกข์ใจครับ เพราะในระยะยาวแล้ว เอเซีย (โดยเฉพาะพวกเรา ASEAN) เศรษฐกิจยังโตได้หล่อกว่าประเทศอื่นๆอยู่หลายอึดใจ ตัวเลขต่างๆบ่งบอกว่าปัจจัยพื้นฐานของเรายังดูดีอยู่มากเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตปี 1997 สถานการณ์ในตอนนี้ถือว่ายังห่างไกลกับคำว่า crisis อยู่พอสมควร.. ว่าที่จริง วิกฤตมักจะมาในเวลาที่คนส่วนใหญ่มักคาดไม่ถึง เพราะฉะนั้นเลิกกังวล แล้วลงทุนอย่างระมัดระวังและรอบคอบดีกว่าครับ


ถัดมา ตารางด้านบนผมนำมาฝาก (ข้อมูลโดยมิสเตอร์ ปรเมศร์ ทองบัว นักกลยุทธ์ชื่อก้องแห่งค่ายบัวหลวง) ประเด็นก็คือ หากดูปริมาณการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมของทุกปี นักลงทุนสถาบันมียอดเป็น Net buy เกือบทั้งหมด ซึ่งนั่นบ่งบอกพลัง LTF/RMF จากพวกเรานักลงทุนรายย่อยที่ส่งผ่านไปยังนักลงทุนสถาบัน ช่วยให้ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้ในทุกเดือนธันวาคม (ยกเว้นปี 2006 เพราะมีเรื่องรัฐประหารและมาตรการ capital control) ส่วนตารางด้านขวาสุดเป็นการเปรียบเทียบ performance กับดัชนี MXFEJ (คำนวณจาก จีน ฮ่องกง อินโด เกาหลี มาเล ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และ ไทย) ก็จะเห็นว่า SET เรา outperform ดัชนีดังกล่าวเป็นส่วนใหญ่ด้วยครับ

กล่าวโดยสรุปคือ หากใครคิดจะ Short ตลาดหุ้นไทยหนักๆ เพื่อเก็งลำไย เอ้ย เก็งกำไร ในช่วงที่เหลือของปี อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังซักเล็กน้อยครับ แต่หากใครคิดจะพัก ให้คิดถึง คิดแคท... นะ

(ฮา) กริบ

Wednesday, November 6, 2013

ดาวม้าปีกทอง

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2556

เหลืออีกเพียงไม่ถึง 1300 ชั่วโมง เราก็จะได้ก้าวสู่ปีใหม่ ปี 2557 ปีมะเมีย ด้วยกัน ว่ากันว่าปีนี้จะเป็นปีที่คึกคักมากครับ เพราะจะได้รับแรงส่งจากทั้งดาวม้าปีกทอง พลังงานหลักจากธาตุไม้ และพลังงานแฝงจากธาตุไฟ ซึ่งตามหลักโหราศาสตร์จีนบอกว่า พลังเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดพลังงานแรงส์ถึง 2 เท่า  บอกเป็นนัยว่าในปีหน้า หากเราทำเรื่องดีๆ ผลดีก็จะส่งผลคูณสอง แต่หากทำเรื่องไม่ดี ผลร้ายก็จะส่งผลทวีคูณเช่นกัน
  
ผมเกริ่นนำแบบนี้เพื่อที่จะให้เพื่อนๆนักลงทุนไม่เครียดกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันมาก อย่าลืมครับว่า เราผ่านเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516,  พฤษภาทมิฬ ปี 2535, ปิดสนามปิดสุวรรณภูมิ ปี 2551, ชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ปี 2553 ซึ่งทุกครั้ง เราก็ฟันฝ่ามาได้ (แม้ต้องใช้เวลา) และประเทศไทยก็เดินหน้ามาจนถึงทุกวันนี้.. ทำสิ่งที่ดี คิดดี และเตรียมพร้อมก้าวสู่ปีใหม่ 2557 ไปด้วยกันดีกว่าครับ  


