Wednesday, October 31, 2012

เมื่อ ส.ส. กับ Sector Index Futures มาเกี่ยวพัน ... มันจะเป็นอย่างไร?

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2555


ช่วงนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นรวมถึงตลาดอนุพันธ์บ้านเรา.. ผมว่านักลงทุนหลายท่านต้องมีร้อนมีหนาวอยู่บ้างละ.. ก็แหม ตลาดผันผวนซะขนาดนั้น.. ขึ้นๆลงๆให้สะหยิวกิ้วกันอยู่ทุกวัน.. อะเจ้ยย!? อ๊ะเดี๋ยวข่าวยุโรป.. อ๊ะเดี๋ยวข่าวอเมริกา.. อ๊ะเดี๋ยวข่าวจีน.. และก็เดี๋ยวข่าวไทย (เรื่องอะไรเดากันเองนะครับ อิอิ) ในสภาพการณ์แบบนี้ผมมักจะนึกถึงตัวอักษร 2 ส ที่ต้องจัดการให้ได้ก่อนที่จะลงทุนครับ.. ได้แก่ 1. ส เสี่ยง กับ 2. ส เสียว.. ส แรกนั้นเราสามารถหาวิธีจำกัดมันได้ไม่ยาก.. วิธีหนึ่งที่ผมเคยแนะนำก็คือ Diversification หรือ การกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง.. เครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้และทุกท่านก็คงทราบกันดี ก็คือ การใช้ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) เพื่อ hedge positions ในพอร์ตการลงทุน.. ซึ่งในขณะนี้ก็เป็นที่น่ายินดีครับที่ตลาดอนุพันธ์บ้านเรากำลังพัฒนาอย่างหนัก (แต่บางทีอาจจะเร็วไปนิดรึป่าว?) ล่าสุดมีการออกสินค้าใหม่ที่ชื่อว่า Sector Index Futures มาให้พี่น้องชาวไทยได้ลิ้มลอง.. เอ้า! งั้นลองมาแลดูว่าเราสามารถประยุกต์ใช้เจ้าสินค้าใหม่นี้เพื่อลดความเสี่ยงได้อย่างไร
จากรูปด้านบน เป็นการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของราคาของดัชนีต่างๆในแต่ละกลุ่ม.. จะเห็นว่า ดัชนีหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT), หมวดพาณิชย์ (COMM), และหมวดอาหารและเครื่องดื่ม (FOOD) มี correlation กับดัชนี SET50 และดัชนีหมวดอื่นค่อนข้างต่ำ (หมายถึงมันจะไม่ค่อยเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันมากอะนะ).. เพื่อนๆจึงสามารถเลือกพวกกลุ่มนี้แหละ! ไว้ซื้อขายในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ค่อยสู้ดีนัก หรือเลือกใช้เพื่อ hedge positions กับการลงทุนใน SET50 index ก็ได้.. ซึ่งวิธีนี้เค้าเรียกกันว่า Pair Trading นั่นละครับ.. ซึ่ง! (ไม่ใช่ซึ้ง.. เพราะมันเอาไว้นึ่งนะเจ้ย!) เพื่อความหล่อขึ้นไปอีกขั้น.. นักค้าจึงขออนุญาตนำข้อมูลจากเว็บไซต์ TSI ที่อธิบายถึง ส เสี่ยง (Risk) ใน Futures แต่ละชนิดมาให้ดูซะเลย (ต้องขอขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ)   




จากรูปด้านบน: กระผมสรุปความได้ว่า.. ในกรณีที่ท่านนักลงทุนไม่ต้องการรับความเสี่ยงเฉพาะเจาะจงของหุ้นรายตัว (Unique risk) แต่อยากวัดใจกับหุ้นทั้ง sector เลย.. ให้ท่านจัด Sector Futures แทน Stock Futures ไว้ในครอบครอง อย่าได้กระมิดกระเมี้ยนครับ..  ในขณะที่ ถ้าท่านไม่ต้องการกระจายความเสี่ยงในหลายหมวดธุรกิจพร้อมกัน เพราะมองว่าการลงทุนในรายกลุ่มธุรกิจจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดโดยภาพรวม.. ท่านกรุณาจัด Sector Futures แทนเจ้า SET50 Futures ไว้ในอ้อมอก อย่าได้รีรอ.. เรื่องราวก็ประมาณนี้อะนะ

ส่วน ส ที่ 2 ส เสียว.. วิธีควบคุมก็ไม่ยากครับ.. นักค้าแนะนำให้นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ (หรืออ่านบทความผมนิแหละ.. ช่วยได้! อิอิ) การลงทุนบางทีมันก็ง่ายแสนง่าย.. นอกจากเรื่องความรู้ มันก็อยู่ที่การควบคุมอารมณ์และจิตใจ.. มันก็เหมือนกับคนอ้วน ที่รู้ทั้งรู้ว่าทำอย่างไรให้ผอม แต่ก็ทำไม่ได้.. สาเหตุก็เพราะเรื่องอารมณ์นิแหละครับ.. เมื่อเห็นอาหารหน้าตาชวนชิม กลิ่นหอมเย้ายวน ใครเล่าจะอดใจไหว.. ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราเห็นหุ้นแกว่งยั่วยวน, Futures เคลื่อนไหวหยอกเย้า.. โอ้ว! มันช่างน่าสอยเสียนิกระไร.. แต่ทำไมสอยทีไร เจ็บจี๊ดๆทุกที.. มันก็แค่นี้แหละ.. อารมณ์ จิตใจ.. ควบคุมให้ได้ครับ.. สู้ๆ

Monday, October 29, 2012

The Pitak Siam Group

Below is an excerpt from my morning note, for the first time, praised by my company's president.

Good morning,
Written on Oct 29, 2012

Politics: Anti-government protest groups yesterday turned up in force at the Royal Turf Club in the Nang Loeng area, with people participating around 20,000 (see pic1). The event led by the Pitak Siam group, the multi-colored- shirts, and supporters from the Democrat Party. Keynote speakers were also largely those who joined the anti-Thaksin group (PAD) pointing many issues but the interesting one was to protect the institution of the monarchy. Meanwhile, a caravan of red shirts cruises along Ratchadamnoen Avenue a day before the Pitak Siam mass meeting (see pic2), as part of citywide rally to demand justice for those who died during April-May 2010 clashes with security forces. It seems things are gradually getting tenser. My hunch is that both sides will summon its crowd again soon. Be cautious.



Meanwhile, HM the King has already endorsed PM Yingluck’s new cabinet, with red-shirt co-leader Jatuporn being overlooked again for a cabinet position. Undoubtedly, several key red-shirt members have disappointed but at least Nattawut, another red-shirt co-leader, have been selected as Deputy Commerce Minister (shifted from Deputy Agriculture Minister). On economic side, DPM and Finance Minister Kittirat will remain at the helm despite talks of Thaksin’s dissatisfaction over his performance as well as his word of the year ‘white lie’.

Wednesday, October 24, 2012

ความตื่นเต้นของนักค้าฯ

สวัสดีครับ,,, 
เขียนเมื่อ 24 ตุลาคม 2555


เมื่อสัปดาห์ก่อนผมได้รับเกียรติให้เข้าร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่จากตลาด หลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) พร้อมกับผู้บริหารหลายท่านของหลักทรัพย์บัวหลวงครับ.. เนื้อหาค่อนข้างน่าสนใจ โดยเกี่ยวกับตลาดอนุพันธ์ของประเทศเค้าและสินค้าที่หลากหลาย.. วันนี้เลยจะนำมาแชร์ให้แฟนๆนักค้าหน้าหยกฟังซักหน่อย.. แต่! ก่อนที่จะเข้าเรื่อง ขอเท้าความถึงประเทศโซกะปลิง.. สิงคโปร์ซักเล็กน้อยครับ~

ประเทศสิงคโปร์นั้น ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วครับ.. โดยได้รับอันดับเครดิต AAA จาก Fitch Ratings (แปลว่ามั่นคงที่สุดในโลก.. แจ๋วกว่า ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้เสียอีก) ซึ่งแน่นอนอันดับนั้นย่อมสูงที่สุดในอาเซียนด้วย.. เอ.. แล้วถามว่าไทยเราอยู่ตรงไหน? ตอบเลยละกัน.. อันดับ 3 ในอาเซียนครับ! เราได้ BBB รองจากมาเลเซียที่ได้ A-  โดยมีอินโดนิเซีย (BBB-) ฟิลิปปินส์ (BB+) และเวียดนาม (B+) ตามหลังมาติดๆ.. นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังเป็นประเทศที่มี GDP per capita สูงที่สุดในอาเซียนอีกด้วย – ขยายความจากรูป.. จะเห็นว่ากลุ่ม ASEAN 10 ประเทศถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อยครับ.. กลุ่มแรกคือกลุ่มรวยจัง (ASEAN-6).. และกลุ่มสองนามว่า กลุ่มรังจวย (LVMC) อิอิ

เอาละ.. มาม่ะ.. เข้าเรื่องครับ.. ตลาดอนุพันธ์ในสิงคโปร์นั้นจัดว่าเป็นตลาดที่มีสินค้าหลากหลายที่สุดแห่ง หนึ่ง.. มีชั่วโมงการซื้อขายยาวนานที่สุดในเอเชีย.. และแถมมีต้นทุนการลงทุนที่ต่ำ เช่น มี margin offsets (คือวางหลักประกันต่ำลงเมื่อเปิด long และ short พร้อมกันคนละ series), ไม่มี capital gains tax (จริงๆก็คล้ายกับบ้านเราอะนะ).. อะเคร.. งั้นไหนลองมาดูสินค้าในตลาดอนุพันธ์บ้านเค้าซิ.. มีไรบ้าง? เผื่อเพื่อนๆนักลงทุนท่านใดสนใจ จะได้ไปจับจ่ายใช้สอยดู (ไม่ใช่กับข้าว.. เจ้ย!?)