ในส่วนของตลาด จากกราฟและตารางด้านบนก็จะเห็นครับว่า (ข้อมูลจนถึง 5/11/56) นักลงทุนต่างชาติเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน ด้วยการขายหุ้นไทย แต่การขายครั้งนี้ หากเทียบกับช่วงเดือนมิถุนา หรือ สิงหา ก็ยังถือว่ายังห่างไกล ส่วนตัวผมเชื่อว่าถัดจากนี้ฝรั่งจะเข้าๆออกหุ้นไทยไปเรื่อยๆ ไม่มีแนวโน้มชัดเจนจนกว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะประกาศลดปริมาณ QE อย่างมีนัยสำคัญ.. ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็น่าจะทรงๆ หรือเริ่มน้อยลงเมื่อเข้าใกล้สิ้นปี ในขณะที่แรงซื้อ LTF/RMF จากนักลงทุนรายย่อยที่ส่งผ่านไปยังนักลงทุนสถาบันอาจจะเป็นพระเอกช่วยผลักดันราคาหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะนักลงทุนอาจซื้อ “ทิ้งทวน” เนื่องจากมีข่าวว่าปีหน้าอาจมีการยกเลิกผลประโยชน์ทางภาษี LTF/RMF ละ (ยังไม่ได้สรุปเป็นทางการ)

ว่าแล้ว ก็ขอไปซื้อเพิ่มอีกนิดๆหน่อยๆครับ

Wednesday, October 30, 2013

อยู่ในจินตนาการ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 30 ตุลาคม 2556

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาประเด็นการเมืองก็กลับมากดดันตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ส่งผลให้เจ้า SET50 Index Futures กลับมาอยู่ในโหมด On par หรือ ไม่ใกล้ไม่ไกล จากตัวแม่ซึ่งก็คือ SET50 Index เท่าใดนัก ประกอบกับปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวัน ที่ลดลงเรื่อยๆจนเหลือเพียง 2 หมื่นล้านบาทกว่าๆ น่าจะพอให้ตีความได้ว่า นักลงทุนส่วนใหญ่อยู่เฉยๆ เพื่อรออะไรบางอย่าง และตลาดหุ้นก็ไม่น่าจะขึ้นไปไหนได้ไกล อย่างน้อยก็ในช่วงนี้

เกร็ดความรู้ -- หากลองคิดเล่นๆครับว่า ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ต่อวันเท่าไหร่ที่น่าจะพอเหมาะพอสมกับตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบัน ให้ลองจินตนาการถึงปริมาณที่ทำให้หุ้นทั้งตลาดมีการหมุน (Velocity) ครบซัก 1 รอบพอดีในเวลา 1 ปี ดังนั้น วิธีคิดก็คือ เอา Market cap ของทั้งตลาดหุ้นไทย (ประมาณ 12.7 ล้านล้านบาท) หารด้วยจำนวนวันทำการทั้งหมดใน 1 ปี (ประมาณ 240 วัน) จะได้เท่ากับ 5.3 หมื่นล้านบาทต่อวัน ฉะนั้นหากปริมาณการซื้อหุ้นต่อวัน น้อยกว่าตัวเลขนี้มากๆ (ดังเช่นในปัจจุบัน) ผมก็ถือว่าตลาดหุ้นเรายังไม่ได้ร้อนแรงจนเกินไปแต่อย่างใดครับ (แต่ก็ต้องดูปัจจัยด้านอื่นประกอบด้วย)


กลับมาที่เรื่องการเมืองบ้านเรา บางทีก็รู้สึกว่าสถานการณ์มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังเกินกว่าที่จะประเมินไหว สิ่งที่ผมทำได้ก็เพียงวิเคราะห์สถานการณ์คร่าวๆ แล้วจินตนาการถึงผลลัพธ์สุดท้ายว่าจะเป็นเช่นไร.. มีโอกาสที่จะรุนแรงถึงขนาดทำให้ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศ “ปิด” จนการดำเนินธุรกิจต้องหยุดชะงักหรือไม่ นโยบายทางเศรษฐกิจการเงินการคลังมีโอกาสถูกพับแผนลงหรือเปล่า หรือ ระบบทุนนิยมเสรีที่มีมาช้านานจะถูกทำลายหรือไม่ ถ้าไม่ แม้ช่วงนี้บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนจะพอให้อึดอัดทัดทานใจไปบ้าง แต่ผมเชื่อว่ามันก็เป็นแค่ฤดูกาลหนึ่ง แล้วสุดท้าย เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป

Wednesday, October 16, 2013

ทิ้งลงแม่น้ำ

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 16 ตุลาคม 2556

เข้าสู่วันที่ 16 ของ US partial shutdown แต่หุ้นไทยกลับไต่บันไดแห่งความกังวลขึ้นมากว่า 90 จุด หรือราว 6.5% (จาก low ที่ 1381 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม) นักลงทุนดูเหมือนจะให้น้ำหนักในเรื่องของการคงมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯมากกว่าปัญหาเรื่องการปิดบางหน่วยงานของราชการ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ นโยบายการเงิน (Monetary policy) ดูจะมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นมากกว่านโยบายการคลัง (Fiscal policy) รวมถึงการที่ Janet Yellen ถูกตั้งขึ้นเป็นผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯคนใหม่อย่างเป็นทางการ ได้ช่วยเสริมภาพความเป็น Dovish ของ Fed (เธอมักให้น้ำหนักกับตัวเลขจ้างงานมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ) ซึ่งหมายถึง QE น่าจะดำรงอยู่แบบนี้ไปจนถึงอย่างน้อยก็สิ้นปี 2013

อย่างไรก็ดี อยากให้ตระหนักไว้ครับว่า การเพิ่มขนาดงบดุลของธนาคารกลาง (Quantitative Easing: QE) ในปริมาณที่มากและยาวนาน (อย่างที่ทำอยู่ในขณะนี้) อาจทำให้เรารู้สึกถึง หรือ ประเมินความเสี่ยงของสินทรัพย์ต่างๆต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (Mispricing of Risk) จนทำให้เกิดการสะสมความเปราะบางขึ้นในระบบการเงินได้ แต่ก็อย่ากลัวหรือระแวงจนเกินเหตุละครับ เพราะแท้จริงแล้ว พื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศรวมถึงเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นด้วย (จากรูป สังเกตว่าในช่วงแรกของ QE1 แม้จะมีการอัดฉีดเงินแล้ว แต่ราคาสินทรัพย์ไทยกลับปรับตัวสวนทางกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะมีปัญหาการเมืองรุนแรงจากเหตุการณ์ปิดสนามบิน) ดังนั้นคำแนะนำของผมในช่วงนี้ก็คือ ให้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน และลดการเก็งกำไรที่ไม่จำเป็นลง


ด้านสถานการณ์ในตลาดอนุพันธ์ ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ก็ยังขอใช้คำว่า ‘So far so good’ ครับ จากสภาวะ Contango ที่คุยกันไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน (ราคา Futures มากกว่าราคาสินค้าอ้างอิง) ได้พัดพาเจ้า SET50 Index Futures รุ่นเดือนธันวาคม ให้ขึ้นฝั่งบวกไปเกือบ 30 จุด.. โดย ณ ขณะที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ สภาวะ Contango ก็ยังอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับสัญญาณบวกอื่นๆ ที่สังเกตได้ในตลาดหุ้นไทย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างที่ว่ามาก็อาจถูกโยนลงแม่น้ำหมดได้ครับ.. เพียงแค่คำว่า US Debt Default คำเดียว แม้ว่าผมจะคิดว่าโอกาสที่จะเกิดคือน้อยมากถึงน้อยมากที่สุดก็ตาม

Wednesday, October 9, 2013

เพราะเมืองไทยมีปาปริก้า

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 9 ตุลาคม 2556

ใกล้เข้ามาอีกนิด ชิดๆเข้ามาอีกหน่อย~ กับวัน D-Day เรื่องขยายเพดานหนี้สหรัฐฯที่จะรู้ผลในช่วงปลายสัปดาห์หน้า เพราะถ้าขยายไม่สำเร็จ โอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯจะผิดนัดชำระหนี้ (Selective Default) จะมีสูงมาก ซึ่งหากเกิดขึ้น จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อวงการตลาดทุน ตลาดเงิน และระบบการชำระเงินทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.. เมื่อระบบการชำระเงินมีปัญหา การค้าระหว่างประเทศก็จะหยุดชะงัก และเราอาจได้เห็นตลาดหุ้นทั่วโลกลดกระหน่ำ Grand sales อีกครั้ง.. แต่เดี๋ยวก่อน! Morgan Stanley บอกว่าโอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯจะผิดนัดชำระหนี้คือ 0% นะครับ เย้ๆ ส่วนตัวผมไม่ขอเดา แต่ก็ไม่คิดว่านักการเมืองอเมริกาจะสะบะเลเฮห้าถึงขนาดทำลายประเทศตัวเองขนาดนั้น แต่ก็อย่าชะล่าใจไปละครับ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้เพราะเมืองไทยมีปาปริก้า