จากรูปด้านบน.. จะเห็นว่ามี Futures และ Options ที่อ้างอิงที่ดัชนีของประเทศอื่น เช่น Nifty ของอินเดีย, FTSE China A50 ของจีน.. ที่ซื้อขายในตลาดอนุพันธ์สิงคโปร์ (สนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ link นี้ครับ http://www.sgx.com/wps/portal/sgxweb/home/marketinfo/derivatives/delayed_prices/futures) พวกนี้จะเรียกว่า Offshore Trading.. โดยมี correlation กับ Onshore market สูงมาก อยู่ที่ 98%.. เอ๊ะ! แล้วถามว่าถ้ามันใกล้เคียงขนาดนั้นเราจะมาลงทุนแบบ offshore ทำไม.. onshore เลยไม่ดีกว่าหรอ? คำตอบคือ แล้วแต่ครับ.. ข้อดีของการลงทุนแบบ offshore ในตลาดสิงคโปร์มันก็มีประมาณนึง เช่น 1. มีเวลาซื้อขายที่ยาวกว่า 2. เจ้าหน้าที่เค้าเคลมว่าตลาดเค้ามีฐานลูกค้าโตขึ้นเรื่อยๆ.. บ่งบอกถึงสภาพคล่องที่จะดีขึ้นเรื่อยๆ และ 3. เรื่องของค่าเงินที่ต่างกัน (ข้อนี้อาจไม่ใช่ข้อดีก็ได้).. ส่วนข้อเสีย.. คือ เค้าไม่ได้บอกอะนะ.. แต่ถ้าถามผม.. ผมว่ามันอาจจะยุ่งยากไปหน่อยสำหรับมือใหม่.. TFEX บ้านเรานิแหละ แจ่มที่สุดครับ อิอิ :P


ทีนี้มาเรื่องใกล้ตัวบ้าง (ความรู้ด้านบน รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างไม่เป็นไรนะครับ.. ผมเองก็เบลอๆเหมือนกัน ฮ่าๆ) สืบเนื่องจากวันที่ 29 ตุลาคมนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตลาดอนุพันธ์บ้านเรา.. โดยผมขอเน้นไปที่สินค้าฮอตฮิตติดชาร์ต นั่นก็คือ SET50 Index Futures ละกัน.. กล่าวโดยสรุป สัญญา SET50 Futures จะมีการเปลี่ยนจากการซื้อขายจาก quarterly basis เป็น monthly basis ครับ (เพิ่มสัญญาซื้อขายเข้าไปอีก 2 รุ่น) คำถามคือ.. แล้วเราควรจะลงทุนในสัญญาเดือนไหนดี? เดือนใกล้สุด.. ใกล้น้อยลงไปนิด.. หรือไกลหน่อยไปเลย.. ง่ายๆครับ.. ขึ้นอยู่กับราคาแหละ.. ถ้าราคาไม่ต่างกัน เราก็ลงทุนเดือนไกลคุ้มกว่า.. เพราะเราได้เปรียบในเรื่องของ “เวลา” ในการถือครองที่ยาวนานกว่า.. ตรงนี้ถ้าเทียบกับตลาดอนุพันธ์ที่สิงคโปร์ (ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่เค้าซื้อขายแบบ monthly มานานแล้ว) ผู้ลงทุนในประเทศเค้ามีการเปลี่ยนสัญญา (Roll over) กันทุกเดือนครับ (คือเค้าเล่นแต่เดือนใกล้สุดอะแหละ).. มีสภาพคล่องสูง.. สาเหตุหนึ่งก็เพราะตลาดเค้ามีประสิทธิภาพกว่าเราด้วย.. ราคาจึงถูกบิดเบือนได้ยาก.. ก็ต้องมาลุ้นบ้านเรากันครับว่า หลังจากมีการเปลี่ยนแปลง.. ตลาด TFEX จะเปลี่ยนไปเยี่ยงไร.. ตื่นเต้นครับ!

Wednesday, October 17, 2012

*4 อภินิหาร* รวยเอง จนเอง..

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 17 ตุลาคม 2555



สัปดาห์นี้ขอวกกลับมาที่เรื่อง SET50 Futures ซักหน่อย.. เพราะเซ้นส์ผมมันบอกว่านักลงทุนหลายท่านที่ลงทุนในหุ้น กำลังมองหาวิธีกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง (Diversification) ในสภาวะที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้.. รู้ได้ไงอะ? กระต๊าก! การขายล่วงหน้าหรือ short SET50 futures ก็เป็นวิธีนึงที่น่าสนใจครับ.. หรือที่เราเรียกว่า Hedging นั่นแหละ อิอิ.. ซึ่งจริงๆ แล้วราคาของเจ้า SET50 Futures ที่ท่านๆเห็นกัน – นอกจากเรื่อง demand supply ตามกลไกตลาด หรือประเด็นเรื่องขาใหญ่ ขาโจ๋ คุมตลาด (มีจริงหรอ??) แล้ว – มันถูกกำหนดมาจากทฤษฎีหนึ่งที่กระผมเคยกล่าวไว้เมื่อครั้งกระโน้นครับ.. นามว่า Cost of Carry Model นิละ โฮะๆๆ.. (ร้อนยอย.. ย้อนรอยไปอ่านได้ที่ลิ้งนี้ http://nakkanaayok.blogspot.com/2012/08/7-set50-index-futures.html) เอาละ.. เพื่อดาวดวงนั้น! ผมจะขยายความให้ว่า.. จริงๆ แล้วมีปัจจัยอะไรที่มากระแทกราคา SET50 Futures บ้าง