ถัดจากเรื่องนี้ สิ้นเดือนก็มีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ที่คนกลัวกันหนักกันหนาว่า จะถอนๆๆ มาตรการอัดฉีดเงิน ส่วนตัวผมเดาว่ารอบนี้น่าจะยังไม่ลด QE ครับ ก็แหม การประชุมครั้งที่แล้วเพิ่งผ่านไปเดือนกว่า ตัวเลขเศรษฐกิจคงยังไม่เปลี่ยนไปมากถึงขนาดทำให้ต้องเปลี่ยนใจมาลดคราวนี้กระมัง (คราวที่แล้วก็ไม่ลด).. แต่ท้ายสุดแล้วไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเยี่ยงไร อย่าลืมครับว่า ปัจจัยพื้นฐานต่างหากที่เป็นตัวกำหนดทิศทางของสินทรัพย์นั้นๆ สภาพคล่องที่อัดฉีดเป็นเพียงตัวเพิ่มขนาด (Magnitude) เท่านั้น^^ ไม่เชื่อลองดูรูปข้างล่างสิครับ
                        

ด้านสถานการณ์ในตลาดอนุพันธ์ก็ยังทรงๆ อากงงงงวย เพราะสามวันดีสี่วันไข้ แบบนี้แหละครับ ที่เรียกว่าเรากำลังปีนบันไดแห่งความกังวลกันอยู่.. ที่น่าสนใจก็คือราคาของ SET50 Index Futures ยังนำ SET50 Index แบบเบาๆ ซึ่งถือเป็นสัญญาณชี้อย่างหนึ่งว่าตอนนี้ตลาดไม่ได้แย่นะ ยังไหวนะ โดยศัพท์ในวงการที่ใช้เรียกสภาวะตลาดแบบนี้ก็คือ

CONTANGO ครับ

Monday, October 7, 2013

ทองคำ

ชอบบทความเกี่ยวกับทองคำ 2 ตอนนี้มากครับ ผมเลยขออนุญาตผู้เขียน คุณวิน พรหมแพทย์, CFA (จากเพจ SSO Saving Club) นำมาโพสเก็บไว้ในบล็อกส่วนตัวเพื่อสะดวกต่อการอ่านทบทวน และเผื่อแผ่ไปถึงผู้ที่แวะมาเยี่ยมบล็อกผมด้วย ขอขอบคุณพี่วินไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งครับ

ต้นทุนการขุดทอง ที่ไหนแพงกว่ากัน? 


ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกผันผวนเยอะมาก ขึ้นไปสูงสุดที่ $1,780 ต่อออนซ์ และลงไปต่ำสุดที่ $1,200 ต่อออนซ์ จึงมีคนถามผมเยอะว่า ราคาทองควรจะเป็นเท่าไหร่? คำตอบคือ เป็นเรื่องยากมากที่เราจะคาดราคาทองคำครับ .. เราอาจจะพอประเมินมูลค่าพันธบัตรหรือหุ้นได้โดยคิดมูลค่าปัจจุบัน (Present Value) จากดอกเบี้ยหรือเงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต แต่ทองคำเป็นการลงทุนชนิดพิเศษ คือ มันไม่จ่ายดอกเบี้ยหรือปันผล จึงประเมินมูลค่าได้ยากครับ

แต่สิ่งหนึ่งที่เราพอจะบอกได้ คือ การขุดทองคำขึ้นมาจากใต้ดินมี "ต้นทุน" ครับ ทีมงานของผมไปเจอข้อมูลของ Virtual Capitalist เค้าเปรียบเทียบ "ต้นทุน" การขุดทองคำ (นับเฉพาะ Cash Cost คือ ต้นทุนการขุดจริงๆ ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ) พบว่า

- อเมริกาเหนือ มีต้นทุน $598/oz ถูกที่สุดในโลก
- อัฟริกาใต้ มีต้นทุน $957/oz แพงที่สุดในโลก

ทั้งนี้ หากรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกที่เกิดขึ้นจากการทำเหมืองทอง ต้องบวกเพิ่มจาก Cash Cost ไปอีกโดยเฉลี่ยประมาณ $200-300/oz ครับ