  1. ต้นทุนในการกู้ยืม: คืองี้ครับ.. แบบว่า ในการลงทุนใน Futures เค้าจะถือว่ามีต้นทุน.. ซึ่งจะอยู่ในรูปอัตราดอกเบี้ย โดยอาจเกิดจากเราไปยืมเงินคนอื่นมาซื้อสินค้าอ้างอิงนั้น.. หรือถึงแม้เราจะไม่ได้ยืมใคร ก็จะอยู่ในรูปแบบของต้นทุนค่าเสียโอกาส (ที่เราจะเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นแทน) ดังนั้นราคาของ SET50 Futures จะแปรผันไปตามต้นทุนในการกู้ยืม.. ซึ่งปกตินักวิเคราะห์เค้าจะอ้างอิงต้นทุนการกู้ยืมกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร รัฐบาลระยะสั้น (ของบัวหลวงเราใช้ดอกเบี้ยตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือน).. อธิบายง่ายๆ ว่า ถ้าดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นเพิ่มขึ้น ราคา SET50 Futures ก็ควรจะเพิ่มขึ้นละ.. อะโจ้ยย!
  2. ราคาของสินค้าอ้างอิงหรือ SET50 index: ชะช้า.. แน่นอนละ.. มีฟิวเจอร์สก็ต้องมีสินค้าอ้างอิง.. ซึ่งเจ้าสินค้าอ้างอิงที่นามว่า SET50 Index นั้น.. เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นไทยละครับ (ความสัมพันธ์ > 98%) เพราะฉะนั้นในการวิเคราะห์ ก็วิเคราะห์กันทั้งสภาพตลาดโลด.. เช่น วิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ดูอัตราการเติบโตของ GDP, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย, อัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น.. หรือจะวิเคราะห์ในเชิงจิตวิทยา เช่น คาดการณ์ว่านักลงทุนส่วนใหญ่คิดอย่างไร.. กลัวปอดดิ้น หรือใจกล้าน่า(รัก)อยู่นะ? เอ.. แล้วเราจะเป็นชาวสวน หรือชาวไล่ (ตามๆเค้าไป) ดี.. แต่ถ้าจะให้เป๊ะๆ ก็ต้องนิเลย.. จัดชุดใหญ่ วิเคราะห์พื้นฐานหุ้นทั้ง 50 ตัวที่เป็นส่วนประกอบในดัชนี SET50 เลยละ.. ซึ่งผมว่า.. ลำบากไปแฮะ
  3. อัตราผลตอบแทนของ SET50 Index: เอิ่ม.. เอาง่ายๆนะครับ.. ถ้าหุ้นในดัชนี SET50 มีอัตราการปันผลเยอะขึ้น ราคาของ SET50 Futures จะลดลง.. สวนทางกันว่างั้นเถอะ.. เพราะว่าผลตอบแทนที่ได้จะชดเชยกับต้นทุนที่เพื่อนๆต้องเสียจากการกู้ยืมไป นั่นเองขอรับ (+ +) งงม่ะ.. อิอิ :P
  4. อายุคงเหลือของสัญญา: สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด.. ยิ่ง SET50 Futures อายุคงเหลือมาก.. ราคาของ SET50 Futures ก็จะมากตามไปด้วย.. เปรียบได้กับการที่เพื่อนๆ ต้องถือครอง SET50 Index นานขึ้น.. ทำให้ต้นทุนในการถือครองหรือต้นทุนในการกู้ยืมเพิ่มขึ้นนั่นเอง.. (พอต้นทุนการกู้ยืมเพิ่ม ราคา SET50 Futures ก็มากตามไงละ.. อ่านข้อ 1 ซิ คิคิ)
สรุป: ใน 4 อภินิหารที่กระผมกล่าวมา 3 ข้อแปรผันตามราคา SET50 Futures หมด.. มีข้อเดียวที่แปรผกผัน นั่นก็คือ อัตราผลตอบแทนของ SET50 Index หรือเงินปันผลของหุ้นที่นำมาคำนวณในดัชนี SET50 นั่นเอง.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ในเชิงทฤษฎีครับ.. ในทางปฏิบัติจริงย่อมมีปัจจัยอื่นมาสอดแทรกทำให้ราคาผิดเพี้ยนไปได้.. ถามว่าแล้วงี้จะรู้ไปทำไมละ? รู้ไปเถอะครับผมว่า.. ท่านจะได้ “เจ๋ง” กว่าใครหลายคนที่เค้ายังไม่รู้.. เพราะเงินของท่าน ท่านลงทุนเอง.. รวยเอง.. และจนเอง.. สวัสดี

Thursday, October 11, 2012

วิเคราะห์บริษัทโดยใช้ BCG.. เย้!