การรู้ต้นทุนนี้ ทำให้เราคาดเดาได้ว่า หากราคาทองคำลงไปต่ำมากกว่านี้ เช่น ต่ำกว่า $1,000/oz ก็จะมีเหมืองทองในบางประเทศที่ขุดทองขายแล้วขาดทุนครับ ^^

ที่มา: www.virtualcapitalist.com



ความจริง 10 ข้อที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ “ทองคำ”

1. ทองคำเป็นของที่ทำลายไม่ได้ เมื่อขุดขึ้นมาแล้วก็ยังอยู่บนโลกต่อไปไม่ได้สูญสลายไปไหน ... คาดว่ามีทองคำที่ขุดขึ้นมาบนโลกแล้วประมาณ 170,000 ตัน

2. อุปสงค์ทองคำในตลาดโลก มีประมาณ 4,000 ตัน/ปี ประกอบด้วย 1. ใช้เป็นเครื่องประดับ (50%) 2. ซื้อทองคำแท่งเพื่อการลงทุน (30%) 3. ซื้อลงทุนผ่านกองทุน ETF (5%) 4. ใช้ในอุตสาหกรรม (10%) และ 5. เป็นทุนสำรองของธนาคารกลาง (5%)

3. อุปทานทองคำในตลาดโลก มีประมาณ 4,000 ตัน/ปี เช่นกัน เป็นทองคำขุดใหม่ 60% ส่วนที่เหลือเป็นทองคำที่ถูกหลอมเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ (recycled)

4. ประเทศที่ผลิตทองคำมากที่สุดในโลก 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. จีน 2. ออสเตรเลีย 3. สหรัฐอเมริกา 4. รัสเซีย 5. แอฟริกาใต้

5. เหมืองที่จัดว่ามีสินแร่ในเกรดดี เวลาระเบิดหินขนาด 1 ตัน จะได้แร่ทองคำประมาณ 8-10 กรัม ส่วนเหมืองที่มีสินแร่เกรดไม่ดี ระเบิดหินขนาดเท่ากัน จะได้แร่ทองคำประมาณ 1-4 กรัม

6. เหมืองแบบเปิด (open pits) มักจะมีเกรดต่ำกว่าเหมืองแบบปิดที่ต้องขุดเจาะลงไปใต้ดิน ซึ่งนับวันเราต้องขุดลึกลงไปเรื่อยๆ ... เหมืองทองคำที่ลึกที่สุดในโลกชื่อ TauTona อยู่ที่แอฟริกาใต้ มีความลึกเกือบ 4 กิโลเมตร

7. ที่ๆ มีต้นทุนการขุดทองคำ (Cash Cost) ถูกที่สุดในโลก คือ ทวีปอเมริกาเหนือ อยู่ที่ $598/oz ... ที่ๆ มีต้นทุนการขุดทองคำแพงที่สุดในโลก คือ ทวีปแอฟริกา อยู่ที่ $957/oz

8. ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 12 ปีติดกัน (2001 – 2012) จากจุดต่ำสุดที่ $250/oz ไปสูงสุดที่ $1900/oz หรือนับว่าเพิ่มไป 7.6 เท่า .... ในช่วงเดียวกัน ราคาทองคำแท่งในไทยก็ปรับเพิ่มจาก บาทละ 5,200 บาท ไปสูงสุดที่บาทละ 26,000 บาท หรือว่าเพิ่มไป 5 เท่า (ปรับเพิ่มน้อยกว่าราคาในสกุลดอลล่าร์เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งในช่วงที่ผ่านมา)

9. ในปี 2013 ราคาทองคำในตลาดโลกร่วงลงจาก $1,700 ช่วงต้นปี มาซื้อขายกันที่ $1,300 ในปัจจุบัน (ลดลง 25%) ส่วนใหญ่มาจากแรงขายของนักลงทุนระยะสั้นที่ซื้อทองคำผ่านกองทุน ETF แต่ในช่วงที่ราคาทองลงแรง มีแรงซื้อทองคำเพื่อเป็นเครื่องประดับและซื้อทองคำแท่งเพื่อลงทุน (โดยเฉพาะ จีน และ อินเดีย) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

10. ราคาทองคำมักผันผวนในทิศทางตรงข้ามกับค่าเงินดอลล่าร์ (เช่น ราคาทองคำจะสูงขึ้นเมื่อค่าเงินดอลล่าร์อ่อน) และมีความสัมพันธ์กับราคาพันธบัตรและหุ้นค่อนข้างน้อย (Correlation = 0.2 – 0.4) ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ช่วยกระจายความเสี่ยง (Diversification) ได้ดี