สวัสดีครับ,
เขียนเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2555

มีเครื่องมือหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์บริษัท.. ซึ่งนักลงทุนบางท่านอาจจะมองข้ามไป.. ผมเลยนำมาให้ดูนะ.. น่าร้อกป้ะ.. อิอิ.. นามเค้าว่า BCG หรือ Boston Consulting Group Analysis


จากรูป: แกนตั้งแสดงถึง อัตราการเจริญเติบโตในภาพรวมของตลาดหรือกลุ่มอุตสาหกรรม, ส่วนแกนนอนแสดงส่วนแบ่งการตลาดของบริษัท.. ซึ่งจะแบ่งกลุ่มบริษัทออกได้เป็น 4 ประเภทด้วยกันขอรับ

1. กลุ่มตัวเจ้าปัญหา: กลุ่มนี้.. อัตราการเติบโตสูงฮะ แต่ส่วนแบ่งการตลาดต่ำโต้ย.. อาจเป็นเพราะอุตสาหกรรมนี้มีผู้นำตลาดอยู่แล้ว และบริษัทเพิ่งเข้าสู่ตลาดไม่นาน.. ยังซิงๆ ว่างั้นเต๊อะ (-3-) แต่นี่! ทำให้มีโอกาสในการขยายงานเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดนะ.. โดยมีข้อระวังคือ เรื่องความต้องการเงินลงทุน (เพิ่มทุนไง เสียวป้ะ!).. อย่างไรก็ดีหากที่สุดแล้วสามารถครอง market share ได้มาก หรือขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของตลาด.. มานก็คือ Stars ดีๆนิเอง..

2. กลุ่มดาวบนฟากฟ้า: กลุ่มนี้.. อัตราการเติบโตสูง, ส่วนแบ่งตลาดก็สูง.. ซึ่งหากยังหวังสูง ต้องการกำไรเพิ่มขึ้นหรือแข่งขันให้ดีขึ้นอีก.. ต้องมีแผนมากขึ้นให้ลึกให้ซึ้งกว่านี้นะ.. เอาง่ายๆ ขึ้นเป็นดาวว่ายากแล้ว การรักษาระดับความเป็นดาว ยากยิ่งกว่า

3. กลุ่มแม่วัวให้นม: กลุ่มนี้.. อัตราการเติบโตต่ำ แต่ส่วนแบ่งตลาดสูง.. อาจเกิดจากการเข้าสู่ตลาดมานมนาม.. โดยบริษัทมีกำไรสูง และมีเงินสดเหลือมาก เพราะตลาดเจริญเติบโตน้อย ไม่ต้องไปขยายไรมากนั่นแหละแก.. แต่ ชะช้า! ตรงนี้ท่านดร.นิเวศน์เคยกล่าวไว้ครับว่า.. บริษัทจะดียังไง.. หากอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่เติบโต หรือเติบโตช้า.. ลำบาก!!!

4. กลุ่มหมาน้อยกลอยใจ: กลุ่มนี้.. อัตราการเติบโตต่ำ, ส่วนแบ่งการตลาดก็ต่ำ.. โอ้แม่เจ้า.. ทำไมถึงทำกับบ๊อกๆได้~

เอาละ.. หอมปากหอมคอนะครับ.. อย่าลืมไปทำการบ้านกันต่อละ! ว่าแต่.. หุ้นหรือบริษัทที่ท่านเป็นเจ้าของอยู่.. อยู่กลุ่มไหนเอ่ย?





Wednesday, October 10, 2012

ข้างใต้ภาพ

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 10 ตุลาคม 2555





สัปดาห์นี้ขอเปลี่ยนแนวซักเล็กน้อย (-3-) โดยนักค้าจะนำภาพ 3 ภาพที่เกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจมาให้ชมกัน.. ซึ่งกระผมจะลองเชื่อมโยงภาพเหล่านั้น ด้วยคำอธิบายง่ายๆ ใต้ภาพ.. มาดูกันครับ


ภาพที่ 1: ภาพคู่ดูโอ้นี้เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นครับว่า.. หากสมมติให้ GDP บ้านเราช่วงก่อนน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้วคิดเป็นดัชนีที่ 100.. ณ ปัจจุบัน ดัชนีนี้ขึ้นมาที่ 102.5 แล้วครับ.. นั่นหมายความว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นมาดีกว่าช่วงก่อนเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปีที่แล้ว 2.5% นะ.. เอ๊ะ! แล้วขึ้นมาได้เพราะอะไรละ? ลองเหลือบไปดูกราฟด้านขวาครับ.. จะเห็นว่าปัจจัยที่ขับเคลื่อนหลักก็คือ ภาคเอกชน.. ทั้งการบริโภคและทางลงทุน (โดยเฉพาะเรื่องการซ่อมแซมความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม) กราฟเส้นมันล้อกันไป.. แต่ หลังจากนี้ภาพนี้อาจจะเปลี่ยนไปครับ.. ความร้อนแรงของภาคเอกชนจะลดลง โดยการลงทุนของภาครัฐจะขึ้นมาเป็นพระเอกแทน (ในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ).. ซึ่งถามว่าดีมั้ย ตอบคร่าวๆก็ว่าดีนะ.. ผลพลอยได้มีหลายทอด ทำให้เกิดจากจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วย.. แต่หากถามว่าเศรษฐกิจเราจะโตได้มากมั้ย ผมก็ว่าอาจจะไปแบบชิลๆไม่หวือหวา.. เพราะฐานที่ให้เปรียบเทียบมันถูกยกสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจเราฟื้นตัวเร็วมาก (แบบ V-shaped) อีกทั้งการส่งออกที่เป็นอีกปัจจัยหลักก็ดูไม่ค่อยสดใสนัก
  
ภาพที่ 2: ภาพนี้ตีความไม่ยากครับ.. จะเห็นว่าในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยมักเคลื่อนตัวอยู่ใต้หรือล้อไปกับอัตราการขยายตัวทาง เศรษฐกิจ (Real GDP growth) มาตลอด.. มีช่วง 1-2 ปีหลัง ที่ SET index พุ่งแบบไม่แคร์ ทั้งๆที่บางช่วง GDP growth ติดลบ (- -) ตรงนี้สะท้อนอะไร? บ้างก็ว่าสภาพคล่องมันล้นโลก.. บ้างก็ว่าเศรษฐกิจภูมิภาคเรามันแจ่มจะแดมแจ่มว้าว บริษัทจดทะเบียนไทยผลประกอบการดีมากๆ.. บ้างก็ว่าสินทรัพย์อื่นผลตอบแทนบ่มิไก๊ หุ้นเลยเป็นดาวเด่น.. หรือบ้างก็ว่านิเป็นสัญญาณเตือนอะไรบางอย่าง.. ก็ลองคิดดูครับ :3


ภาพที่ 3: ภาพนี้ผมชอบมากๆ.. เพราะทำให้เราเห็นภาพทั่วโลกชัดขึ้น.. ลองดูครับว่านักวิเคราะห์เค้าประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเป็น อย่างไร.. ใครเป็นดาวเด่น ใครเป็นดาวดับ?.. เอ แล้วไทยเราอยู่ตรงไหนน้า?
  
สรุป: ผมนำ 3 ภาพนี้มาให้ดูสนุกๆครับ ไม่ต้องคิดอะไรมาก.. (หรือจะคิดก็ไม่ห้ามนะ อิอิ) เพราะคงเป็นการยาก หากจะให้ฟันธงโช้ะๆ ว่าทิศทางตลาดหุ้นจากนี้จะเป็นเช่นไร.. แต่สิ่งหนึ่งที่ผมตระหนักและระลึกอยู่เสมอนั่นคือ ในวงการนี้.. เหตุผลมักจะมาหลังสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเสมอ (ลองนึกดูครับ).. ซึ่งหากตลาดหุ้นไทยยังสามารถซิกแซกขึ้นได้ต่อ (ดีนะ) ก็เชื่อว่าเป็นเพราะแรงเก็งกำไรจากกระแสเงินทุน (ไม่ว่าจากทั้งต่างชาติหรือขาใหญ่ที่ไหน) มากกว่าปัจจัยพื้นฐานจริง.. แต่หากตลาดจะปรับลง.. หุ้นพื้นฐานดีแค่ไหนมันก็ลงได้ครับ เพราะกระแสเงินจะถูกดึงกลับเพื่อไปฟื้นฟูประเทศที่มีปัญหา --โชคดีนะ--

Wednesday, October 3, 2012

อาวุธทางการเงินขั้นร้ายแรง

สวัสดีครับ,,,,
เขียนเมื่อ 3 ตุลาคม 2555

Warren Buffet เคยกล่าวไว้เมื่อปี 2002 ครับว่า “In my view, derivatives are financial weapons of mass destruction, carrying dangers that, while now latent, are potentially lethal” แปลเป็นภาษาบ้านๆ ได้ว่า “ในมุมของผม.. ตราสารอนุพันธ์เป็นอาวุธทางการเงินที่มีอานุภาพทำลายล้างมหาศาล (ยิ่งกว่าพลังคลื่นเต่าของโงกุน..) แม้ตอนนี้จะยังซ่อนเร้น แต่อันตรายของมันหน่ะ.. ถึงตาย!!” ซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 5-6 ปี ก็เกิดเหตุการณ์สะท้านโลกีย์ ที่ผมได้ยินทีไรก็สยิวกิ้วทุกครั้ง นามว่า Subprime Crisis ขึ้น.. สาเหตุหลักๆ เกิดจากความผิดพลาดของรัฐบาลสหรัฐในการจัดการสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ และการกำกับดูแลกลุ่มวาณิชธนกิจอย่างไม่รัดกุม.. ทำให้เกิดการลงทุนในตราสารอย่างมั่วซั่ว จนเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องและลุกลามไปจนเป็นโดมิโน.. โดยหนึ่งในตราสารเจ้าปัญหานั้น ก็คือ Credit Default Swap (CDS) หรือตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่งนั่นเอง