Wednesday, October 2, 2013

บันไดแห่งความกังวล

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อ 2 ตุลาคม 2556

สถานการณ์ในช่วงเดือนที่ผ่านมามีหลายเรื่องให้ลอยคอรอลุ้น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็มีทั้งผิดหวังสมหวังจีรังบ้างไม่ยั่งยืนบ้าง แต่มีอยู่ 2 เหตุการณ์สำคัญที่ผมอยากทบทวนให้ฟังครับ

1. เมื่อคืนวันพุธที่ 18 กันยายน 2556 วันที่ธนาคารกลางสหรัฐประกาศคงมาตรการอัดฉีดเงิน (QE) มูลค่า 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือนต่อไป พร้อมกับปรับลดประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯปีนี้เหลือ 2-2.3% จาก 2.3-2.6% และ 2.9-3.1% จาก 3-3.5% ในปีหน้า ข่าวนี้ถือว่า Surprise เพราะนักวิเคราะห์และฝูงชนส่วนใหญ่คาดกันว่า Fed จะลดขนาดเงินอัดฉีดอย่างน้อยก็ 1-2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผลก็คือตลาดหุ้นไทยกระหน่ำครับ กระหน่ำขึ้น ดัชนีเปิดกระโดดทันทีในวันถัดมาและปิดบวกอย่างสวยหรูไป 49.93 จุด หรือ 3.47%

แต่หลังจากนั้น เหมือนดั่งสวรรค์แกล้ง ราว 2 สัปดาห์ให้หลังถัดมา หุ้นไทยกลับไถๆลงมาเรื่อยๆ จนหลงจ้งแล้วลบกว่า 100 จุด ปิดไปที่ 1383.16 ในวันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2556

ความกังวลเรื่องลด QE หายไป แล้วทำไมมูลค่าหุ้นไทยถึงหายตาม?

2. ช่วงเช้าเวลาดี 11.00 น. ของวันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2556 วันที่เราจะได้รู้กันว่ารัฐบาลสหรัฐจะโดนชาวดัตช์ Shutdown หรือไม่? กลัวมั้ยละครับ เสียวมั้ยละครับ... มักๆ... บ่องตง... พอผลประกาศออกมาเป็น Partially Shutdown ปุ๊ป (คือปิดในบางหน่วยงาน) หุ้นไทยก็ลงกระป๊าปๆๆ ฟิวเจอร์สก็ลงปู๊ดๆๆ ในช่วง 10 นาทีหลังประกาศ

แต่หลังจากนั้นกลับขึ้น...

บทสรุปของผมก็คือ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับความกังวลเหล่านี้มากครับ เพราะแม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาด เหนือคาด หรือผิดคาด แท้จริงแล้วเราต้องกลับสู่ความเป็นจริงที่ว่า แล้วมันเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานแค่ไหน มันทำให้กำไรของบริษัทที่เราลงทุนลดลงหรือเปล่า? ซึ่งความจริงแล้วในแง่ตัวเลขเศรษฐกิจของบ้านเราถือว่าค่อยๆดีขึ้นด้วยซ้ำ ตัวเลขส่งออกไทยในเดือนสิงหาคมกลับมาขยายตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยโต 3.9% YoY จากที่หดตัว 1.48% YoY ในเดือนกรกฎาคม และหลงจ้งทำให้ตัวเลขดุลบัญชีเดือนสะพัด (Current account) กลับมาเป็นเกินดุล (Surplus) อย่างสวยหรูที่ 1.2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ

เคยได้ยินคำว่าตลาดหุ้นชอบปีนบันไดแห่งความกังวล (Wall of Worries) ไหมครับ?

ว่าที่จริง ผมกลับรู้สึกชอบเวลาที่มีความกังวลเยอะๆ เพราะนั่นหมายถึงทุกคนได้ตระหนักถึงผลลัพธ์ของเหตุการณ์ร้ายๆที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว แต่หากเมื่อใดที่ความกังวลหายไปหมดเกลี้ยง เมื่อนั้นอาจถึงเวลาที่เรา..

ต้องหันไปปลูกผักทำสวนกันซักพักแล้วละครับ