อ๊ะ อ๊ะ อย่าเพิ่งตกใจ! ข้อความด้านบนมีไว้เพื่อเตือนสติ.. จะได้ระมัดระวังและศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน.. ไม่ได้เพื่อขู่ให้กลัวนะครับ (ยิ้ม) ตราสารอนุพันธ์เองก็มีประโยชน์อยู่มากโข หากเรารู้จักใช้.. ดังที่ผมเคยกล่าวไว้ในบทความครั้งก่อนๆ (Risk management, Price discovery, Speculative instruments) ที่สำคัญคือ ถ้าเราใช้เพื่อการเก็งกำไร ต้องรู้วิธีจำกัดหรือควบคุมความเสี่ยง.. พูดง่ายๆคือ เจ็บแล้วรีบจบ.. พลาดแล้วรีบ cut.. อย่าฝืน! ยิ่งทางตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ได้ปรับลดอัตราหลักประกันของสินค้าต่างๆ (เพื่อดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่) ลงมาพอสมควร (เริ่ม 1 ตุลาที่ผ่านมานี้) นักลงทุนทุกท่านยิ่งต้องระวังมากขึ้น.. อย่าชะล่าใจ คิดว่าเอ๊ย! ใช้เงินวางหลักประกันน้อยลง งั้นสัดส่วนกำไรก็เยอะขึ้นซิ งี้เล่นเยอะๆ ดีกว่า.. คิดแบบนี้อย่างเดียว มะ มะ.. มันเสียวเกินไปนะครับ :3


ผมขอยกตัวอย่างหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin) แบบ Outright (การสร้างสถานะด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว) ของ SET50 Index Future ละกัน (ดูรูปด้านบน).. จะเห็นว่าล่าสุด ทางตลาดอนุพันธ์กำหนดให้วางเงินเพียง 38,000 บาท (ลดลงจาก 47,500 บาท).. ซึ่งถ้าเทียบกับมูลค่าสัญญา S50Z12 ที่ระดับ 890 จุด คือ 890,000 บาทนั้น ลองคิดดูครับว่าต่างกันกี่เท่า.. ยิ่งเป็นนักลงทุนสถาบันด้วยแล้ว ยิ่งวางหลักประกันต่ำลงไปอีก.. บางท่านอาจจะบอกว่า เอ๊ะ ไม่เห็นเป็นไร งั้นเราก็วางเงินเข้าไปก่อนเยอะๆ ซิ แค่นี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว.. เห็นด้วยครับ เป็นผลดีแน่นอนในเชิงจิตวิทยา เพราะเราไม่ต้องเติมเงินบ่อยหากผิดทาง.. แต่แท้จริงแล้วมันอาจไม่ต่างจากการย้ายเงินจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวาก็ได้ นะ เพราะเติมช้าเติมเร็วสุดท้ายก็เงินเราอยู่ดี (เว้นแต่ท่านใช้ทุนพ.ก. อิอิ).. สำคัญกว่านั้นคือท่านต้องรู้จักวิธีควบคุมความเสี่ยง “Stop loss ให้เป็น” มิฉะนั้นคงไม่แคล้วเป็นไปตามที่ปู่บัฟกล่าวไว้

สุดท้ายนี้อยากขอจะฝากครับว่า.. “ความรู้นั้นเปรียบเสมือนชุดเกราะ.. ที่นักลงทุนต้องสวมทุกครั้งก่อนเข้าสู่สมรภูมิรบ” ซึ่งถ้าสงครามยังไม่จบ ก็อย่าเพิ่งนับศพทหารนะ.. เย้ยย ไม่เกี่ยว! (ฮา).. โชคดีทุกท่านครับ

Wednesday, September 26, 2012

ความเชื่อทางเทคนิค...มันมีอะไรบ้างนะ?

สวัสดีครับ,,,
เขียนเมื่อ 26 กันยายน 2555


คำทักทายบ้านๆ แต่ได้ยินแล้วก็รู้สึกดีทุกครั้งไป.. นิแหละความเป็นไทย (^_^) ที่จะมาพร้อมกับ “การไหว้” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยที่ยากจะหาที่ใดมาเทียบเคียง.. อย่าลืมช่วยกันอนุรักษ์สิ่งดีงามเหล่านี้ไว้นะครับ.. กระต๊ากก!?

กลับมาที่เรื่องของเรา.. สัปดาห์นี้นักค้าต้องขอออกตัวก่อนครับว่า เป็นสัปดาห์ที่ “เหนื่อยโฮกๆ” เพราะเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติ สถาบัน รายย่อย หรือแม้แต่พอร์ตบริษัทที่ถือหรือลงทุนในสัญญา SET50 Index Futures (รวมทั้ง Single Stock Futures) จะต้องทำการเปลี่ยนสัญญา (Rollover) ที่จะหมดอายุลงในเดือนกันยายนนี้ เพื่อไปถือสัญญาที่จะหมดอายุในเดือนธันวาคมแทน.. ขอกระซิบเบาๆ ว่าบางวัน.. นักค้าหน้าหยก ถึงกับต้องทำรายการซื้อขายที่คิดเป็นมูลค่าตลาดถึง 6-7 พันกว่าล้านบาท.. บร่ะจะละเฮ้ย!!! บอกตรงๆ ครับ.. “เสียวสุดๆ” เพราะเกิดผิดพลาดขึ้นมานักค้าจะทำไงละค้า.. คงตกหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) ไปก่อนที่เศรษฐกิจอเมริกาจะตกในช่วงสิ้นปีนี้เลยกระมัง.. แงๆ (T-T) แต่.. ก็น่ะ.. โม้ซะนิดว่าจนถึงตอนนี้ ยังไม่ตกครับ อิอิ


ในการลงทุน.. ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือแม้แต่สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ.. นักค้าอาศัยหลักการนึงในการวิเคราะห์และเชื่อว่าทุกท่านก็คงรู้จักกันดี.. นั่นก็คือ.. แต่น แตน แต๊นนน! การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) นั่นเองครับ! ฮ่าๆ.. หลักการก็คือ วิธีนี้ เป็นการศึกษาพฤติกรรมของผลิตภัณฑ์หรือสินค้านั้นๆ โดยวิเคราะห์จากราคาและปริมาณการซื้อขาย.. ซึ่งตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า..
  1. พฤติกรรมของราคาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น ได้ซึมซับเหตุการณ์ทุกอย่างเอาไว้แล้ว: หมายความว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดก็ตามบนโลก.. ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือผลประกอบการของบริษัทเปลี่ยนไป.. ราคาของผลิตภัณฑ์ จะเป็นไปตามกฎของ Demand and Supply (ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์) ที่ว่า.. หากผู้ซื้อมีมากกว่าผู้ขาย ราคาสินค้าก็จะสูงขึ้น.. แต่หากผู้ขายมีมากกว่าผู้ซื้อ ราคาสินค้าก็จะตกลง.. easy easy ม่ะ? ซึ่งการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมองไปที่ข้อสรุปของผลกระทบเลย ไม่สนสาเหตุ.. กล่าวคือ ถ้าราคาขึ้น.. นั่นแหละ.. มันดี! ถ้าราคาลง.. นั่นแหละ มัน..!! แต่ถ้าเป็นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) จะมองไปถึงสาเหตุว่าทำไม Demand มันเยอะนะ? Supply ทำไมมันน้อยละ? มีปัจจัยอะไรมากระทบ? แนวๆนี้ 
  2. รูปแบบราคาจะเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มเดิม จนกว่าจะเห็นแนวโน้มนั้นอ่อนตัวจนหมดลงไป: ตีความได้คือ เวลาลงทุนหรือเก็งกำไร นักลงทุนทุกท่านกรุณาชิดใน.. เย้ยย ไม่ใช่!? ให้เกาะแนวโน้มใหญ่เข้าไว้ครับ (Trend following) เช่น หากท่านใดลงทุนในตราสารอนุพันธ์ โดยเฉพาะในตลาดไทยช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา.. การเก็งกำไรฝั่งซื้อ (Long position) จะได้เปรียบมากกว่าฝั่งขาย (Short position) เพราะแนวโน้มใหญ่เป็นขาขึ้น! พูดง่ายๆคือ รอซื้อดีกว่ารอขาย.. แต่หากท่านใดชอบเสียว คือชอบสวนแนวโน้มอะนะ.. ก็อาจจะเหนื่อยหน่อย.. ต้องมีวินัย กำหนดจุด Stop loss ให้ดี.. หากคิดช้า ทำช้า.. หนัก! 
  3. ประวัติศาสตร์ชอบซ้ำรอย: ไม่รู้ข้อนี้สามารถใช้กับเหตุการณ์อื่นได้รึเปล่า.. เอาอยู่ป่าวละ? แต่ถ้าในเรื่องของหุ้น ตราสารอนุพันธ์ หรือสินค้าโภคภัณฑ์.. พวกเนี้ย มันจะมี pattern หรือรูปแบบของมันอยู่.. ซึ่งรูปแบบเหล่านั้นก็จะแสดงถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในอดีต.. และถ้าท่านจ้องนานๆ อาจนำมาใช้ทำนายอนาคตได้นะ (ไม่ได้โม้!).. พวกเนี้ย ผมว่ามันเป็นศิลปะ.. กราฟมันก็แสดงถึงอารมณ์ของนักลงทุน ว่ากลัวหรือกล้ากันอยู่ 
  4. กฎการวิเคราะห์ทางเทคนิคทั้งหลายทั้งมวลจะใช้ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หากปัจจัยพื้นฐาน (ในกรณีของหุ้น) ไม่เปลี่ยน: ข้อนี้แถม เพราะเพิ่งบอกหยกๆ ว่าการวิเคราะห์เทคนิคไม่สนอะไรนะ.. ดูราคากับปริมาณการซื้อขาย (Volume) ก็พอ.. แต่เอาหน่ะ ถ้าจะให้สมบูรณ์ก็ศึกษามันไปเถอะครับ ทุกรูปแบบนั่นแหละ.. จะได้หล่อๆ (สวยๆ) กัน ไป.. กระต๊าก!?

สุดท้ายนี้อยากจะฝากไว้ครับว่า.. สัญญาณของการวิเคราะห์ทางเทคนิค มันไม่ได้ถูกเสมอไป.. บางรูปแบบ ก็มีข้อจำกัด.. การใช้ Indicators หรือเส้นค่าเฉลี่ย มันก็รายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง (ผมอาจจะเล่าถึงในคราวถัดๆไป).. สำคัญคือ คุณต้องเตรียมทางหนีทีไล่ให้พร้อม หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน.. เช่นทำงานบนตึกสูง.. รู้รึยังว่าทางหนีไฟอยู่ที่ไหน?.. และ “ประสบการณ์” จะช่วยคุณได้.. ผมมั่นใจ :)